2 ก.ย. เวลา 03:34 • ธุรกิจ

🤔 “Design Thinking” เมื่อ “วิชาสุด Cool" อาจจะ "ใช้ไม่ได้จริง" ในหลายองค์กร?

เมื่อ “Workshop สร้างนวัตกรรม" อาจกลายเป็นแค่ "พิธีกรรมที่ว่างเปล่า" และทำไม "วิธีคิด" ถึงสำคัญกว่า "วิธีการ" ในการเปลี่ยนองค์กรจริงๆ
💥 ภาพจำของนวัตกรรมในห้องประชุม
* ตลอดหลายปีที่ผ่านมา "Design Thinking" กลายเป็นคอร์สยอดนิยมในองค์กรไทย ภาพของผู้บริหารและพนักงานกำลังแปะ Post-it อย่างกระตือรือร้น กลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความคิดสร้างสรรค์ เป็นเหมือนการแสดงออกว่าองค์กรเรา “อินเทรนด์” และเปิดรับความเปลี่ยนแปลง
* แต่เมื่อพ้นวันอบรมไป ความตื่นเต้นมักหายไปอย่างรวดเร็ว พอหมดคอร์ส งานก็มักวนกลับไปที่เดิม วัฒนธรรมองค์กรไม่ได้เปลี่ยนแปลง และโปรเจกต์นวัตกรรมก็เงียบหายไปพร้อมกับกระดานไวท์บอร์ดและกระดาษโน้ตหลากสี
* หลายคนเรียกสิ่งนี้ว่า "Innovation Theatre" คือการสร้างภาพของนวัตกรรมโดยไม่เปลี่ยนโครงสร้างจริงภายในองค์กร เช่น บริษัทที่จัด Hackathon ปีละครั้ง แต่ไม่มีระบบสนับสนุนให้ไอเดียนั้นกลายเป็นของจริง หรือแค่เปิด Innovation Lab ที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ หรือแม้แต่งบประมาณพัฒนา Product จริงจัง
* นี่ไม่ใช่เพราะ Design Thinking ไม่มีประสิทธิภาพ แต่เป็นเพราะองค์กรจำนวนมากพยายามติดตั้ง “ซอฟต์แวร์แบบยืดหยุ่น” ลงบน “ฮาร์ดแวร์แบบรวมศูนย์” โดยไม่ยอมอัปเกรดระบบปฏิบัติการพื้นฐานขององค์กรให้สอดคล้องกันก่อน เช่น โครงสร้างอำนาจ การอนุมัติงบประมาณ การประเมินผลแบบเดิม หรือ Mindset ของผู้บริหารที่ยังเชื่อว่า “ความเสี่ยงคือสิ่งที่ต้องเลี่ยง” มากกว่าจะเรียนรู้
* ลองนึกภาพว่าเรากำลังพยายามสอนคนให้ “คิดนอกกรอบ” แต่ทุกขั้นตอนยังต้องทำเอกสารรอเซ็นอนุมัติจากหัวหน้า 5 ชั้น — แบบนี้จะให้ความคิดใหม่ๆ เติบโตได้อย่างไร?
====
🌡️ 10 อาการแพ้ Design Thinking ขององค์กรแบบไทยๆ
1. ธงในใจของผู้บริหาร — ใช้ workshop เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับสิ่งที่ตนตัดสินใจไว้แล้ว โดยไม่เปิดพื้นที่ให้ไอเดียใหม่ๆ ได้หายใจ เช่น ผู้บริหารตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์มไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ให้ทีมทำ workshop หาโซลูชันใหม่ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องกลับมาที่คำตอบเดิมอยู่ดี
2. วัฒนธรรมต่อต้านความล้มเหลว — ไม่มีใครกล้าลอง กลัวโดนลงโทษเมื่อพลาด การเรียนรู้จึงไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะความกลัวฆ่าความกล้า เช่น ทีมเสนอแอปต้นแบบใหม่ แต่ถูกต่อว่าทันทีที่มี bug เล็กๆ แทนที่จะได้คำแนะนำเพื่อพัฒนา
3. สายบังคับบัญชาแบบ Blocker — ไอเดียดีจากคนหน้างานถูกกรองจนหมดพลังกลางทาง และมักจบที่คำว่า "เจ๋งดีนะ แต่ทำไม่ได้หรอก" เช่น พนักงานสาขาเสนอฟีเจอร์ใหม่ให้แอป แต่ต้องผ่านถึง 6 ชั้นอนุมัติจนหมดแรงก่อนจะถึง product team
4. KPI ฆ่านวัตกรรม — เป้าหมายระยะสั้น ทำลายเวลาสำหรับความคิดระยะยาว นวัตกรรมที่ต้องใช้เวลา จึงไม่มีที่ยืน เช่น ทีมถูกวัดด้วยยอดขายรายไตรมาส เลยไม่กล้าแบ่งเวลาไปทำโปรเจกต์ทดลองที่อาจยังไม่มีรายได้
5. ผูกมัดกับระบบเดิม — อยากเปลี่ยน แต่ขยับไม่ได้เพราะระบบเดิมราคาแพงเกินกว่าจะทิ้ง หรือเปลี่ยนแล้วเสี่ยงต่อการโดน audit เช่น ใช้ระบบ CRM เก่ามา 10 ปี พอจะปรับก็กลัวเสีย historical data หรือเกิดข้อผิดพลาดในการเชื่อมต่อระบบ
6. DNA ไม่ตรงกัน — แนวคิดที่เกิดจากสตาร์ทอัพถูกจับมาใช้ในองค์กร Corporate ที่ขยับอะไรไม่ได้เลย เหมือนให้เรือบรรทุกลองหมุนตัวแบบเจ็ตสกี เช่น ให้องค์กรขนาดใหญ่ต้องทดลอง A/B Testing รายวันเหมือนบริษัท SaaS ทั้งที่โครงสร้างภายในยังตัดสินใจเรื่อง simple UI ไม่ได้เลย
7. ทุกเรื่องต้องนวัตกรรม? — เอา Design Thinking ไปใช้กับงาน routine โดยไม่จำเป็น ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นภาระมากกว่าพลัง เช่น ใช้เวิร์กชอปแก้ปัญหาการขาดลายเซ็นในเอกสารแทนที่จะแก้ระบบ approval ง่ายๆ
8. โค้ชที่สอนแต่ process ไม่เข้าใจ pain ของธุรกิจ — ทำให้ทีมรู้สึกห่างไกลจากความเป็นจริง และเหมือนกำลังทำโปรเจกต์ในห้องทดลอง เช่น โค้ชเน้นใช้ post-it กับ empathy map โดยไม่เข้าใจว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นร้านโชห่วยที่ไม่เคยใช้มือถือ
9. คิดว่าเรียน 2 วัน เปลี่ยนองค์กรได้ — มองนวัตกรรมเป็นของเร่งรัด ทั้งที่จริงคือการเปลี่ยนวัฒนธรรม ต้องใช้เวลา ความต่อเนื่อง และความเชื่อมั่น เช่น จัด Bootcamp 2 วันแล้วให้ทุกทีมสร้าง product pitch โดยไม่มี follow-up หรือ mentoring ต่อ
10. ยังไม่เข้าใจกรอบ…แต่จะคิดนอกกรอบ — ขาดทักษะพื้นฐานในเรื่องการฟัง การตั้งคำถาม การทำ empathy แต่รีบกระโดดสู่โลกใหม่ เช่น ให้ทีมระดมไอเดีย disruption ทั้งที่ไม่เคยฟังเสียงลูกค้าจริงหรือไม่เข้าใจ journey ปัจจุบัน
====
💡 Design Thinking ไม่ใช่แค่ "วิชา" แต่คือ "วิธีคิด"
* องค์กรจำนวนมากเข้าใจผิดว่า Design Thinking คือทฤษฎีที่เรียนแล้วจบ เป็นทักษะที่จบในห้องอบรม และใช้ได้เฉพาะเวลาทำโปรเจกต์นวัตกรรมเท่านั้น
* แต่ในความเป็นจริง Design Thinking คือทักษะเชิงวัฒนธรรม (Cultural Skill) ที่ต้องฝึกซ้ำ ต้องลองผิด ต้องอยู่ในระบบนิเวศที่เอื้อกับความไม่แน่นอน และเปิดโอกาสให้เรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม
* คุณไม่สามารถส่งคนไปเรียน "ว่ายน้ำ" แล้วโยนเขาลงทะเลโดยไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ได้ฉันใด คุณก็ไม่สามารถส่งคนไปเรียน Design Thinking แล้วคาดหวังให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้ในองค์กรที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงฉันนั้น
“Design Thinking ไม่ใช่แค่การคิดสร้างสรรค์ แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีฟัง และวิธีทำงานร่วมกันในระดับลึกสุดของวัฒนธรรมองค์กร”
====
✨ เริ่มที่ "การออกแบบองค์กร" ก่อนจะฝันถึงนวัตกรรม
หากผู้บริหารยังไม่กล้าตั้งคำถามกับระบบรางวัล, วิธีวัดผล, หรือโครงสร้างอำนาจภายในองค์กร ต่อให้มีเครื่องมือดีแค่ไหน นวัตกรรมก็ไม่เกิด
และก่อนจะส่งทีมไปเข้าเวิร์กชอปอีกครั้ง ลองถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองก่อน
* เรามีพื้นที่ให้คนลองผิดได้จริงหรือไม่?
* เราฟังเสียงจากทีมหน้างานจริงหรือเปล่า?
* ระบบการวัดผลของเราส่งเสริมหรือขัดขวางการคิดใหม่?
* เรากำลังวัดความสำเร็จในแง่ของผลลัพธ์ หรือแค่ความรวดเร็วในการปิดโปรเจกต์?
* ผู้บริหารมีพฤติกรรมแบบไหนเวลาคนในทีมเสนอไอเดียที่เสี่ยง?
เพราะการออกแบบองค์กรให้รับกับนวัตกรรม ไม่ใช่เรื่องของเครื่องมือ แต่เป็นเรื่องของความกล้า ความจริงใจ และความเข้าใจในธรรมชาติของความไม่แน่นอน
หยุดมองหาเครื่องมือวิเศษชิ้นถัดไป
แล้วเริ่มต้น "ออกแบบองค์กร" ที่พร้อมจะนำนวัตกรรมไปใช้ได้จริง “อย่างเป็นระบบ และยั่งยืน”
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#DesignThinking
#OrganizationalChange
#CorporateInnovation
#DigitalTransformation
#Leadership
#ThinkingFirstToolsLater
โฆษณา