3 ก.ย. เวลา 03:08 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Not One Less คุณครูวัย 13 กับเด็กชายที่หายไปในตอนนั้น ตอนนี้เป็นอย่างไร

“ฉันโชคดีมากที่ได้ถ่ายหนังกับอาจางอี้โหมว ประสบการณ์นี้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของฉัน ช่วยให้ฉันมีโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยและไปเรียนต่างประเทศ … หากไม่ใช่หนังเรื่องนี้ ฉันอาจอยู่บ้านเลี้ยงหมู แต่งงานมีลูก และเป็นแม่บ้านไปแล้ว”
หลังจาก Not One Less เว่ยหมิ่นจือเด็กหญิงวัย 13 จากครอบครัวสุดยากจนในชนบทของมณฑลเหอเป่ยกลายเป็นที่รู้จักโด่งดังทั่วประเทศจีนทันที กลายเป็นนักแสดงที่วงการบันเทิงจีนต้องการตัวมากที่สุด เธอถูกติดต่อทาบทามอย่างรวดเร็วจากสื่อต่างๆ ผู้ผลิต และเอเจนซี่โฆษณา ซึ่งต่างก็เสนอสัญญาและโอกาสการลงทุน บางรายถึงกับแสดงท่าทีเต็มใจที่จะนำเสนอภาพลักษณ์ของเธอในฐานะ "ตัวแทนของการโต้กลับจากชนบท"
อย่างไรก็ตาม ความตื่นเต้นนี้ถูกขัดจังหวะด้วยคำพูดของจางอี้โหมวที่ว่า "เธอไม่เหมาะกับวงการบันเทิง" เขาบอกกับเว่ยหมินจื้อเป็นการส่วนตัวว่า
"เธอไม่สวยพอ และรูปร่างของเธอก็ไม่เหมาะ ภาพยนตร์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเธอได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนอย่างหนัก ฉันจะหาทางคุยกับคนรู้จักให้"
เมื่อเผชิญกับทางเลือกนี้ เว่ยหมินจื้อจึงละทิ้งทุกโอกาสโดยไม่ลังเล และกลับไปยังหมู่บ้านตงจ้าจื่อเพื่อศึกษาต่อ ไม่กี่เดือนต่อมา ไจ้ จื้อไห่ ประธานโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นสือเจียจวงอีลิท ได้ติดต่อเว่ยหมินจื้อและเสนอที่จะสนับสนุนค่าเล่าเรียนฟรีให้กับเธอและน้องสาว (รวมทั้งจางหุยเคอะ) และจัดหางานให้พ่อแม่ของเธอ เว่ยหมินจื้อตกลง ซึ่งทำให้เธอตระหนักว่าวุฒิการศึกษาเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ (สอบเกาเข่า) ตอนอายุ 19 ปี ในปี 2004 เว่ยหมินจื้อได้สมัครเข้าเรียนที่ภาควิชากำกับภาพยนตร์ของสถาบันภาพยนตร์ปักกิ่ง เธอทุ่มเทให้กับการเตรียมตัวสอบเข้าวิทยาลัยแห่งชาติ (เกาเข่า) ใช้ไฟฉายเพื่ออ่านหนังสือจนดึกดื่นบนเตียงตลอดเวลาสามเดือน แม้ว่าเธอจะสอบผ่านทั้งรอบแรกและรอบสอง แต่สุดท้ายเธอก็สอบตก มีรายงานข่าวออนไลน์ล้อเลียนเธอว่าเป็น "นักแสดงหญิงที่น่าเกลียดที่สุดที่สอบตก" ทำให้เธอตกเป็นเป้าของการเยาะเย้ย เธออดทนอย่างเงียบๆ โดยไม่ตอบโต้ใดๆ
แต่ผลความพยายามก็สำเร็จ เมื่อในที่สุดเธอก็ได้รับการตอบรับเข้าเรียนที่ภาควิชากำกับและเขียนบทภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยซีอานอินเตอร์เนชันแนล ด้วยคะแนน 460 คะแนน ซึ่งสูงกว่าคะแนนขั้นต่ำ 200 คะแนน
ชีวิตของเว่ยหมิ่นจือเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อ ศาสตราจารย์เฉิน เอ๋อกังจาก Brigham Young University ที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา มาบรรยายที่จีน และเข้าชอบหนัง Not One Less มาก ถึงกับขอเจอตัวเว่ยหมิ่นจือ เขาเห็นถึงความมุ่งมั่นและความอดทนของเธอ ศาสตราจารย์เชื่อว่าเว่ยหมิ่นจือมีคุณสมบัติครบถ้วนตามโครงการทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย จึงแนะนำให้เธอไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยมีเงื่อนไขเพียงว่าต้องผ่านเกณฑ์ภาษาอังกฤษ เว่ยหมิ่นจือตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนัก จนได้รับทุนและเดินทางไปเรียนต่อที่ Brigham Young University
ระหว่างศึกษา เธอไม่เพียงแต่เรียนเก่ง แต่ยังเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ ทั้งเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตของคณะนักร้องประสานเสียงและเป็นผู้ช่วยกำกับงานแสดงในงานกีฬา ชีวิตของเว่ยหมิ่นจือพิสูจน์ให้เห็นว่า ความตั้งใจ ความเพียร และโอกาสที่เหมาะสมสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้จริง ๆ จากเด็กหญิงบ้านนอกสู่การเรียนต่างประเทศ และมีชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งด้านงานและครอบครัว ปัจจุบันเธอมีลูกสองคน
ประสบการณ์ชีวิตเหล่านี้ยังทำให้เว่ยหมิ่นจือเกิดมุมมองด้านการศึกษาอย่างลึกซึ้ง เธอเชื่อว่าการศึกษาไม่ใช่แค่การสอนหนังสือ แต่คือการให้ความรัก ความเข้าใจ และการเป็นตัวอย่างให้กับเด็ก ครูควรเข้าใจความต้องการของเด็ก และนำทางด้วยความอดทน ไม่ใช่เพียงใช้คำสั่งหรือความเข้มงวด นอกจากนี้ การศึกษาที่ดีต้องยืดหยุ่น เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ไม่สามารถผลิตเด็กทุกคนให้เหมือนกันราวกับเครื่องจักร
เมื่อกลับมาจีน เว่ยหมิ่นจือเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในฐานะผู้สร้างสารคดี ผลงานของเธอมักสะท้อนเรื่องราวชนบท การศึกษา และการดิ้นรนของผู้คนธรรมดา หนึ่งในงานสำคัญคือสารคดี Miracle’s Daughter ที่เล่าเรื่องชีวิตจริงซึ่งคล้ายคลึงกับชะตากรรมของเธอเอง และยังคงยึดโยงกับธีมที่ทำให้ Not One Less ทรงพลังมาตั้งแต่ต้น คือพลังของการศึกษาในการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ไม่เพียงเท่านั้นในปี 2023 เธอกำกับภาพยนตร์ Mountain on the Other Side(บางทีใช้ชื่อ Beyond the Mountain) ซึ่งสร้างแรงสะเทือนในระดับนานาชาติ คว้ารางวัล Global Changemaker Award จากเทศกาลภาพยนตร์นิวยอร์ก และยังได้รับคำชมจากโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติว่าเป็น “ตัวอย่างที่ดีที่สุดของพลังการศึกษา”
ส่วน จางหุยเคอะ ชื่อที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงตัวละครเล็ก ๆ ในภาพยนตร์ Not One Less ของจางอี้โหมว วันนี้กลายเป็นเรื่องจริงที่สะท้อนพลังแห่งการศึกษาและความพยายามได้อย่างงดงาม เขาเคยเป็นเด็กชายอายุเพียงสิบปีในหมู่บ้านห่างไกลที่ต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานในเมืองเพื่อช่วยครอบครัวแบกรับหนี้สิน ชะตากรรมของเขาในหนังถูกเว่ยหมิ่นจือไล่ตามหาด้วยคำสั่งเสียของครูว่า “เด็กนักเรียนต้องไม่หายไปสักคน”
แต่หลังม่านภาพยนตร์ลง ชีวิตจริงของจางหุยเคอะก็มิได้หยุดอยู่ตรงนั้น หลังหนังออกฉายมีคนยื่นมือมาช่วยเหลือเขาให้ได้เรียนต่อ
ด้วยความช่วยเหลือจากผู้อุปถัมภ์ จางหุยเคอะมีโอกาสได้กลับเข้ามาเรียนต่อที่โรงเรียนในเมือง เส้นทางนี้ไม่ง่ายเลย แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ จนในที่สุดสามารถเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัยด้านการถ่ายภาพและสื่อสารมวลชน ในปี 2009 ที่ Hebei Media College นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เด็กชายจากครอบครัวยากจนได้ยืนอยู่ในโลกใหม่ที่กว้างกว่าเดิม
หลังเรียนจบ เขาไม่ได้เพียงแค่หางานเพื่อยังชีพ แต่พยายามตอบแทนสังคม โดยได้เริ่มต้นทำงานในฐานะ นักข่าวภาพ (camera journalist) ที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งในท้องถิ่น และในปี 2010 ได้เปลี่ยนมาทำงานกับกลุ่มธุรกิจ “Elite Group” ที่เขาค่อย ๆ ก้าวในงานจากเจ้าหน้าที่ทั่วไป จนกลายเป็นหัวหน้าสำนักงานกลุ่มพัฒนากีฬา ก่อนจะได้รับตำแหน่งรองผู้อำนวยการของสำนักงานด้านกีฬา ซึ่งถือว่าเป็นงานบริหารในองค์กรที่มั่นคงและมีอิทธิพลในพื้นที่
นอกจากนี้ เขายังไม่ลืมจุดเริ่มต้นและความช่วยเหลือที่เคยได้รับ เมื่อมีโอกาส เขาก็เข้าร่วมแคมเปญสาธารณะด้านการศึกษา (public education ad) ซึ่งได้รางวัลระดับชาติ นั่นคือการตอบแทนสิ่งที่เขาเคยได้รับ และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ รุ่นหลัง
เรื่องราวของเว่ยหมิ่นจือ และ จางหุยเคอะยืนยันว่าความยากจนไม่อาจปิดกั้นอนาคตได้ หากมีความพยายามและโอกาส แม้จุดเริ่มต้นจะเล็กเพียงแค่การได้รับเลือกให้แสดงในภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง แต่เขากลับใช้มันเป็นแรงผลักดันในการสร้างชีวิตใหม่ พวกเขาไม่ปล่อยให้ชื่อเสียงชั่วคราวจากแสงไฟบนจอภาพยนตร์มาหลอกล่อ แต่เลือกจะก้าวต่อไปด้วยสองมือของตนเอง
Not One Less ของผู้กำกับจางอี้โหมว ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลจีน บนความเข้าใจตรงกันว่าไม่วิพากย์การเมือง แต่เมื่อหนังออกฉายมันได้สะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา คุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทในระดับลึกซึ้งถึงโครงสร้าง แม้จะไม่วิพากย์การเมืองโดยตรงแต่ทุกรายละเอียดได้สะท้อนความเป็นคนชายขอบได้ถึงแก่น จางอี้โหมวเลือกทำ Not One Less ให้ออกมาในแนวเรียลลิสติก ที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยพลังและข้อคิดที่ทำให้ผู้ชมต้องตราตรึงใจ
Not One Less ถือกำเนิดขึ้นจากนวนิยายต้นฉบับชื่อ A Sun in the Sky ของซือเสียงเชิง ในฉบับนิยาย ตัวละครหลักเป็นครูชายสูงวัยที่ต้องดูแลนักเรียนในโรงเรียนชนบทและตามหานักเรียนที่ขาดเรียน แต่จางอี้โหมวตัดสินใจปรับเปลี่ยนตัวละครหลักให้กลายเป็นเด็กหญิงวัยเพียง 13 ปี ชื่อเว่ยหมิ่นจือ
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงทำให้เรื่องราวสดใหม่ แต่ยังทำให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงความมุ่งมั่น ความบริสุทธิ์ และความรับผิดชอบของเด็กหญิงได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนในเรื่องสามารถเป็นตัวของตัวเองและแสดงอารมณ์ตามสถานการณ์จริง
โครงเรื่องในภาพยนตร์ถูกปรับให้เรียบง่ายและหลวมกว่าในฉบับนิยาย ลดความซับซ้อนของสภาพสังคมชนบทและปัญหาต่าง ๆ ให้โฟกัสไปที่ความพยายามและความตั้งใจของเว่ยหมิ่นจือในการดูแลนักเรียนและตามหาผู้ที่ขาดเรียน จางอี้โหมวเองกล่าวว่า
“Not One Less เป็นเรื่องราวเรียบง่าย ธรรมดา และเก่าแบบดั้งเดิม ซึ่งนี่เองคือเป้าหมายของเรา เราต้องการทำหนังจริงและทรงพลังจากเรื่องธรรมดา” การปรับลดนัยยะทางการเมืองนี้ ทำให้หนังสามารถเข้าถึงผู้ชมทุกวัย และให้ความสำคัญกับคุณค่าของความเพียร ความรับผิดชอบ และความมุ่งมั่นของเด็กหญิงชนบท
ความสมจริงของ Not One Less ยิ่งชัดเจนขึ้นเพราะ นักแสดงประกอบเกือบทั้งหมดเป็นชาวบ้านจริง ๆ ทั้งผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ และคนในชุมชน อย่างเทียนเจิ้นต้า ผู้รับบทนายกเทศมนตรี ก็เป็นนายกเทศมนตรีในชีวิตจริงของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง และนักแสดงหลัก เว่ยหมินจือ และจางหุยเค่อ ก็ได้รับการคัดเลือกจากนักเรียนหลายพันคนในโรงเรียนชนบท และบางฉากจางอี้โหมวได้ใช้วิธีการแอบถ่ายจริง ๆ ทำให้ภาพยนตร์ดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือ รวมทั้งใช้ชื่อจริงของทั้งคู่เป็นชื่อของตัวละครไปด้วย
จางอี้โหมวยังตัดนัยยะทางการเมืองออกไปทั้งหมดจากต้นฉบับ แม้ว่านิยายจะมีเนื้อหาสะท้อนสังคมหรือความขัดแย้งของชนบท แต่ภาพยนตร์เลือกเน้นเพียงเรื่องราวของความมุ่งมั่น ความรับผิดชอบ และความเพียรของเด็กหญิงในการตามหานักเรียนที่ขาดเรียน การปรับลดนัยยะทางการเมืองช่วยให้หนังเป็นเรื่องสากล สามารถเข้าถึงผู้ชมทุกวัย และให้ความสำคัญกับคุณค่าของความเพียรและความรับผิดชอบ
กระบวนการปรับบทของจางอี้โหมวเป็นไปอย่างละเอียดและรอบคอบ เขาใช้เวลาถึงสี่เดือนในการประชุมปิดประตูร่วมกับนักเขียนเจ้าของนิยาย เพื่อปรับรายละเอียดและให้บทเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ แสดงตัวตนจริง ๆ ตามสถานการณ์ การปรับเปลี่ยนนี้ทำให้หนังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีความเรียลลิสติกและสมจริงอย่างมาก
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงวิธีคิดของจางอี้โหมวที่ต้องการให้หนังสามารถสื่อสารและสร้างความทรงจำให้กับผู้ชม โดยไม่พยายามใส่ข้อความหรือสาระทางการเมืองใด ๆ หนัง Not One Less จึงกลายเป็นผลงานที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง สามารถถ่ายทอดความมุ่งมั่น ความรับผิดชอบ และความพยายามของเด็กหญิงชนบทได้อย่างลึกซึ้งและยาวนาน
เชื่อว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจของหลายๆคน
โฆษณา