Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
2 ก.ย. เวลา 22:13 • ปรัชญา
เกร็ดประวัติหลวงพ่อเขียน ธัมมรักขิโต ๒
คัดลอกจาก
http://www.watwangtagu.com
ทายกยักยอกเงินก่อสร้างอุโบสถ
ช่วงที่หลวงพ่อเขียนจำพรรษาอยู่ที่วัดวังตะกู ปี พ.ศ.๒๔๗๑ หลวงพ่อพร้อมด้วยทายกทายิกา ได้ช่วยกันออกทุนทรัพย์ตามกำลังศรัทธาหาเงินสร้างอุโบสถ กำแพงแก้ว ซุ้มประตูและเจดีย์ ตัวอุโบสถนั้นเพียงแต่ก่ออิฐ ยังไม่ได้ฉาบปูน โดยมอบให้ทายกผู้หนึ่งเป็นผู้เก็บรักษาเงินและบัญชี ทายกผู้นั้นได้ยักยอกเงินก่อสร้างอุโบสถไปใช้ซื้อไร่ซื้อนา ปลูกสร้างบ้านเรือนใหม่ และทำลายหลักฐานบัญชีเดิมและปลอม
แปลงบัญชีขึ้นมาใหม่ เมื่อหลวงพ่อเรียกเงินจากทายกผู้นั้นเพื่อนำมาจ่ายเป็นค่าแรงงานของช่างก่อสร้าง ทายกผู้นั้นกลับปฏิเสธว่าเงินที่ตนเก็บไว้นั้นได้เบิกจ่ายไปหมดบัญชีแล้ว ทำให้การก่อสร้างอุโบสถหยุดชะงักไป ชาวบ้านรู้เรื่องเข้ามาถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอกชาวบ้านว่า
"ใครมันโกงเงินสร้างโบสถ์ ไม่ว่ารายไหนก็รายนั้น เป็นต้องคลานขี้คลานเยี่ยว มันจะต้องฉิบหายวายวอด ในที่สุดมันจะต้องถือกะลาขอทานเขากิน มันไม่จำเริญสักคนหรอกน่อ"
อยู่มาไม่นานครอบครัวของทายกผู้นั้นก็เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาพร้อมกัน คันลูกนัยน์ตา รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ผลที่สุดก็ตาบอดกันทุกคน หลานที่เกิดมาก็เสียลูกนัยน์ตาคนละข้าง ต้องทนทุกข์ทรมานคลานขี้คลานเยี่ยว เงินทองที่มีอยู่ก็นำมารักษาตัวจนหมดสิ้น ถึงกับต้องขายไร่ขายนาจนหมด สิ้นเนื้อประดาตัว ลูกหลานต้องจูงไปขอทานเขากิน ระหกระเหินเร่ร่อนไป ตามที่หลวงพ่อพูด และไม่ปรากฏว่ามีวงศ์วานว่านเครือของทายกผู้นั้นสืบเชื้อสายอยู่ที่ตำบลวังตะกูแม้แต่คนเดียว
หมีควายของหลวงพ่อลงอาบน้ำในโอ่งของชาวบ้าน
ตามปกติหมีของหลวงพ่อจะถูกขังกรงไว้เพราะความซุกซนของมัน แต่บางครั้งมันก็จะแหกกรงออกไปเที่ยว ดีที่มันเชื่องไม่ทำอันตรายผู้ใด
วันหนึ่งเจ้าหมีควายตัวนี้ได้แหกกรงหนีออกไปเที่ยวที่บ้านของชาวบ้านผู้หนึ่งและลงอาบน้ำในโอ่งใหญ่ซึ่งมีน้ำอยู่ค่อนโอ่ง เมื่อลงไปแล้วจะขึ้นจากโอ่งก็ขึ้นลำบาก มันจึงดิ้นอย่างแรง ทำให้โอ่งแตกกระจาย เจ้าของบ้านกลับมาเห็นเข้า ด้วยความโมโห จึงคว้าไม้ได้ขนาดเหมาะมือกระหน่ำตีหลายที เจ้าหมีก็มิได้ต่อสู้แต่อย่างใดวิ่งหนีกลับวัดโดยเร็ว
ครูเจริญ อาจอง กรรมการวัดเห็นเหตุการณ์โดยตลอดได้ไปเล่าให้หลวงพ่อฟังด้วยความขบขัน หลวงพ่อได้พูดกับครูเจริญว่า
"มันตีหมีกูได้น่อ โอ่งมันราคาสักเท่าไร อย่างนี้ต้องเอาตำรวจจับดีน่อ"
วันรุ่งขึ้นเจ้าของโอ่งได้ชักชวนเพื่อนบ้านมาเล่นการพนันไพ่ตองและถูกตำรวจจับฐานลักลอบเล่นการพนัน
ม้าหลวงพ่อถูกยิง
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าเขียวยักษ์หลุดเชือกไปกินข้าวในนาของทายกนวม ทายกนวมโมโหจึงคว้าปืนมายิงด้วยลูกเก้า ลูกปืนถูกเจ้าเขียวยักษ์ทุกเม็ดแต่เจ้าเขียวยักษ์ไม่เป็นอะไรเลย ฝ่ายนางมา ภรรยาทายกนวม ด้วยความโมโหไปยืนด่าว่าหลวงพ่อด้วยถ้อยคำหยาบคาย หลวงพ่อจึงบอกว่า
"มึงทำเป็นด่ากูดีไปเถอะ ระวังปากมึงจะเน่า"
ต่อมานางมาเกิดล้มป่วยปากเน่าถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ หลวงพ่อเกิดความเวทนาสงสาร จึงใช้ให้นางขาวภรรยาตาแป๊ะหลีไปบอกนางมาให้นำดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาหลวงพ่อ นางมารีบปฏิบัติตามที่หลวงพ่อบอก ไม่นานก็หายเป็นปกติ นางมากลัวเกรงนับถือหลวงพ่อมาก ไม่กล้ากล่าวจ้วงจาบหลวงพ่ออีกเลย
กวางหลวงพ่อถูกยิง
ขณะที่หลวงพ่อยังจำพรรษาอยู่ที่วัดวังตะกู มีผู้นำลูกกวางมาถวายตัวหนึ่ง หลวงพ่อเอาผ้าเหลืองผูกคอไว้ให้ชาวบ้านรู้ว่าเป็นกวางวัด เจ้ากวางตัวนี้เชื่องมาก หลวงพ่อเดินไปทางไหนมันก็จะเดินตามไปเสมอ บางครั้งเจ้ากวางตัวนี้ไปเหยียบย่ำข้าวชาวนาเสียหาย หลวงพ่อจึงมอบกวางตัวนี้ให้อาจารย์เทิน วัดสำนักขุนเณร แล้วบอกเจ้ากวางว่า
"เอ็งไปอยู่กับอาจารย์เทินวัดสำนักนั่นน่อ แล้วไม่ต้องกลับมาหาข้าอีกน่อ"
หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่าเจ้ากวางตัวนั้นกลับมาที่วัดวังตะกูอีกเลยทั้งๆ ที่วัดทั้งสองอยู่ใกล้กัน
กวางตัวนี้เมื่อไปอยู่กับอาจารย์เทินที่วัดสำนักขุนเณรแล้ว ก็ติดตามอาจารย์เทินตลอดเวลา ไม่ว่าอาจารย์เทินจะรับกิจนิมนต์ไปที่ไหน มันก็สามารถติดตามไปได้ถูกต้อง ทั้งๆ ที่บางครั้งอาจารย์เทินออกจากวัดไปตอนที่มันไม่อยู่วัดด้วยซ้ำ
วันหนึ่งเจ้ากวางตัวนี้ออกไปหากินไกลวัด ชาวบ้านไม่รู้ว่าเป็นกวางวัดจึงไล่ยิง พอเห็นผ้าเหลืองที่คอรู้ว่าเป็นกวางวัดจึงหยุดยิง แต่เจ้ากวางหนีเตลิดไปจนถึงบ้านชายคนหนึ่งไม่ทันสังเกตว่าเป็นกวางวัดจึงยิงถูกที่ตาข้างขวา ทำให้เจ้ากวางตัวนั้นตาบอด อยู่มาไม่นานชายคนนั้นเข้าป่าไปเพื่อตัดไม้ถูกไม้ทิ่มที่นัยน์ตาข้างขวาจนบอด
เจ้าเขียวยักษ์กัดหลวงพ่อ
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๗ ผู้ใหญ่พลายบ้านห้วยเรียงใต้ได้นำม้าตัวเมียมาถวายหลวงพ่อ ต่อมาไม่นานนายทอง บ้านวังอีแร้งได้นำม้าตัวผู้ ชื่อเจ้าเขียวยักษ์มาถวายหลวงพ่อ รูปร่างของเจ้าเขียวยักษ์รูปร่างใหญ่ สีเขียวแก่ ค่อนข้างดุ เจ้าของเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็กๆ จึงได้นำมาถวายหลวงพ่อ
ประมาณ ๑ สัปดาห์ต่อมา หลวงพ่อจูงเจ้าเขียวยักษ์ไปกินน้ำที่สระน้ำ เจ้าเขียวยักษ์เดินนำหน้าหลวงพ่อไปด้วยความคึกคะนอง สักครู่ก็วิ่งหวนกลับมาโจนเข้าใส่หลวงพ่อ กัดที่หน้าผาก ไหล่ขวา และที่หน้าอกแต่ไม่เข้า มีแต่เพียงรอยบุบเขียวช้ำ หลายคนที่เห็นต่างพากันคว้าไม้จะตีเจ้าเขียวยักษ์ แต่หลวงพ่อห้ามไว้ไม่ให้ตีพร้อมกับพูดว่า
"ไอ้เขียวมันลองหลวงพ่อน่อ"
วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเสกหญ้าและข้าวเปลือกให้มันกินแล้วลงอักขระที่เล็บเท้าทั้งสี่ข้าง ตั้งแต่นั้นมาเจ้าเขียวยักษ์ก็เชื่องสำหรับหลวงพ่อ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน ถ้าหลวงพ่อร้องเรียกมันจะรีบวิ่งแจ้นส่งเสียงร้องด้วยความคึกคะนอง เอาหัวมาเกยหลวงพ่อ หลวงพ่อก็จะลูบหัวมันด้วยความรัก
กำนันอิทธิพล
กำนันคนหนึ่งของตำบลวังตะกูเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมาก ได้เลี้ยงม้าไว้ตัวหนึ่งชื่อลอยลม วันหนึ่งเจ้าเขียวยักษ์นำฝูงม้าไปกินหญ้าเกิดไปพบกับเจ้าลอยลมเข้าก็เลยกัดกัน กำนันโมโหมากคว้าปืนลูกซองจะยิงเจ้าเขียวยักษ์ แต่พลาดไปถูกเจ้าลอยลมตายคาที่ กำนันยิ่งโมโหมากขึ้นจึงกราดยิงใส่ฝูงม้าหลายนัด มีม้าตายคาที่ ๗ ตัว ม้าที่เหลือพากันวิ่งกลับวัด ม้าแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งวิ่งมาตายหน้ากุฏิหลวงพ่อ เจ้าเขียวยักษ์ใช้ขาหน้าตะกุยดินส่งเสียงดังลั่นที่หน้ากุฏิ หลวงพ่อเปิดกุฏิออกมาพูดว่า
"เออ กูรู้แล้วน่อ"
หลวงพ่อเดินลงบันไดไปหาเจ้าแสงจันทร์เอามือลูบตามตัวที่ถูกกระสุนปืนพอเลือดซึมๆ หลวงพ่อเหลียวไปดูม้าตัวเมียที่นอนตาย ลูกของมันกำลังไซ้ดูดนมแม่ของมันอยู่ หลวงพ่อเกิดความสังเวชใจเป็นอย่างมาก พูดขึ้นดังๆว่า
"ใครมันทำกับพวกมึงอย่างไร ในสามวันเจ็ดวันมันจะต้องโดนอย่างมึงบ้างจนได้น่อ"
หลังจากนั้นเพียงสองสามวัน กำนันได้ไปตรวจฝายที่กั้นน้ำที่บ้านท่าโป่ง และถูกคนร้ายยิงตายในคืนนั้นเอง
นายเสนฟันม้าหลวงพ่อ
ม้าของหลวงพ่อออกลูกหลานจำนวนมาก วันหนึ่งม้าไปกินข้าวโพดของนายเสน นายเสนโมโหมากคว้าจอบได้วิ่งไล่ฟันถูกท้องม้าตัวเมียเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ฝูงม้าพากันวิ่งกลับวัด หลวงพ่อรู้ว่าม้าถูกฟันจึงนำผ้าสบงชุบน้ำมันปิดทาบที่แผลแล้วพับผ้าสบงทาบลงไปอีกชั้นหนึ่ง เอาผ้าสบงมัดปลายติดกันแล้วเอาไปคาดท้องม้าทับผ้าชุบน้ำมันไว้จนแน่น จนกระทั่งแผลหายสนิท แต่ท้องม้าได้หย่อนยานไปกว่าปกติ ส่วนนายเสนอยู่ต่อมาป่วยเป็นโรคท้องมานพุงกางไปไหนมาไหนไม่ได้ นายเสนกลัวตายจึงให้ญาติช่วยหามไปหาหลวงพ่อและขอขมาต่อหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงได้พูดว่า
"โรคมันเกิดขึ้นมาได้ มันก็ต้องหายได้น่อ"
หลวงพ่อเสกปูนทาให้แล้งพูดว่า "หายน่อ"
อยู่มาไม่นานนายเสนก็หายเป็นปกติ
คนร้ายขโมยพระเนตรพระประธานในอุโบสถ
คราวหนึ่งช่วงที่หลวงพ่อเขียนจำพรรษาที่วัดสำนักขุนเณร มีกิจธุระเดินทางไปที่วัดชอนไพร จังหวัดเพชรบูรณ์ กลางคืนคนร้ายได้เข้ามาขโมยพระเนตรทั้งสองข้างของพระประธานในอุโบสถ เมื่อหลวงพ่อกลับมา ครูเจริญ อาจองได้แจ้งให้หลวงพ่อทราบ หลวงพ่อไปดูพระพุทธรูป ท่านได้กระทำทักษิณาวัตร ๓ รอบ แล้วได้เดินขึ้นกุฏิไปพร้อมกับบ่นว่า
"ไอ้ตาบอดมาลักไปได้ ไม่กลัวเวรกรรมเลยน่อ"
หลังจากนั้นสองสามวัน ครูเจริญกลับจากโรงเรียนตอนเย็นได้ยินเสียงชาวบ้านเข้าทรงเจ้ากันอยู่ข้างๆบ้านเพื่อรักษาคนป่วยคนหนึ่งชื่อแสวง คนทรงเจ้าพูดว่า
"เจ้าสองคนไปลักนัยน์ตาพระในโบสถ์มา ต้องเอาไปคืนเสีย"
คนป่วยบอกว่า "ไม่ได้ลัก"
คนทรงเจ้าบอกว่า "ลักแน่ ถ้าไม่เอาไปคืน เจ้าจะตาบอด"
วันรุ่งขึ้นนายแสวงมีอาการทุรนทุราย นัยน์ตาพร่ามองอะไรไม่เห็น ต่อมาอีกสองวันก็ถึงแก่กรรมลง ส่วนเพื่อนนายแสวงกลัวจะถูกจับจึงทิ้งลูกเมียหนีหายสาบสูญไป
เรื่องที่เกิดขึ้นกับนายอินทร์ บุญต้อ
นายอินทร์ บุญต้อ เป็นพี่เขยของหลวงพ่อเขียน จึงมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นหลายครั้ง
ครั้งแรกม้าของหลวงพ่อได้หนีออกไปกินข้าวของนายอินทร์ นายอินทร์โมโหคว้ามีดหวดขว้างไปถูกขาม้าพอดี หลวงพ่อเห็นบาดแผลของม้าและทราบจากนายหลีหลานของนายอินทร์บอกว่าปู่เป็นคนขว้าง หลวงพ่อจึงพูดขึ้นมาลอยๆว่า
"ถ้าไม่ใช่พี่เขยละก็มึง....."
ท่านพูดยั้งๆ ไว้แค่นั้น อีกสองวันต่อมานายอินทร์ไปหวดหญ้าข้างบ้าน มีดหวดหลุดกระเด็นมาถูกขาได้รับบาดเจ็บ ต้องมาหาหลวงพ่อให้ทำน้ำมันใส่ให้
ครั้งที่สองม้าของหลวงพ่อก็ไปกินข้าวของนายอินทร์อีก นายอินทร์ได้ใช้เหล็กแหลมพุ่งโดนขาหน้าม้า เหล็กแหลมติดขาม้าไป หลวงพ่อได้ช่วยดึงเหล็กแหลมออกให้ ตกเย็นนายอินทร์นั่งคุยกับญาติที่ระเบียงบ้าน งูตัวหนึ่งตกลงมาจากหลังคากัดที่นิ้วก้อยเท้าของนายอินทร์ มีอาการปวดบวม แผลเน่าจนนิ้วก้อยหลุด นายอินทร์จึงไปกราบไหว้ขอโทษหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงทำน้ำมันใส่ให้จนหายเป็นปกติ
ฝนตก ๕ นาทีในงานพุทธาภิเษกที่วัดวังตะกู
หลังจากหลวงพ่อเขียนย้ายไปจำพรรษาที่วัดสำนักขุนเณรแล้ว เจ้าอาวาสวัดวังตะกูสมัยหนึ่งชื่ออาจารย์ประทุม สุนทรกล้า ได้ไปกราบนมัสการขออนุญาตหล่อรูปหลวงพ่อเขียนและสร้างเหรียญรูปหลวงพ่อเขียนและได้จัดงานพุทธาภิเษกขึ้น เพื่อให้ประชาชนบูชาหารายได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดวังตะกู หลวงพ่อก็อนุญาต ในงานพิธีพุทธ
าภิเษกครั้งนั้น คณะกรรมการได้นิมนต์พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาทำพิธีเป็นอันมาก ในขณะที่ทำพิธีไปได้ประมาณ ๑๐ นาที ทั้งๆ ที่ท้องฟ้าแจ่มใส ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก พระอาจารย์ต่างๆ หนีขึ้นกุฏิกันหมด เว้นแต่หลวงพ่อองค์เดียว กรรมการได้มานิมนต์หลวงพ่อขึ้นกุฏิ หลวงพ่อบอกว่าท่านขึ้นอีกองค์หนึ่งพิธีก็เสียหมด ท่านบอกต่อไปว่า
"ฝนมันตกไม่นานหรอกน่อ มันตกเพียง ๕ นาทีก็หยุด เทวดาเขาให้ฤกษ์ดีน่อ"
กรรมการทั้งหลายจับเวลาดูปรากฏว่าถึง ๕ นาทีฝนก็หยุดตกขาดเม็ดเลยทีเดียว อาจารย์ประทุมได้ไปเอาผ้าไตรมาให้หลวงพ่อเปลี่ยน เพราะคิดว่าผ้าไตรหลวงพ่อคงจะเปียกหมด หลวงพ่อบอกว่า
"ไม่ต้องเปลี่ยนน่อ"
ปรากฏว่าผ้าไตรที่หลวงพ่อครองอยู่นั้นไม่ได้เปียกเลยแม้แต่น้อย ฝนที่ตกก็ตกเฉพาะในบริเวณวัดเท่านั้น นอกเขตวัดออกไปฝนไม่ตกเลยเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ม้าพากันเดินทางไปหาหลวงพ่อที่เพชรบูรณ์
วันหนึ่งหลวงพ่อมีกิจนิมนต์ที่วัดชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อทำพิธีพุทธาภิเษกเครื่องรางของขลัง หลวงพ่อเดินทางโดยขึ้นรถไฟที่สถานีบางมูลนากไปลงที่สถานีตะพานหิน แล้วขึ้นรถยนต์เดินทางต่อไปจนถึงวัดชอนไพร และวันนั้นม้าของหลวงพ่อก็หายไปจากวัดหมด ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน ปรากฏว่าพอหลวงพ่อถึง
วัดชอนไพร ม้าของหลวงพ่อก็ทยอยถึงวัดครั้งละ ๒-๓ ตัว มากมาย ครั้นเสร็จงานพุทธาภิเษกแล้ว หลวงพ่อเดินทางกลับมาวัดสำนักขุนเณรทางเดิม ม้าของหลวงพ่อก็ทยอยกลับถึงวัดเช่นกัน เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าม้าทุกตัวเกิดและเติบโตที่วัดสำนักขุนเณรไม่เคยไปจังหวัดเพชรบูรณ์เลย ไฉนจึงเดินทางไปกลับวัดชอนไพรกับวัดสำนักขุนเณรทางป่าโดยไม่มีคนต้อนไปได้อย่างถูกต้อง
อภินิหารเหรียญรูปหลวงพ่อเขียน
ในงานพุทธาภิเษกที่วัดวังตะกู ซึ่งเป็นการหล่อรูปหลวงพ่อเขียนเป็นครั้งแรก คณะกรรมการได้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ มีมหรสพหลายอย่าง ประชาชนที่เห็นพิธีกรรมการพุทธาภิเษก เกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่างพากันบูชาพระเครื่องและเหรียญรูปหลวงพ่อเขียนกันอย่างล้นเหลือ
ในงานนี้มีการแสดงของสัตว์ด้วย ชายเจ้าของสัตว์ได้บูชาเหรียญหลวงพ่อเขียนด้านหนึ่ง หลวงพ่อทบ (เกจิอาจารย์ชื่อดังของ อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์) อีกด้านหนึ่ง จำนวน ๑ เหรียญ เหรียญกงจักรของหลวงพ่อเขียนอีก ๑ เหรียญ ชายเจ้าของสัตว์ผู้นี้ใส่สายสร้อยแขวนเหรียญทั้งสองนี้ที่คอ ในขณะนั้นเจ้าหมีของเขาได้หลุดจากกรงออกมาอาละวาดกลางลานวัด ผู้คนวิ่งหนีแตกตื่นกันอลหม่านไปหมดเพราะความกลัว เจ้าของหมีเคยบังคับมันได้ คว้าไม้พลองเข้าไล่ต้อน แทนที่เจ้าหมีจะกลัว
เหมือนเช่นเคย กลับตรงรี่เข้าใส่เจ้าของ ทั้งตบทั้งกัด เจ้าของใช้ไม้พลองต่อสู้กันชั่วครู่ เจ้าหมีเป็นฝ่ายปราชัยยอมเข้ากรงตามเดิม ปรากฏว่าเจ้าของไม่มีบาดแผลจากเขี้ยวเล็บของหมีเลย มีแต่รอยเขี้ยวเป็นรอยบุ๋มและรอยขีดข่วนจากเล็บหมีเป็นทางทั่วตัว ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างแย่งกันบูชาเหรียญหลวงพ่อกันเป็นการใหญ่ เจ้าของหมีเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า นำเงินจากการแสดงของสัตว์มาบูชาเหรียญหลวงพ่อเป็นเงินพันกว่าบาท และยังนำเงินถวายวัดอีกจำนวนหนึ่ง
ม้าของหลวงพ่อกินข้าวกินน้ำในแปลงนาของชาวบ้าน
ม้าที่มีผู้มาถวายหลวงพ่อได้ขยายพันธ์จนเป็นฝูงใหญ่ แม้ว่าหลวงพ่อจะเลี้ยงดูด้วยข้าวเปลือกอย่างดี มันก็อดซุกซนไปตามประสาสัตว์ไม่ได้ และการที่ม้าฝูงใหญ่เข้าไปกินข้าวในนาใครย่อมเกิดความเสียหายเป็นปกติ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปนี้เป็นเรื่องของนายม้วน บัตรเพ็ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่อหลวงพ่อเขียนอย่างแรงกล้า
นายม้วนเล่าว่าขณะนั้นเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ตนได้เกี่ยวข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตากข้าวรายไว้ยังไม่ได้หอบทำฟ่อน วันรุ่งขึ้นขณะเดินไปนาเห็นฝูงม้าจำนวนมากกำลังกินน้ำอยู่ที่หนองน้ำใหญ่ในนา ตนตกใจมากคิดว่าข้าวที่ตากรายไว้คงถูกเตะกระจัดกระจายหมดแล้ว จึงยกมือไหว้ท่วมหัวบอกหลวงพ่อ เสร็จแล้วเดินตรงไปที่ฝูงม้าบอกว่า
"กินให้อิ่ม เสร็จแล้วก็กลับวัดนะ"
ฝูงม้ากินน้ำต่อจนอิ่มทุกตัวเสร็จแล้วก็เดินกลับวัดไปจริงๆ นายม้วนได้เดินสำรวจข้าวที่ตากรายไว้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ม้ากว่า ๓๐ ตัวเดินเข้าไปในนา แต่ข้าวทุกรายยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม ไม่มีกระจัดกระจายเลยแม้แต่รายเดียว
มหาบุญเหลือกับมหาชั้นหลงทาง
พระมหาบุญเหลือ เจ้าอาวาสวัดชัยมงคลกับมหาชั้น เจ้าอาวาสวัดท่าฬ่อ เดินทางไปเทศน์ด้วยกันที่บ้านห้วยพุก เมื่อเทศน์จบแล้วเวลาประมาณ ๔ โมงเย็นเศษๆ จึงได้ออกเดินทางจากวัดห้วยพุกผ่านป่าเรื่อยมา ท่านมหาทั้งสองไม่เคยชินกับเส้นทาง เดินวกวนหลงอยู่ในป่า บ้านคนก็ไม่ค่อยมี นานๆ จะเจอสักหลัง กว่าจะพบบ้านคนช่วยบอกเส้นทางให้ก็เดินกันจนเท้าระบมเดินเกือบไม่ไหว อุตส่าห์มานะดั้นด้นเดิน
ทางมาจนถึงวัดวังตะกูในเวลาตีหนึ่ง มหาบุญเหลือจึงชวนกันพักค้างคืนกับหลวงพ่อเขียน มหาบุญเหลือรู้จักมักคุ้นกับหลวงพ่อเขียนดี เมื่อไปถึงกุฏิหลวงพ่อเขียนปรากฏว่าประตูหน้าต่างปิดหมด แลเห็นแสงไฟทางช่องลมสลัวๆ มหาทั้งสองแอบดูตามรอยแตกของฝาห้อง แลเห็นหลวงพ่อเขียนนั่งสมาธินิ่งอยู่ที่หน้าแท่นพระบูชาด้วยอาการสงบ มหาชั้นจึงกระซิบกับมหาบุญเหลือว่า
"อย่าไปเรียกท่านเลย จะเป็นการรบกวนท่าน เรานอนกันข้างนอกหน้ากุฏิท่านนี่แหละ"
มหาชั้นเอนตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย ทันใดนั้นเองหลวงพ่อเขียนได้พูดด้วยเสียงอันดังจากภายในห้องว่า
"มหาเดินหลงทางกันมาซิน่อ แย่เลยหนอ พักนอนกันเสียที่นี่ ไม่ต้องเกรงใจน่อ"
แล้วท่านก็เปิดประตูออกมา มหาทั้งสองอัศจรรย์ใจมากที่ท่านพูดออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดประตูออกมาด้วยซ้ำ ท่านรู้ได้อย่างไร (บันทึกจากคำบอกเล่าของมหาชั้น รุ่งอินทร์ ร้านมิตต์แท้ อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร)
ป้ากวา อุทัยธรรม ตกรถไฟ
จากคำบอกเล่าของอาจารย์สัญชัย พฤกษะวัน อาจารย์วิทยาลัยครูเพชรบูรณ์ เล่าว่า ป้ากวา เป็นผู้หนึ่งที่ศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเขียนมาก ได้เดินทางมานมัสการหลวงพ่อเขียนที่วัดสำนักขุนเณรเสมอๆ ราว พ.ศ. ๒๕๐๔ ป้ากวาได้มานมัสการหลวงพ่อเขียนตามปกติ ก่อนกลับกลัวไม่ทันรถไฟ ก็กราบเรียนถามหลวงพ่อว่าจะกลับทันรถไฟหรือไม่ หลวงพ่อก็บอกว่า
"ไม่ทันน่อ"
ป้ากวารีบร้อนเดินทางมาถึงสถานีรถไฟบางมูลนาก รถไฟก็ยังไม่มาจึงเข้าไปซื้อของในตลาด ปรากฏว่าพอป้ากวาออกมาก็ไม่ทันรถไฟเสียแล้ว
อีกครั้งหนึ่งเย็นมากแล้ว ป้ากวากลัวว่าจะไม่ทันรถไฟ ก็กราบเรียนถามหลวงพ่อเขียนอีก หลวงพ่อตอบว่า
"ทันน่อ ให้ไปอย่าเหลียวหลังกลับ"
ปรากฏว่าป้ากวามาถึงสถานีรถไฟบางมูลนาก รถไฟก็ยังมาไม่ถึงและป้ากวาได้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ
อาจารย์สัญชัย โดนสุนัขอัลเซเชี่ยนกัด
จากคำบอกเล่าของอาจารย์สัญชัย พฤกษะวัน อาจารย์วิทยาลัยครูเพชรบูรณ์ เล่าว่า ราว พ.ศ. ๒๕๐๔ อาจารย์ได้เดินทางไปพบอาจารย์สมทรงที่โรงเรียนตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ซึ่งอาศัยอยู่กับญาติ พอไปถึงบ้านปรากฏว่ามีสุนัขอัลเซเชี่ยนขนาดใหญ่ตรงรี่เข้ามากัดจนเสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง แต่ตนเองไม่เป็นอะไรเลย และในตัวมีแหวนเงินหลวงพ่อเขียนเพียงวงเดียวเท่านั้น
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย