Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มินิซีรี่ย์
•
ติดตาม
2 ก.ย. เวลา 10:41 • ประวัติศาสตร์
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒
๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
ได้รับหนังสือของท่าน ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน นั้นแล้ว
ตัวอย่างลายตราซึ่งส่งคืนมาให้ท่านในครั้งหลังนั้น มีอีกหลายดวงที่ฉันเคยเห็น เว้นแต่ไม่รู้เรื่องอะไรของตรานั้นพอที่จะบอกแก่ท่านได้ จึ่งข้ามไป มีสงสัยนึกได้ตงิด ๆ อยู่ ๒ ดวง แต่ไม่แน่ใจ จึงได้สืบสวน ก็ได้ความมาแจ้งชัด จึงจะบอกแก่ท่านเติมขึ้นอีก
ตราพระพรหมนั่งแท่น หมายเลข ๒๙ เคยพระราชทานไปประจำกระทรวงมุรธาธร ที่จริงไม่ใช่นั่งแท่น เปนคุกเข่าข้างเดียว ท่าอย่างนี้มีใช้ในละคอนมาก แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเรียกอะไร ฝรั่งก็มี จีนก็มี เปนท่าสากล
ตรานารายน์ยืนแท่น เคยพระราชทานไปประจำกรมราชเลขานุการ แต่ในแบบที่ท่านส่งไปให้ดู มีตรานารายน์ยืนแท่นอยู่สองดวงหมายเลข ๓๖ และ ๓๗ แทงไว้ว่าเปนเก่าเปนใหม่ จะพระราชทานดวงไหนไปฉันยืนยันไม่ได้ เพราะได้เห็นครั้งเดียว เมื่อทรงเลือกจะพระราชทาน จำไม่ได้ถนัด
หลักฐานอันกล่าวถึงตราสองดวงนี้ มีปรากฏอยู่ในหนังสือ พระบรมราโชวาท พระราชดำรัส ตีพิมพ์แจกเมื่องานศพท้าววรคณานันท์ ซึ่งทำออกจากหอสมุดนั่นเอง อยู่หน้า ๑๐๓ ท่านจะคัดแยกเอาไปเปนหลักฐาน แห่งตราสองดวงนั้นได้โดยง่าย
ท่านบอกไปว่ากระทรวงยุติธรรม เวลานี้ถือตราพระดุลพ่าห์ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ชื่อ ตราพระดุลพ่าห์ นั้น สมเด็จกรมพระสวัสดิ์เปนผู้ทรงคิดตั้งขึ้น เมื่อครั้งเสด็จเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ในกระทรวงยุติธรรมนั้น ดวงตราก็คงทำใหม่ พระราชทานเปลี่ยนตราจันทรมณฑลไปในครั้งนั้น ฉันจำไม่ได้ว่าลวดลายเปนอย่างไร แต่คงไม่ผิดแนวจากลายซึ่งฉันผูกตราข้อมือกระทรวงยุติธรรมไป ตามที่เคยเล่าเรื่องมาให้ฟังแล้วแต่ก่อน
ตราในปึ้งซึ่งส่งคืนมาให้ท่านคราวหลังนั้น มีดวงหนึ่งซึ่งจดว่า ตรามัศยาวตาล ที่เขียนดั่งนั้นผิด แต่ฉันหาได้จดทักมาไม่ว่าเขียนผิด เปนแต่จดชื่อที่ถูกมาให้ข้างท้าย ว่า ตรามัตสยาวตาร เกรงท่านจะไม่ทันสังเกต จึงบอกซ้ำมาในที่นี้ด้วย
อีกข้อหนึ่ง ท่านปรึกษาไปถึงการที่จะให้ช่างเขียนลอกตราต่างๆ ออกเปนแบบ ท่านพูดไปคราวก่อนทีหนึ่งแล้ว แต่ฉันลืมข้ามไปเสีย ไม่ได้ตอบ ท่านบอกคราวนี้อีกครั้งหนึ่ง ฉันรับรองว่าความคิดของท่านเปนดีที่สุด ฉันเองก็ได้เคยทำเช่นนั้นมาก่อนแล้ว เพื่อประโยชน์ตัวเอง แต่ขอตักเตือนว่า ต้องให้ช่างที่ดีทำ อย่าได้ประมาทแก่การลอก ถ้าช่างไม่ดีลอกก็ไม่เหมือน
อนึ่ง ตราครั่งนั้นเก็บยาก ฉันเคยได้แก่ตัวมาแล้ว ถ้าเก็บในสมุดเหมือนตราชาด ใบสมุดก็ทับแบนลงทุกที นานไปหน่อยก็ไม่เห็นลาย เคยเห็นฝรั่งเขาประทับตราครั่ง ส่งเข้ามาให้ดูเปนอย่าง พร้อมกับแม่ตราที่สั่งให้เขาทำ เขาใส่ตลับไม้กลึงใหญ่เล็กพอเหมาะกับดวงตรามาให้ ถ้าเราจะทำเช่นนั้นบ้างก็เก็บยาก อาจกระจุยกระจายพลัดหายไปเสียบ้างก็ได้ สู้เก็บเปนเล่มสมุดไม่ได้ จึ่งคิดว่าแต่งแผ่นไม้หนาเสมอครั่ง ตัด
เท่ากับเล่มสมุดที่ต้องการ แล้วเจาะเปนรูพอไล่เลี่ยกับดวงตรา จะมากน้อยเปนแผ่นละกี่รูก็ตามต้องการ แล้วเอากระดาษซึ่งประทับตราครั่งปิดเข้าข้างหลัง ส่วนด้านหน้าจะบิดหนังสือบอกตรา หรือจะปิดเลขหมายไปทำบัญชีบอกไว้ต่างหากก็ได้ แล้วเอาแผ่นไม้นั้นเย็บเปนเล่มสมุดเก็บ แผ่นไม้นั้นจะป้องกันไม่ให้ครั่งแบนไปเสียได้
เรื่องคำ บาง เปนเรื่องอธิบายต่อความในหนังสือของท่าน ซึ่งลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ท่านดูคำตอบหนังสือของท่านฉะบับนั้นก็เปนแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรในที่นี้อีก
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น (๒)
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่านลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ได้รับทราบความแล้ว
เรื่องนกการเวก ควรจะเอาไว้ที่ไหน การจัดตั้งเครื่องราชูปโภคก็มีกรรมการอยู่แล้ว ย่อมอยู่ในข่ายความวินิจฉัยแห่งคณะกรรมการนั้น
ขอบใจท่านที่ถอดคำอรรถ ในพระราชลัญจกรสยามโลกัคราช และแปลความให้ไป พร้อมทั้งลายตราซึ่งท่านประทับมาด้วยนั้น ฉันดูตัวอย่างนั้นเปนรูปสี่เหลี่ยมจตุรัศ ตระหนักในใจว่าเปนตราองค์ที่เรียกกันว่า ช้างหมอบ เพราะมีรูปช้างหมอบอยู่บนหลังตรา มีอีกองค์หนึ่งเรียกกันว่า ช้างยืน เพราะมีรูปช้างยืนอยู่บนหลังตรา พระตราองค์
นั้นเปนรูปสี่เหลี่ยมรึ มีอักษรอยู่ในนั้นเหมือนกัน แต่ฉันไม่เคยอ่านทั้งสององค์ และองค์ไหนชื่อจริงจะเรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบ จำได้แต่ว่าช้างหมอบนั้น แต่ก่อนเคยประทับในสัญญาบัตร เข้าคู่กับตราพระบรมราชโองการใหญ่ องค์สี่เหลี่ยมรีตัดมุม พระบรมราชโองการอยู่ข้างซ้าย ช้างหมอบอยู่ข้างขวา ส่วนตราช้างยืนนั้น จำได้ว่า
ประทับใบพระราชทานที่วิสุงคามสีมาดวงเดียว ได้ส่งตราตัวอย่างกลับคืนมานี้แล้ว ตราช้างยืนและตราช้างหมอบสองดวงนั้น สับสนกันในเรื่องชื่อ อยู่ระหว่าง สยามโลกัคราช กับ นามกรุง คำอรรถในตราช้างหมอบ มีปรากฏอยู่ว่า สฺยามโลกคฺคราชสฺส ก็ต้องเปนตราชื่อว่าสยามโลกัคราช ส่วนตราช้างยืนก็ต้องเปนนามกรุง ส่วนคำแปลอรรถในตราสยามโลกัคราช ซึ่งท่านแปลให้ไป ก็เปนไปในทางที่เกี่ยวกับวัดจริงอย่างท่านว่า
สำเนาพระราชบัญญัติพระราชลัญจกร ซึ่งท่านคัดไปให้สองฉะบับนั้นดีมาก ทำให้รู้ความที่ถูกขึ้นในนั้น เช่นตราพระครุฑพ่าห์ ซึ่งใช้ประทับประจำพระอภิไธย กับ ตราหงส์พิมาน ฉันสำคัญในใจว่าฉันเขียนถวายในรัชชกาลที่ ๕ แต่ปรากฏในพระราชบัญญัติ ร.ศ. ๑๓๐ เปนเขียนถวายในรัชชกาลที่ ๖ รู้สึกในใจอยู่เหมือนกัน ว่าเขียน
ทีหลังตรามหาโองการนาน แต่ไม่นึกว่าถึงข้ามรัชชกาล ส่วนพระครุฑพ่าห์องค์ที่ปรากฏในพระราชบัญญัติ ร.ศ. ๑๒๒ นั้น ฉันก็เขียนถวายเหมือนกัน กับตราจักรรถฉันก็คิดเขียนถวาย เหตุด้วยไม่โปรดตราที่ใช้อยู่เก่า เพราะมีหนังสือเจ๊ก (อ๊วง มีอุณาโลมเบื้องบนอยู่ในดอกบัว)
ขอบใจท่านเปนอันมาก ที่ให้สำเนาพระราชบัญญัติทั้งสองฉะบับนั้นไป
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น (๓)
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่าน ลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน แจ้งรายงานการค้นคำ บาง บอกไปให้ทราบนั้น ได้รับแล้ว ขอบใจมาก
จะว่าด้วยคำก่อน
บาง คำที่เราใช้อยู่ในบัดนี้ มีความหมายไปได้เปนสองอย่าง คือตรงข้ามกับหนาอย่างหนึ่ง เป็นคลองด้วนซึ่งขุดชักน้ำแม่น้ำ เข้าไปสู่เรือกสวนไร่นาอีกอย่างหนึ่ง ที่เปนคลองด้วนนั้น ไปเข้าเปนรูปเดียวกับที่ท่านค้นมาได้ว่าเปนคำมอญ
บาง ในคำอาหม แปลว่ารุ่งเรือง ไม่มาทางที่เราพูดกันอยู่เวลานี้ แต่ไปเข้ารูปทางชื่อพระร่วง คือ พ่อขุนบางกลางเท่า ข้อนี้ก็มีรับรองอยู่ที่พระในมณฑลพายัพแต่งประวัติหรือพงศาวดารเปนภาษาบาลี มีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ชื่อที่เปนคำไทยเปลี่ยนหรือเหยียดไปเสียเปนภาษามคธทั้งนั้น เช่น พระร่วง เปลี่ยนเปน โรจนราชา แปลคำมคธนั้นก็ว่า พระราชาผู้รุ่งเรือง เห็นได้ว่าท่านผู้แต่งเปลี่ยนชื่อ ท่านเข้าใจคำ ร่วง ว่าเปนอันเดียวกับ รุ่ง แต่ความเข้าใจของพวกเราทุกวันนี้ต่างกัน รุ่ง ว่า สว่าง ร่วง ว่า
ตกหล่น แต่จะอย่างไรก็ดี ต้องถือเอาคำที่เข้าใจกันมาก่อนเปนถูก เพราะที่เข้าใจกันในบัดนี้อาจเปนเข้าใจเคลื่อนผิดมาได้ นึกขึ้นได้อีกทางหนึ่ง ในกลอนเก่า ๆ กล่าวชมพลอยเครื่องประดับกาย ใช้คำว่า รุ้งร่วง รุ้ง คิดว่า รุ่ง นั่นเอง ร่วง ก็ไปเข้ารูปเดียวกับเรียกพระร่วงว่าโรจนราชา ก็คือรุ่งเหมือนกัน เปนอันว่าพูดคำซ้อน ที่จะหมายความว่าพลอยตกหล่นนั้นเปนไปไม่ได้ ด้วยเปนการเลว ไม่ควรเอามาพูด รังรอง ก็ รุ้งร่วง รุ่งเรือง วนอยู่นี่เอง ไม่ไปข้างไหน
ทีนี้จะวิจารณถึงชื่อเมือง
เมืองพระบาง ที่นครสวรรค์ เปนชื่อจริง เมืองหลวงพระบางที่แม่น้ำโขงเปนชื่อเก๊ เหตุใดจึ่งว่าดังนั้น เหตุด้วยเมืองพระบางที่นครสวรรค์ มีชื่อปรากฏในหนังสืออันเปนหลักฐานมาเก่าแก่ เมืองหลวงพระบางที่แม่น้ำโขง ไม่ปรากฏในหนังสือเก่า ต้องเปนเอาอย่างเมืองพระบางที่นครสวรรค์ไปชื่อบ้างทีหลัง เพราะเมืองพระบาง ที่นครสวรรค์
เวลานั้น จะรุ่งเรืองมากหรืออย่างไรก็ตามที เมืองหลวงพระบาง ที่แม่น้ำโขงนั้น มีคนว่าเดิมชื่อเมืองชวา แต่ลางคนก็ไม่เห็นด้วย นับทั้งท่านด้วยคนหนึ่ง ความจริงก็เปนแต่มีหนังสือออกชื่อเมืองชวาเท่านั้น แล้วก็มีคนชี้เอาโดยสันนิษฐาน ว่าเมืองชวาคือเมืองหลวงพระบาง อยู่ข้างจะหมิ่นเหม่มาก เพราะฉะนั้น เมืองหลวงพระบางทางแม่น้ำโขงก็สิ้นทางที่จะพึงวิเคราะห์ต่อไป ที่เรียกว่าเมืองหลวงพระบางนั้น ฉันก็อาจ
แยกได้ เมืองหลวง แปลว่าเมืองใหญ่ มีตัวอย่างเช่น พระนครหลวง นี่เปนคำไท เขมรเรียก นครธม ธม ก็แปลว่าใหญ่ หลวง ก็แปลว่าใหญ่ตรงกัน แล้วคำว่า หลวง ก็เคลื่อนมาเปนว่า Royal ผิดที่สุด ผิดที่เข้าใจคำ ในหลวง ว่าเปนพระราชา แต่แท้ที่จริงเปน นายหลวง หมายความว่านายใหญ่ เหมือน เขาหลวง ก็หมายความว่าเขาใหญ่นั่นเอง อันคำว่า เมืองหลวง หรือ เมืองใหญ่ ถ้าจะว่าไปก็ตรงกับคำว่า เมืองเอก นั้นเอง
ท่านอยากรู้ว่าพระบางเปนพระชะนิดไร ฉันอาจบอกได้ว่าเปนพระฝีมือลาวกาวทำ พวกพระเสิมพระไสอะไรเหล่านั้น ด้วยมีตำนานว่าจะต้องส่งพระบางไปเมืองเขมร ส่งไปทำไมก็ไม่ทราบ อาจที่พระองค์นั้นจะเปนพระเขมร ไปฉวยเอาของเขามา เขาเรียก
เอากลับคืนก็เปนได้ ในตำนานว่าประทุกเรือล่องน้ำไป เรือล่มพระจมลงแม่น้ำ แล้วปาฏิหารย์กลับมาสู่ที่เดิม เปนพวกพระเขียวแก้วในเมืองลังกา ฝรั่งเอาไปโขลกเสียละเอียดแล้วยังกลับติดเปนองค์ ปาฏิหารย์มาสู่ที่เดิมได้ ในการที่คิดจะไปดูพระที่วัดสามปลื้มนั้นเห็นจะไม่เปนเก๋ เพราะเชิญพระบางส่งคืนไปแล้ว วิหารก็ว่างกะโจ๋โหว
อยู่ช้านาน จนเกิดรำคาญใจแก่ผู้ที่เข้าไปถึง จึงได้เกิดความคิดหาพระมาตั้งแทนที่ อาจฉวยเอาพระที่มีอยู่แล้วมาตั้งแทนที่ก็ได้ หรือแม้จะหล่อขึ้นใหม่โดยจำเพาะ ก็จะทำได้แต่เพียงว่า มีขนาดสูงต่ำไล่เลี่ยกัน และพระอาการเปนห้ามสมุทหรือห้ามญาติ ก็เปนอย่างเดียวกัน ที่จะไปสังเกตดู แก้ม คาง ปาก คอ พระองค์นั้น กลัวจะไร้ผล อีกประการหนึ่ง การถ่ายเหมือนนั้นเปนวิชาของฝรั่ง เมื่อพระบางอยู่ในกรุงเทพฯ กลัวจะยังไม่มีครูฝรั่งเข้ามาสอนวิชาถ่ายให้เหมือนแก่คนไท
ที่นี้ก็เหลือแต่จะวินิจฉัยว่าชื่อ เมืองพระบาง นั้นจะหมายเอาอะไร ฉันอยากจะทึกเอาว่าหมายเอาชื่อพระร่วง ถึงว่าเมืองนั้นใครจะสร้างก็ตามที แต่ไม่ขัดกับที่จะเอาชื่อพระร่วงมาตั้ง ด้วยเหตุคำ บาง ท่านสอบคำอาหมมาได้ว่าตรงกับ รุ่งเรือง มีพยานประกอบที่คำแปลชื่อ พระร่วง ว่าโรจนราชา เห็นได้ว่าคำ ร่วงเปน รุ่ง จึงตกเปนคำ พระร่วง กับ พระบางนั้นเปนคำเดียวกัน และที่ใช้คำ บาง นั้น หมายเอาชื่อ พ่อขุนบาง
กลางเท่า (ท่าว) ตามชือเดิม ชื่อพระร่วงนั้นเข้าใจว่ามาขนานกันขึ้นทีหลัง ก็ชื่อว่าพ่อขุนนางกลางเท่า นั้นยาวมาก เห็นได้ว่ามีคำประกอบยกยศปนอยู่ในนั้นมาก เช่น พ่อขุน นั้นก็เปนคำยกยศ ไม่ใช่ชื่อ ตัดออกทิ้งเสียได้ คำ เท่า หรือ ท่าว ข้างท้ายนั้นมีคำใช้อยู่ เช่น ท่าวถึง หรือ ตราบท่าวห้าพันพระวัสสา จะแปลว่าอะไรก็ตามที แต่ไม่ใช่ชื่อ ย่อมตัดออกเสียได้อีกคำหนึ่ง ถ้าถือเอาความคิดของท่าน แปลชื่อ พ่อขุนบางกลางเท่า เปน พระร่วงในหมู่ท้าวทั้งหลาย ก็เหลือคำที่เปนชื่ออยู่คำเดียวแต่คำ
บาง เมืองพระบาง กับ เมืองพระร่วง ก็ลงกันเปนอันดี คำ พบาง หรือ พระบาง นั้นไม่สำคัญอะไร ท่านสอบได้แน่นอนว่าเปน พระ ไม่ใช่ พ ก็ดีแล้ว ได้ความรู้เปนแม่นมั่นขึ้นอีก แต่จะเปน พระ หรือ พ ก็เปนคำยกยศเหมือนกัน เมืองพระบาง เปนเขตต์สุโขทัยนั้นแน่นอน ในพระราชพงศาวดารก็มีปรากฏอยู่ ว่าเมืองเหนือเปนจลาจล สมเด็จพระอินทราชาเสด็จขึ้นไปปราบปราม พระยาบาลเมืองกับพระยารามลงมาเฝ้าที่เมืองพระบาง ท่านว่าเมืองพระบางเปนเขตต์สุโขทัยทางใต้นั้นก็ถูกแล้ว พระยาทั้ง
สองลงมาเฝ้าที่นั้น ก็แปลว่ามาเฝ้าที่เมืองปลายแดน เพื่อจะระงับศึก ก็เมื่อเมืองพระบางเปนเมืองในแดนสุโขทัย อันเปนเมืองอยู่ในเขตต์ของพระร่วง จะเอาพระนามของท่านมาให้ชื่อเมืองในเขตต์ของท่าน ก็ไม่เห็นมีที่ขัดขวางเลย หนังสือมูลสาสนาเห็นว่าจะเปนหนังสือแต่งก่อนยุคพระร่วงไปไม่ได้ เข้าใจว่าทีหลังหนังสือจามเทวีวงศ์ลงมาเสียอีก เพราะมีเรื่องนางจามเทวียกขึ้นไปเหนือ เปนดีเตลของหนังสือจามเทวีวงศ์ ต้องเก็บเอามาแต่หนังสือจามเทวีวงศ์นั้นเอง
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส
กรมศิลปากร
วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ประทานพระวิจารณ์เรื่อง พระบาง เป็นที่จับใจข้าพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง
พระวิจารณ์เรื่อง พระร่วง กับ พระบาง และพระอธิบายเรื่องคำว่า หลวง ย้ายความหมายมาเป็น Royal ดีที่สุด เพราะเป็นความรู้ให้ความสว่างแก่ข้าพระพุทธเจ้าสำหรับคิดค้นเรื่องได้ต่อไป ในขณะนี้กรรมการจัดทำอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ทำถึงจังหวัดสุโขทัย ได้เล่าตำนานหรือพงศาวดารของจังหวัดนี้ โดยให้พระร่วงองค์แรกมีเป็นสององค์ คือ พระร่วงอรุณราชกุมาร และ พระร่วงส่วยน้ำ ตามหลักฐานที่มีอยู่ในพงศาวดารเหนือ ข้าพระพุทธเจ้าไม่สู้จะเชื่อถือเรื่องในพงศาวดารเหนือนัก เพราะมี
เรื่องสับสนปนๆกัน เมื่อจับเอาฉะบับตัวเขียนหลายฉะบับมาสอบกันดู ลางฉะบับเรืองก็สับกัน เมื่อเรื่องสับกัน ศักราชที่จดไว้ก็ต้องคลาดเคลื่อน จะเรียงลำดับกันไม่ได้ ทั้งหาหลักฐานทางอื่นมาประกอบแวดล้อมเรื่องก็ไม่ได้ ถ้าพ่อขุนบางคือพระร่วงองค์แรกแน่ พระร่วงอรุณ ซึ่งมีศักราชเหนือขึ้นไป ก็เป็นพระร่วงไม่ได้ นอกจากผู้แต่งพงศาวดารเหนือยืมคำว่า ร่วง ซึ่งเป็นมงคลนามไปถวายให้กษัตริย์องค์อื่น ที่เหนือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นไปก็ได้ ในตำนานต่าง ๆ ตลอดจนหนังสือราชาธิราช ก็มี
กล่าวถึงพระร่วงเป็นหลักฐานอยู่ แต่จะเป็นกษัตริย์องค์ไหนบ้าง ข้อความในลางตำนาน เช่นในชินกาลมาลินีก็ออกจะยุ่ง ๆ จับเค้าได้ในลางแห่งว่าหมายเอาพระร่วงพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แต่ในลางแห่งก็ออกจะเลือนไปเป็นว่าไม่ใช่ ส่วนคำว่า ร่วง ซึ่งแปลว่า รุ่ง เหตุไรจึงหายไปในภาษา คงเหลือเค้าแต่คำว่า ผู้รุ่งฟ้า ใช้เป็นสร้อยพระนามกษัตริย์ในบทกลอนอยู่เท่านั้น พระร่วง เป็นเรื่องชวนให้น่าคิดนึก แต่ข้าพระพุทธเจ้าก็คิดนึกไปไม่ได้ตลอด
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส (๒)
กรมศิลปากร
วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๘ กรกฎาคม รวม ๒ ฉะบับ ประทานเรื่องพระราชลัญจกรเพิ่มเติมมาให้ข้าพระพุทธเจ้า พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
บัดนี้ กองอาลักษณ์ได้ถอดลายพระราชลัญจกรที่ยังใช้อยู่มาให้ข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายมาในซองนี้เพื่อทอดพระเนตร แต่ในแผ่นสุดท้าย จดโนตเป็นตัวดินสอมาถามข้าพระพุทธเจ้าด้วย ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าขอประทานทราบเกล้า ฯ ด้วย ข้าพระพุทธเจ้าดีใจมากที่ได้โอกาศถอดลายพระราชลัญจกรมาได้เกือบครบแล้ว โดยไม่ได้นึกคาดว่าจะได้มา ยังคงขาดพระตราอีกหมู่หนึ่ง ซึ่งเก็บอยู่ในพระที่นั่งเทพสถานพิลาส แต่เจ้าหน้าที่กำลังจะอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่
เรื่องชื่อพระราชลัญจกรลางองค์ ซึ่งเจ้าหน้าที่กองอาลักษณ์จดไว้ผิด เช่น ตราพระเพลิงทรงแรด จดเป็น พระนารายน์ทรงแรด และ ตราเทพดาทรงพระนนทิการ จดเป็น พระนารายน์ทรงสุบรรณ สอบถามได้ความว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทราบชื่อ เพราะไม่ได้ใช้มานานแล้ว เลยให้ชื่อเดามาให้ ถ้าเช่นนั้นตรามหาสารทูลธวัช คำ ธวัช อาจเป็นเพราะคล่องมือเติมเข้ามา ข้าพระพุทธเจ้ายังค้นหาพระราชบัญญัติซึ่งว่าด้วยตราเสือป่ายังไม่ได้ สอบถามใครก็ยังไม่ได้เรื่อง นอกจากจะพบตัวผู้ที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่โดยตรง
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายสำเนาประกาศ และพระราชกำหนดว่าด้วยพระราชลัญจกรมากับหนังสือนี้อีก ๔ ฉะบับ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส (๓)
กรมศิลปากร
วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
เมื่อวันที่ ๑๐ เดือนนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้มีโอกาศเข้าไปดูผ้าต่าง ๆ ในพระคลังใน ความรู้ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระเมตตาประทานข้าพระพุทธเจ้าไว้เป็นประโยชน์แก่ข้าพระพุทธเจ้ามาก เช่น ความแตกต่างกันในเรื่องโหมดกับตาดผิดกันอย่างไร เจ้าหน้าที่เองก็ได้แต่ดูแล้วบอกว่านี่ โหมด นี่ ตาด ซึ่งลางทีก็ผิด เพราะเป็นการดูใช้
สังเกตด้วยความเคยชินอย่างเดียว ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นผ้าหยี่มีอยู่หลาย ๑๐ ผืน หน้าตาก็เป็นผ้าลายชะนิดหนึ่งเท่านั้น สอบถามท้าวภัณฑสารรักษาว่า ใช้นุ่งในพิธีแห่โสกันต์ และนางเทพีนุ่งในพิธีแรกนาขวัญ นอกนั้นไม่ปรากฏที่ใช้ ผ้าสุจหนี่ ในปทานุกรมแปลว่า ผ้าปูที่นอน แต่ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นเป็นผ้ารองนั่งอย่างสันถัดพระ หาใช่ผ้าปูที่นอนไม่
ข้าพระพุทธเจ้าออกจากพระคลังใน มาแวะที่พระปรัศว์ขวาของพระที่นั่งพิมานรัตยา ข้อที่ข้าพระพุทธเจ้าแปลกใจมากก็ที่พื้นปูด้วยแผ่นกระดานไม้สัก ไม่ได้ไสกบ แต่ใช้ขวานถากเป็นรอยแหว่งแว่นไปทั้งนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเคยได้ยินว่า พื้นเรือนโบราณห้ามไสกบ ซึ่งคงจะถือเป็นประเพณีสืบเนื่องมาแต่ครั้งยังไม่มีกบใช้ ลางทีพื้นกระดานในพระปรัศว์ไม่ได้ใช้ไส จะเนื่องจากเหตุนี้กระมัง ขอประทานทราบเกล้าฯ แต่ฟื้นพระตำหนักแดง ซึ่งมีอยู่ในพิพิธภัณฑสถาน ดูเหมือนเป็นพื้นไสกบแล้ว
เมื่อเร็วๆ นี้ กรรมการปทานุกรม ชำระมาถึงคำ ฉเพาะ เกิดมีความเห็นแตกต่างกัน กรรมการสองนายเห็นว่าควรเขียน เฉพาะ เพราะคำเดิมในภาษาเขมรเป็นตัวซ้อน และโบราณก็เขียนเป็น เฉพาะ หรือ เฉภาะ อยู่ กรรมการอีก ๓ นาย เห็นควรเขียนเป็น ฉะเพาะ โดยเห็นว่าเอา ฉ ไว้ข้างในสระเอ ยุ่งยากอ่านลำบาก และเขียนมีประ
วิสรรชนีย์มาแล้ว ควรให้เป็นตามนั้นจะได้ไม่ยุ่งยากแก่การเขียน ส่วนข้าพระพุทธเจ้าและกรรมการอีกนายหนึ่งเห็นควรเขียน ฉเพาะ เพราะถ้าประวิสรรชนีย์เป็นเสียงหนัก ทำให้เสียงกลายไป ที่ข้าพระพุทธเจ้าเห็นเช่นนี้ ไม่ใช่แต่คำ ฉเพาะ คำเดียว คำอื่นที่มีเสียง อะ ไม่หนัก ก็ไม่ควรประวิสรรชนีย์ เมื่อไม่เป็นที่ตกลงกัน จึงเสนอเรื่องต่อ
ม.จ. วรรณไวทยากร ประธานกรรมการ ให้ตัดสิน ประธานกรรมการทรงเห็นว่าในเวลานี้เขียนเป็น ฉะเพาะ อยู่แล้ว ก็ควรให้เป็นตามนั้นไปก่อน จนกว่าจะได้วินิจฉัยเรื่องประวิสรรชนีย์ทั่วๆ ไปถึงคำอื่นด้วย แต่ถ้าว่าตามความเห็นส่วนตัวของประธานกรรมการเอง เห็นควรเขียน ฉเพาะ ไม่ประวิสรรชนีย์ ที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมาเพราะได้เคยประทานพระดำริห์ในเรื่องประวิสรรชนีย์ มาให้ข้าพระพุทธเจ้า และข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องด้วยในกระแสพระดำริห์นั้น
ที่เคยมีรับสั่งแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพบประเพณีของชาติต่างๆ ซึ่งใช้วิธีมัดศพนั่ง ให้กราบทูลไปเพื่อทรงทราบนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้ค้นพบอีกหลายชาติ ข้าพระพุทธเจ้าได้แต่งเรื่องประเพณีทำศพของไทยไว้เรื่องหนึ่ง และรวมเรื่องมัดศพนั่งของชาติต่างๆ ไว้ในนั้นด้วย (หน้า ๕๔ วรรค ๒) ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายเรื่องประเพณีทำศพ มาพร้อมกับกับหนังสือนี้ การจะสมควรสถานไร แล้วแต่จะทรงพระกรุณา|
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
ฉันเคยบอกแก่ท่าน ว่าฉันเคยพบคำ นายมหาด แต่พบที่ไหน บอกจำหน่ายไม่ตกนั้น บัดนี้มาอ่านพบในหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๑ ซึ่งตีพิมพ์ออกไปจากหอสมุด หน้า ๕๔ มีว่า ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย นายพล นายมหาด นายดาบ ฯลฯ ดั่งนี้ จึงได้บอกที่พบอันประกอบด้วยหลักฐานมาให้ท่านทราบแห่งหนึ่ง เปนแน่ว่าจะมีอีกมากแห่ง
พบคำ ชา เข้าอีกคำหนึ่ง เขาคัดเรื่องนางนพมาศ มาลงในหนังสือพิมพ์ ประมวญวัน ฉะบับลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ว่า ดำรัสสั่งท้าวจันทรนาถภักดีผู้เปนใหญ่ในชะแม่จ่าชา ดั่งนี้ คิดคาดดูเห็นว่าคำ ชา จะหมายความว่า หมู่ เหล่า พวก และอะไรๆ ซึ่งเปนไปในทางอย่างนั้น
ท่านเคยคัดความในสมุดขาว อันได้มาแต่ทางปักษ์ใต้ ไปให้ฉันคราวหนึ่ง ฉันได้ให้ความเห็นมาบ้าง ทีหลังหม่อมเจ้าสฤษดิเดชเอาหนังสือมาให้เล่มหนึ่งจ่าเรื่องว่า ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช หอสมุดจัดการตีพิมพ์ใช้แจกในงานศพ นางสาวพร้อม ณ นคร อ่านดูก็เห็นแจ้งใจว่า ออกจากต้นฉะบับอันเดียวกันกับที่ท่านคัดให้ไปก่อนนั้น อ่านแล้วบังเกิดความเห็นงอกออกไปว่าหนังสือฉะบับนั้น เห็นจะเปนเครื่องมือของบุคคลคนหนึ่งซึ่งเขาคิดจะแต่งตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เรื่องใน
หนังสือนั้นเปนหลายเรื่อง ล้วนแต่เปนเรื่องซึ่งมีกล่าวถึงพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชทั้งนั้น คงจะเปนเจ้าของหนังสือนั้น ไปพบหนังสืออะไร ซึ่งมีกล่าวถึงพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชเข้า ก็คัดเอามารวมไว้ดู จะได้เก็บความตามสมควร แต่งขึ้นเปนตำนานพระบรมธาตุแล้ว หรือไม่ได้แต่งก็ดี เมื่อท่านผู้นั้นพ้นไปแล้ว ญาติหรือศิษย์หาของท่านเก็บเอาบันทึกนั้นมาเขียนเส้นหมึกลงสมุดขาวขึ้นไว้ เราควรจะดีใจที่ว่าได้เครื่องมืออันหนึ่งของท่านผู้มีประสงค์ดีมา ข้อความในนั้น ข้อใดจะฟังได้หรือข้อ
ใดจะฟังไม่ได้นั้น ก็แล้วแต่วิจารณปัญญา แต่ได้รู้ว่าเรื่องพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชนั้น มีกล่าวไว้อย่างไรบ้าง ดึกว่าที่จะได้ตำนานพระบรมธาตุอันได้ตกแต่งแล้ว ประกอบด้วยอัตโนมัตยาธิบายมาเสียอีก คำในหนังสือนั้นที่ว่า เจ้าไท หมายถึง พระภิกษุ ตามแนวแห่งคำนั้น คำว่า เจ้าพญาไท เช่น วัดเจ้าพญาไท ก็ต้องหมายความว่าวัดสังฆราช คำ ไท เห็นจะเปนคำเดียวกับ ไท้ ในโคลงฉันท์ คัดเอาตัว ย เติมต่อเข้าไป ช่างน่ากลัวผิดเสียจริง ๆ
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส
กรมศิลปากร
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๕ ประทานพระดำรัสในเรื่องคำ มหาด และคำ ชา ที่ทรงอ่านพบ และเรื่องตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้อ่านเรื่องวินิจฉัยคำว่า มหาดไทย ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ว่า มหาด มาจากคำสํสกฤต ว่า มหัตร แปลว่ายิ่งใหญ่ หรืออย่างไร ข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้ เพราะไม่ได้เอาใจใส่ ด้วยยังไม่สู้ลงเนื้อเห็นด้วย ถ้าจะเทียบคำ มหัตร (จะเขียนอย่างนี้หรืออย่างไร ข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้และไม่ได้สอบ) กับคำ มหาราช ซึ่งพระสารประเสริฐว่าสมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ ทรงวินิจฉัยว่า เพี้ยนมาเป็น มหาด คำ มหาด ดูแนบเนียนดีกว่า มหัตร คำว่า มหาราช แม้จะมีใช้อยู่ดกดื่นในแคว้น
ลานนา แต่สำเนียงที่เขาออกเสียงไม่เป็น มหาฮาด คงออกเสียงเป็น มหาราช โดยตรง ผิดกับคำ อุปราช ซึ่งออกเสียงเป็น อุปฮาด ถึงแม้ว่า มหาด จะมาจาก มหาราช คำว่า นายมหาด คือ นายมหาราช ก็ยังฟังดูขัดๆ เข้ากันไม่ได้เลย จะพอแปลเข้ากันได้แต่คำ มหาดเล็ก ว่าเป็น เลก หรือ เลข หรือเป็นเด็กของมหาราช แต่ก็ยังตกอยู่ในแนวนึก ยังหาหลักฐานทางอื่นมาประกอบไม่ได้ เป็นอย่างเดียวกับคำ ชา ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าค้นหาในภาษาไทยถิ่นอื่นยังไม่พบ
ที่ทรงสันนิษฐานเรื่องตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ที่สุดข้าพระพุทธเจ้าได้สติจากพระดำรัสว่า หนังสือเรื่องนี้เป็นเครื่องมือของใครคนหนึ่งที่คิดจะแต่งตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ข้าพระพุทธเจ้าเคยรวบรวมเรื่องอย่างนี้มาครั้งหนึ่ง คือ
เก็บเอาข้อความในหนังสือต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน มารวมไว้ในเล่มเดียว แต่ทำไปไม่ได้ตลอด เพราะหาผู้พิมพ์ยาก บอกว่าไม่สนุก ไม่รู้เรื่อง คำว่า วัดเจ้าพญาไท ทรงอาศัยคำ เจ้า ) เป็นแนวเทียบว่าจะแปลว่าวัดสังฆราช ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าถูกต้องที่สุด ข้าพระพุทธเจ้าพยายามค้นหาคำว่า ไท ไท้ ในภาษาไทยถิ่นต่าง ๆ ไม่พบ ที่
แปลว่า ใหญ่ หรือในความอื่น นอกจากแปลเป็นชื่อชาติเท่านั้น ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าเกิดความคิดว่า คำว่า ไท ไท้ และ ชาติไทยอาจจะเป็นคำเดียวกัน ทางอีศานใช้ ไทย ขยายความไปถึงความหมายว่า คน จะเป็นคนภาษาใดชาติใด ก็เรียกไทยได้ แต่มักเรียกวนเวียนในหมู่ชนชาติที่อยู่ใกล้เคียงกัน ซึ่งโดยมากเป็นพวกในตระกูลมอญ-เขมร มีพวกข่า เป็นต้น คิดด้วยเกล้าฯ ว่า จะเป็นเพราะรู้สึกหยิ่งในชาติ เห็นมนุษย์พวกอื่นเลวกว่า อย่างจีนเรียกชาติอื่นว่า ฮวน และ กุ๊ย หรือชาวอินเดียเรียกพวกตนว่า
อริยกะ แปลว่าประเสริฐ เรียกพวกอื่นว่า เมลจฺฉ ฝรั่งได้สืบสาวความหมายเดิมในตัวธาตุของคำว่า อริยกะ คงได้ความว่าหมายถึงการเพาะปลูก ภายหลังความหมายจึงได้ย้ายที่มา แปลว่า ประเสริฐ ส่วน ไทย ความหมายเดิมจะแปลว่าอะไร ยากที่จะทราบได้ คำว่า เจ้าไท ที่แปลว่าใหญ่ ก็น่าจะมาจากคำเดียวกับ ไท ซึ่งเป็นชื่อชาติ คำว่า ข้าไท จะแปลว่า ข้าของคนไทย และ เจ้าไท จะแปลว่าเจ้าคนไทย หรืออย่างไรไม่ทราบเกล้าฯ ทางแคว้นลานนา ท้าวไท หมายถึงเจ้านายด้วย แต่ความคง
วนเวียนอยู่ในความหมายที่แปลว่า ใหญ่ มีผู้เห็นพ้องกันมากว่า ไท หรือ ไทย จะมาจากหรือเป็นคำเดียวกันกับ ไต้ และ ไท้ หรือ ไถ่ ในภาษาจีน ซึ่งแปลว่า ใหญ่ ใหญ่ยิ่ง ตัวหนังสือจีนเขียนเป็นรูปคนกางมือ ดูก็เข้ากับความหมายในคำว่า ไทย ซึ่งแปลว่า คน น่าจะรับเอาคำจีนคำนี้มาไว้ เพราะมีความหมายไปในทางที่ดี แต่ก็เป็นเรื่องเดาด้วยกันทั้งนั้น เป็นที่น่าเสียดายอยู่หน่อย ที่เมื่อเปลี่ยน สยาม เป็น ไทย ก็น่าจะเอา ย ออกเสีย ให้เหลือแต่ ไท ทั้งคำว่า ท้าวไท ไท้ และ ไท้ ในภาษาจีน ก็มีแนวอยู่แล้ว
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
จะบอกเรื่อง พระร่วง ขยายความให้ได้สติต่อไปอีกหน่อย ด้วยได้พระดำรัสสมเด็จกรมพระยาดำรงเข้ามา ทรงแสดงความตามที่ได้ทรงสังเกตเห็นว่า อันนามพระร่วงนั้น ไม่ได้ใช้จำเพาะแต่พ่อขุนบางกลางท่าวผู้เดียว ย่อมใช้เพรื่อไปในพญาผู้ครองสุโขไทหลายองค์ และใช้ดกดื่นอยู่ในแขวงพายัพ ทางจารึกหลักศิลา หาได้มีวี่แววไม่เลย
โดยพระดำรัสซึ่งมีประการดั่งนี้ ทำให้ฉันมีความเห็นเพ่นพ่านไปว่า นิทานเรื่องพระร่วงนั้น เปนนิทานเก่า ทำไมจึ่งยืนยันว่าเก่า ยืนยันด้วยเคยพบทางเขมรเขาก็มี จนเขาเอามาใช้ชื่อเพลงว่า พระโถง (พระทอง) นางนาค ทางมอญ พะม่า จะมีหรือไม่มียังไม่พบ แต่เชื่อว่ามีเหมือนกัน คิดว่าเอามาปรับปรุงเข้าให้เปนชื่อพญาผู้ครองสุโขไท ด้วยหวังจะยกยศให้สูงกว่าเปนผู้มีบุญ เพราะพระร่วงเปนผู้มีบุญที่มีวาจาสิทธิ์ ทั้งนี้ก็เหมือนกับนิทานเรื่องท้าวอู่ทอง นั่นก็เอามายกถวายสมเด็จพระรามาธิบดี (ที่ ๑) เหมือนกัน
ตามที่ว่านี้ จะได้ทำลายความเห็นเรื่องเมืองพระบางนั้นหามิได้ คำ บาง ตามพจนานุกรมอาหมแปลให้ไว้ว่า Glitter ก็ตรงกับ รุ่งเรือง พอจะปรับกันเข้าได้กับชื่อพระร่วงผู้มีบุญ จึงเอามาปรับเข้าเปนอันเดียวกัน แต่ที่จริงต่างคนต่างอยู่ไหน ๆ มิรู้
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส (๒)
กรมศิลปากร
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๙ ทรงพระเมตตาประทานข้อทรงสันนิษฐานเพิ่มเติมในเรื่อง พระร่วง ข้าพระพุทธเจ้าได้รับไว้แล้ว พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ เป็นที่สุด
ที่ทรงเห็นว่านิทานพระร่วง เป็นนิทานเก่า ทรงอ้างเรื่องพระทองของเขมรนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องในกระแสพระดำริ เพราะเรื่องพระเจ้าแผ่นดินได้นางนาคเป็นชายา เป็นเรื่องมีอยู่ดกดื่นในตำนานทางแหลมอินโดจีน ในพงศาวดารมอญพม่า ในหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาค ๑ ก็มีกล่าวเรื่องนางนาคในทำนองเดียวกัน ชาว
อินเดียฝ่ายใต้ในราชวงศ์ปัลลวมีตำนานกล่าวว่า บรรพบุรุษของราชวงศ์เป็นเชื้อสายกษัตริย์ปาณฑพ ในมหาภารต มาได้นางนาคเป็นชายา และโดยเหตุที่พวกปัลลว ได้มาเป็นใหญ่ในประเทศจาม และประเทศเขมรครั้งโบราณ จะเป็นศาสตราจารย์เซเดส์หรือคนอื่น ข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้ สันนิษฐานว่าเรื่อง พระทองกับนางนาค จะมีเค้ามาจากเรื่องของพวกปัลลว นักโบราณคดดีฝรั่งลางคนเข้าใจว่า ชนชาติที่อาศัยอยู่ใน
แหลมอินโดจีน ครั้งดึกดำบรรพ์ จะเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นเชื้อสายของชาติมอญ-เขมรเดิมอยู่มาก่อน น่าจะนับถือบูชางูมาแต่เดิมด้วย แล้วมาได้กับมนุษย์พวกอื่นที่มาเป็นใหญ่ในแดนเหล่านี้ สืบลูกหลานต่อมา ที่ในตำนานกล่าวถึงพวกนาค ก็น่าจะหมายความถึงพวกเหล่านี้ ประจวบกับชาวอินเดียฝ่ายใต้ ซึ่งเข้ามาเป็นใหญ่ในแหลมอินโดจีน มีเรื่องนางนาคอยู่เหมือนกัน เรื่องก็เข้ากันได้เหมาะพอดี เรื่องชะนิดนางนาค ถ้าเป็นตอนเหนือขึ้นไป นางนาคก็กลายเป็นนางมังกร เช่น เรื่องของไทยใหญ่ เรื่องของ
ไทยลี้ในเกาะไหหลำ และเรื่องปฐมกษัตริย์ของญวน พอเข้าเขตต์จีน เรื่องนางมังกรกลายเป็นเรื่องมังกรตัวผู้ไป เช่น เรื่องของจีนและไทยอ้ายลาวที่ในแคว้นอัสสัม และในตอนที่ต่อกับเขตต์แดนพะม่า มีชนชาติหนึ่งเรียกว่า นาค มีมากพวกด้วยกัน รูปร่างหน้าตาในรูปถ่ายก็เป็นคนชาวป่าชาวเขา ส่วนภาษาและขนบธรรมเนียมตามที่ข้าพระพุทธเจ้าได้อ่าน ดูจะเป็นพวกธิเบต-พะม่า ลางทีพวกนี้จะเป็นพวกกระเสนกระสายในเรื่องนางนาคด้วยอีกทางหนึ่ง
เรื่องยกเอาเรื่องไม่น่าเชื่อถวายพระเจ้าแผ่นดิน จับใจข้าพระพุทธเจ้ามาก ข้าพระพุทธเจ้าได้อ่านพบในพงศาวดารเขมรเรื่องหนึ่ง ว่าเพราะนายเตีย ควานช้าง ได้กินเนื้อไก่วิเศษ ภายหลังจึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมร มีโอรสคือพระเกตุมาลา ซึ่งลางฉะบับว่าเป็นโอรสพระอินทร์ เรื่องของพะม่า ว่าพระเจ้างะตะบะ เดิมบวชเป็นสามเณร ผะเอิญได้กินไก่ของอาจารย์ ภายหลังมาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแคว้นศรีเกษตร์ เรื่องของไทยใหญ่ว่า ขุนลู (อาจเป็นคำเดียวกับ ลอ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้ายัง
หาคำแปลไม่ได้) กับ ขุนไล ลูกเทวดาลงมาสร้างเมือง ถูกจีนซึ่งเป็นคนใช้หลอกให้กินตัวไก่ ส่วนจีนคนใช้เองได้กินหัวไก่ จีนคนใช้จึงได้เป็นฮ่องเต้ของจีน มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ส่วนไทยใหญ่ได้กินแต่ตัวไก่ จึงไม่มีอำนาจวาสนาเหมือนจีน เรื่องเหล่านี้น่าจะมีที่มาแห่งเดียวกัน คือ ศิริโจรพราหมณ์ชาดก ซึ่งเล่าว่านายหัตถาจารย์กับภรรยาได้กินเนื้อไก่ ซึ่งบรรจุอยู่ในภาชนะลอยมาในแม่คงคา แล้วได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
เรื่องนิทานชะนิดนี้ คิดด้วยเกล้าฯ ว่ามีประโยชน์มากเหมือนกัน เพราะอาจจะสืบสาวราวเรื่องของคนโบราณว่าได้มีการติดต่อกันอย่างไร ดังเรื่องพระยาแกรก จะไปดูผู้มีบุญของพะม่า ก็มีแต่ว่าเป็นพระเจ้าคุนฉ่องจ่องพยุ ซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้าอนุรุธ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส (๓)
กรมศิลปากร
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
มีคำซึ่งเกี่ยวกับเรื่องผ้าลางคำ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าตีความหมายไม่ออก เช่น ผ้าลายซึ่งมีท้องพื้นเป็นสีขาว จดไว้ว่าผ้าลาย ท้องพัน ส่วนผ้าลายท้องพื้นเป็นสีอื่น จดไว้ว่าผ้าลาย ท้องช้ำ สังเกตสีที่ท้องพื้นก็เป็นสีเดียวกันทั่ว ไม่มีดำด่าง ซึ่งควรจะเรียกว่าสีช้ำได้ ส่วนผ้ายกขอบเป็นลายผ้าปูม ท้องพื้นเป็นสีเดียว เรียกว่า ล่องจวน ดั่งที่ทรง
พระเมตตาประทานพระอธิบายมายังข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าพื้นท้องเป็นริ้ว เรียกว่า ล่องจวนริ้ว คล้ายผ้าลายเรียกว่า ผ้าวิลาศ คำนี้พอจะเดาได้ว่าหมายความถึงผ้าต่างประเทศ เดิมผ้าชะนิดนี้จะเป็นของทำมาจากอังกฤษ ชาวอินเดียนำเข้ามา จึงได้ชื่อว่า ผ้าวิลาศ เพราะ วิลาศ มาจาก วิลลิยัต ในภาษาเปอร์เซีย หมายความว่าอังกฤษ
ผ้าลายที่เอามาแต้มทองอีกทีหนึ่ง เรียกว่า ผ้าเขียนทอง จะมีกำหนดยศชั้นในเรื่องนุ่งผ้าลายเขียนทองหรืออย่างไร ขอประทานทราบเกล้าฯ ผ้าอีกชะนิดหนึ่งเป็นไหม มีทองแล่ง ทอเป็นเส้นยืนและเส้นพุ่งห่าง ๆ แล้วเอาลวดเงินพับให้โปร่งแหลม คล้ายขนมเทียน ตรึงด้วยทองแล่ง แลดูเป็นแสงพราวคล้ายประดับเพ็ชร เรียกว่า ผ้านมสาว เรื่องชื่อผ้าข้าพระพุทธเจ้าเรียนไม่รู้จักจบ เพราะคล้ายกันมาก
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายกาตภาษาอังกฤษ ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ มากับหนังสือนี้แผ่น ๑ กาตนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้มาจากสำนักพระราชวังรวมด้วยกัน ๖-๗ แผ่น ฝีมือทำประณีตมาก
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่านลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๓ ฉะบับ ส่งทางไปรษณีย์ ฉันได้รับแล้ว เปนการง่ายดีมาก ฉันได้ตั้งใจจะบอกให้ท่านทำเช่นนั้น แต่ไม่ทันจะบอก ท่านก็ทำเสียก่อน
เรื่องคำ มหาด ตามที่มีคนเดาว่ามาแต่อะไรนั้นก็เปนเดา อาจผิดได้ถูกได้ ได้แต่เพียงยินไว้ที
คำ ไท ไท้ จะหมายความว่าอะไร จะรีบตัดสินเอาเปนแน่ลงไปทันทีนั้นไม่ดี ธรรมดาคำย่อมเปลี่ยนความหมายไปเสมอ ทางปฏิบัติของฉันนั้นจะแปลคำใดก็หาที่ใช้มา ว่าเขาใช้ประกอบคำอย่างไรบ้าง แล้วพิจารณาไปตามที่เขาใช้ประกอบ เจาะเอาความในคำนั้น อันคำว่า ไท เคยได้ยินมีคนเดากันหลายคน ว่ามาแต่คำ ไต้ ของจีน ฉันเคย
เห็นหนังสือจีน 大 เช่นนี้อ่านว่า ไต้ ถ้ามีจุดเพิ่มเข้าอีก 太 เช่นนี้อ่านว่า ไห้ ส่วนคำที่อ่านว่า ไถ่ ไม่เคยเห็นตัวหนังสือ จะเปนตัวเดียวกับ ไท้ หรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ จะให้สติท่าน มีคนออกความเห็นว่า คำ ขุน มาแต่ กุน ภาษาจีน แล้วมีคนค้านว่าจะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ อาจเปนเสียงร่วมกันเข้าเท่านั้นก็เปนได้
เรื่องพระร่วงลูกนาค เปนอันที่ท่านได้บอกต่อให้ฉันรู้ว่าในเมืองมอญ เมืองพม่าก็มี ตลอดไปจนถึงอินเดีย ฉันเชื่อแน่ว่านิทานเรื่องนั้นเราได้สืบมาแต่อินเดียทีเดียว เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ฉันไปเยี่ยมพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ มีฝรั่งคนหนึ่ง เธอแนะนำว่า เคยเปนครูของเธอ เขาถามฉันว่าสิ่งก่อสร้างทั้งปวงย่อมทำเปนนาคอยู่โดยมากนั้น แปลว่า
กะไร ก็เปนเคราะห์ดีที่ฉันไม่รู้ จึ่งบอกเขาว่าไม่รู้ แม้รู้บอกเขาไปก็มีแต่เปนภัยที่เขาจะเอาไปแต่งหนังสือ กล่าวหัวเราะเยาะเราเท่านั้น เพราะเรื่องมันคงเหลวเต็มที อันเรื่องนิทานเหลวๆ เช่น เรื่องพญาแกรก พระสี่เสา พญาโคตรบอง อะไรเหล่านี้ ฉันได้พบทางเขมรมีทั้งนั้น
ท่านกับฉันเขียนหนังสือแสดงความรู้ความเห็นแก่กันนั้น เปนทางที่พอใจฉันอย่างยิ่ง เพราะฉันนึกว่าฉันเปนนักเรียน ต้องการเรียนให้รู้อะไรมากออกไปเสมอ เพราะฉะนั้นฉันจึ่งบอกท่านว่า ฉันไม่เปนศาสดา ด้วยหากว่าตั้งตัวเปนศาสดาแล้วูก็ต้องเปนผู้รู้รอบ ใครมาถามอะไรที่ไม่รู้ก็ต้องขี้ปดไปให้ และใครติว่าอะไรผิดก็ต้องฉุน เปนทางตัดความรู้ของตัวเอง
เรื่องผ้าอย่างต่าง ๆ ฉันรู้น้อย คำว่า ผ้าลายท้องพัน นั้น เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นผ้า คิดว่าจะเขียน ผ้าลายท้องพรรณ หมายถึงพื้นสีต่างๆ คำ ผ้าลายท้องช้ำ ไม่เคยได้ยิน คำว่า ล่องจวน เปนผ้าชะนิดไรนั้น เปนพระดำรัสของสมเด็จกรมพระยาดำรงตรัสบอก ฉันถ่ายเอามาบอกแก่ท่านอีกต่อหนึ่ง ขอให้ท่านทรงไว้ว่าไม่ใช่คำของฉัน ถ้าผิดไป
แล้วไม่ใช่ฉันผิด ผ้าลายวิลาศ คำ วิลาศ นั้นหมายถึงอังกฤษแน่นอน ผ้าเขียนทอง เขาว่าเกิดขึ้นทีแรกในรัชชกาลที่ ๒ เอาผ้าลายปกติมาเขียนเส้นทองตามขอบลาย ทรงได้จำเพาะแต่พระมหากษัตริย์ ลงมาถึงชั้นพระองค์เจ้าโดยกำเนิดเปนที่สุด ต่ำกว่านั้นนุ่งเข้าก็เปนผิด ผ้าติดนมสาว นั้น ฉันไม่ทราบ ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป
ก๊าดของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ที่ท่านส่งไปให้ดูนั้น ประณีตมาก ได้ส่งคืนมาให้นี้แล้ว ลายพระราชหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฉันได้เคยเห็นหลายฉะบับ เขียนตัวโรมันทั้งนั้น แต่เขียนเปนภาษาไทย ลายพระหัตถ์งามมาก
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น (๒)
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือฉะบับนี้ ตั้งใจจะบอกท่านให้ทราบถึงอะไรต่าง ๆ ซึ่งฉันได้เคยพูดกับท่านมาแล้วบ้าง ไม่ได้พูดบ้าง แต่ได้พบหลักฐานเข้าใหม่ และได้ทราบมาใหม่ จึ่งจะบอกแก่ท่านเพื่อให้ทราบไว้ดังต่อไปนี้
๑. ตราเทพดาทรงพระนนทิการ (ดวงเก่า) ฉันฟังตามที่คนในกระทรวงวังเขาเรียกกัน แต่ใช้อักขรเอาตามชอบใจ ก่อนที่จะเขียนมาให้ท่าน ฉันได้ตรวจดูกรมศักดิ์ในกฎหมายเพื่อสอบแล้ว แต่หามีชื่ออยู่ในนั้นไม่ บัดนี้ไปพบในลักษณพระธรรมนูญ
(กฎหมายเล่ม ๑ ฉะบับหมอบรัดเล ตีพิมพ์ จ.ศ. ๑๒๓๐ หน้า ๕๐) มีชื่อไว้ว่า ตราเทพดาขี่พระนนธิการ มีคำผิดกันแห่งหนึ่ง อักษรผิดกันแห่งหนึ่ง ที่อักษรผิดกันนั้นไม่ต้องวิจารณ เพราะที่เขียน นันธิ ในพจนานุกรมไม่มี ที่คำผิดกันนั้น วิจารณว่า ทีคนชั้นหลังจะเห็นคำ ขี่ เปนหยาบ จึ่งเปลี่ยนเสียเปน ทรง ความก็อันเดียวกัน
๒. ตราบุษบกตามประทีป ทราบมาภายหลังว่า เปนตราประจำตำแหน่ง หรือตราประจำพระองค์ ของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส แต่ตราซึ่งท่านประทับไปให้ดูอย่าง จดชื่อว่า บุษบกตามประทีป นั้นเห็นมีแต่รูปตะเกียงอยู่ในบุษบก ไม่มีดวงประทีป ทั้งสังเกตเห็นฝีมือเก่ามาก กลัวจะไม่ใช่ตราบุษบกตามประทีป สำหรับกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
๓. ตราเสมาธรรมจักรน้อย ซึ่งท่านประทับตัวอย่างไปให้ดู ดูก็มีลักษณเปนตราเสมาธรรมจักรโดยตรง แต่ไม่เชื่อว่าตรานั้นมีตราน้อย จึ่งเดามาให้ท่านว่า อาจเปนตราปลัดก็ได้กระมัง ภายหลังนึกขึ้นมาได้ว่าประกาศนียบัตรนักเรียน ประทับตราเสมาธรรมจักรทุกฉะบับ ลูกหลานได้กันมาถมไป จึงเรียกเอามาดู เห็นเปนตราทำใหม่อย่างถอดด้ามทีเดียว ทีจะทำขึ้นในรัชชกาลที่ ๖ พระราชทานเปลี่ยนตราพระเพลิงทรงรมาด เมื่อดั่งนั้นก็ตระหนักในใจได้ว่าตราดวงที่ท่านประทับไปให้ดูเปนอย่างนั้น คงจะเปนตราเสมาธรรมจักรดวงเก่า
๔. ตราดวงที่ฉันว่า ฉันจำได้ ว่าพระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย) ถืออยู่นั้น พบในลักษณพระธรรมนูญ หน้า ๕๓ (แห่งกฎหมายฉะบับหมอบรัดเล ตีพิมพ์ เล่ม ๑ จ.ศ. ๑๒๓๐) มีปรากฏอยู่ดีทีเดียวว่า ตราเทพยุดาถือจักร ถือพระขรรค์ สำหรับตำแหน่งพระศรีชมภูรียปรีชาธิราช เสนาบดีศรีสาลักษณ์ (เจ้ากรมพระอาลักษณ์)
๕. ท่านเคยกล่าวสงสัย ถึงคำ สัศดี กับ คำ พระสุรัศวดี ซึ่งใช้ปะปนกันอยู่ ฉันเคยบอกท่านว่า ฉันเคยเห็นตราพระสุรัศวดี เปนเทวดาชายไม่ใช่หญิง ยืนถือสมุดมือละเล่ม บัดนี้ได้พบเข้าในลักษณพระธรรมนูญ หน้า ๕๔ (ในกฎหมายฉะบับซึ่งอ้างถึงข้างต้นนั้น) เขาจดชื่อไว้ว่า ตราพระสุภาวดี ไม่ใช่ พระสุรัศวดี ฉันพิเคราะห์คำที่ท่าน
สงสัย ชอบคำ สัศดี ว่าจะเปนถูก สงสัยว่าจะมาแค่คำ สสฺสต ซึ่งแปลว่า เปนไปเสมอ แล้วประกอบอะไรต่ออะไรเข้าจะเปน สสฺสติ ไปได้ดอกกระมัง แต่ความรู้ฉันไม่พอจะคิดให้สำเร็จตลอดไปถึงนั่นได้ คำ พระสุรัศวดี ใกล้ไปทางชื่อเทพธิดาสรัสวตี เห็นมาเข้ากับคำ สัศดี ไม่ได้ กลัวจะเปนการเดาลากเอามาเหลว
๖. เมื่อวันที่ ๒๔ เดือนนี้ ฉันเข้าไปนั่งอยู่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในการบวชนาคหลวง ได้ดูสังเกตเบญจาที่ตั้งบุษบกพระแก้วมาถี่ถ้วน จะบอกรายงานแก่ท่านต่อไปนี้ อันชั้นเบญจาซึ่งต่อด้วยไม้ตั้งขึ้นบนฐานชุกชี ซึ่งก่อด้วยอิฐนั้น ทำเปนสามชั้น แล้วมีฐานบัลลังก์ซ้อนบนรองบุษบกพระแก้วอีกชั้นหนึ่ง จึงเปนสี่ชั้น ถ้านับรวมทั้งฐานชุกชีด้วยก็เปนห้าชั้น สำเร็จเปนเบญจา อันชั้นซึ่งต่อด้วยไม้นั้น ชั้นต้น
และชั้นสองย่อเปนกระเปาะ มุมกระเปาะกลางอย่างหนา เปนชาลตั้งของบนกระเปาะนั้นได้ และก็มีของตั้งอยู่ โดยมากเปนพระพุทธรูป ส่วนชั้นสามมีย่อ แต่กระเปาะกลางอย่างแขระ ๆ พอให้รับกันกับชั้นต้นและชั้นสอง แต่ไม่มีชาลกว้างพอที่จะตั้งอะไรได้ ส่วนฐานบัลลังก์ซึ่งตั้งซ้อนขึ้นไปรับบุษบกเปนชั้นสี่นั้น ไม่ได้ย่อกระเปาะ และไม่มีชาลกว้างพอจะตั้งอะไรได้เหมือนกัน คงเปนอันมีที่ตั้งของได้อยู่สองชั้น คือชั้นต้นกับชั้นสอง ส่วนชั้นสามกับชั้นสี่นั้นตั้งอะไรไม่ได้เลย ตามที่บอกแก่ท่านทั้งนี้เพื่อท่านจะ
ได้ดูสอบกับหนังสือเรื่องซ่อมพระอุโบสถ ซึ่งมีกล่าวถึงชั้นเบญจาด้วยนั้น เขาว่าเดิมทีมีฐานชุกชี บุษบกพระแก้วตั้งอยู่กลาง พระพุทธรูปต่าง ๆ ตั้งล้อมบุษบกอย่างไม่มีระเบียบ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริให้ทำชั้นไม้นั้นขึ้น ยกบุษบกพระแก้วตั้งเบื้องบน แล้วจัดตั้งพระพุทธรูปต่าง ๆ ตามชั้นให้เข้าเปนระเบียบเรียบร้อย จะจริงหรือไม่ ฉันรับรองด้วยไม่ได้ เปนแต่ได้ยินเขาบอก อาจผิดไปก็ได้
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น (๓)
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
จะบอกท่านเรื่องตราเพิ่มเติมต่อไปอีก พวกพ้องเขาตรวจราชกิจจานุเบกษา เขาพบประกาศตราสำหรับตำแหน่ง มีอยู่ในเล่ม ๑๑ ร.ศ. ๑๑๓ หน้า ๓๕๗ เขาคัดมาให้ แต่ฉันไม่ได้คัดสำเนามาให้ท่าน เพราะเห็นว่าระบุบอกมาเท่านี้ ท่านจะดูคัดเอาเองก็ง่ายกว่า ในประกาศนั้นมีว่า
๑. ตราสุริยมณฑล พระราชทานเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
๒. ตราพระรามทรงรถ พระราชทานเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ
๓. ตราบุษบกตามประทีป พระราชทานเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ข้อนี้ผิดกันไปกับที่ฉันจำได้ ว่าพระราชทานตราพระเพลิงทรงรมาด ที่ฉันจำได้นั้นก็จำได้อย่างแม่นยำ อาจเปนเปลี่ยนก็ได้ แต่ดวงไหนจะเปลี่ยนดวงไหนนั้นไม่ทราบ ว่าแน่ไม่ได้ เพราะจำปีที่พระราชทานตราพระเพลิงทรงรมาดนั้นไม่ได้ มาเปลี่ยนเปนตราเสมาธรรมจักร (ใหม่) อีกหนหนึ่งนั้น คาดได้ว่าเปลี่ยนในรัชชกาลที่ ๖ แน่
๔. ตราจันทรมณฑล พระราชทานเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม มาเปลี่ยนเปนตราพระดุลพ่าห์ ในรัชชกาลที่ ๖ แน่
๕. ตราพระพรหมนั่งแท่น พระราชทานเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร
๖. ตรานารายน์เกษียรสมุท พระราชทานผู้บัญชาการทหารบก เข้าใจว่าดวงที่พระราชทานกรมหลวงวงษาไปใช้แต่ก่อน หรือจะเป็นดวงหนึ่งที่ฉันทักมาว่า ทำอย่างเดียวกับตรานารายน์เกษียรสมุทก็เปนได้ ภายหลังจึ่งทรงสร้างตรานารายน์ทรงปืนพระราชทานเปลี่ยนใหม่
๗. ตราศรพระขรรค์ พระราชทานผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ยินมาเมื่อเร็วๆ นี้เอง ว่าตราชื่อนี้เคยพระราชทานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ไปใช้ แต่จะเปนดวงนี้ใช่หรือไม่นั้นไม่ทราบ ภายหลังจึงทรงสร้างตรามัตสยาวตารพระราชทานเปลี่ยนใหม่
๘. ตรานารายน์ทรงราหู พระราชทานสภานายกในรัฐมนตรีสภา นี่เปนรู้ขึ้นใหม่
ประกาศนี้ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ร.ศ. ๑๑๓ (ในรัชชกาลที่ ๕)
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย