4 ก.ย. เวลา 10:38 • ประวัติศาสตร์

กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒

๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่านลงวันที่ ๑๖ มกราคม พร้อมทั้งสมุดประชุมจารึกภาคที่ ๒ ได้รับแล้ว
ขอบใจท่านเปนอันมาก ที่จัดการช่วยให้ได้รับสมุด ประชุมจารึกภาคที่ ๒ ในนามของหอสมุดแห่งชาติ ตามประสงค์ โดยไม่ต้องใช้ราคา แต่ถึงแม้ต้องใช้ก็ไม่รังเกียจอย่างไรเลย เปนการบำรุงหอสมุด
ในการปรุงหลังคา ไม่ว่าหลังคาอะไร เขาย่อมปรุงกันกับพื้นดินก่อนทั้งนั้น เสร็จแล้วจึ่งยกขึ้นปรับกับที่ เขาไม่ได้ปรุงกันบนที่สูงมิได้ ​ด้วยจะทำลำบาก แต่เพราะเปนหลังเครื่องสับจึ่งรื้อเอาขึ้นไปคุมได้ เมื่อเปนหลังคาเครื่องผูกก็รื้อไม่ได้ ต้องยกขึ้นไปทั้งอันอยู่เอง ในการที่เขาชักมุมขึ้นไปก่อน ก็จำเปนให้ต้องทำเช่นนั้น เพราะจะยกอย่างอื่นเหมือนหลังคาเล็ก ๆ หาได้ไม่
อันสถานที่ทำศพนั้น สิ่งที่ทำไว้กลาง จะมีลักษณเปนอย่างใดๆ ในกรุงเทพ ฯ เวลานี้ก็เรียกว่า เมรุ ทั้งนั้น ถ้ามีปีกออกไปด้านหนึ่งหรือกี่ด้าน เขาเรียกว่า มุข ตรงกลางก็เปน ประธาน เรือนที่ล้อมเปนเขตต์จึ่งเรียกว่า คด ซึ่งตรงกับคำ ทับเกษตร ความเห็นฉันเห็นว่าถ้าไม่มีอะไรล้อมก็ไม่ควรเรียกว่า เมรุ เรียก โรงทึม ดีกว่า จะใหญ่เล็กเท่าไร และมีมุขติดต่อหรือไม่ ก็ควรเรียก โรงทึม ทั้งนั้น
คำว่า ทึม คิดว่าตรงกับ ทิม สำคัญในใจว่า ทึม เปนเสียงเขมร ด้วยเคยได้ยินเขาเรียกโรงพิมพ์ว่า โรงพึมพ์ เห็นจะเปนปกติของเขาอ่านอิเปนอึ ปกติเช่นนั้นเข้ามาสู่เมืองเรามาก เช่น มหึมา โอฬารึก อัศวานึก เปนต้น โดยแนวนี้จึ่งเห็นว่าคำ ทึม จะไม่ได้มาจาก ทึบ เปนอยู่หน่อยที่ดูเหมือนพวกเราจะเข้าใจกันว่า ทิม นั้นเปนเรือนยาว ๆ แต่เกรงจะเข้าใจผิด ทิมสนม ก็ไม่เห็นเปนเรือนยาว
คำว่า ผำ หรือ ผาม นั้นเคยทราบ เราเขียนกันเปน ปรำ ก็ตรงกับ ผำ ดูเหมือนที่เขียนเปน ปราม ก็มี ถ้ามีก็ตรงกับ ผาม
ตูบ เคยทราบว่าเปน ปทุน ไปเข้าเปนพวกเดียวกับ กูบ จะตรงกับ ทับ ด้วยหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ
กะต๊อบ เคยพบในหนังสือเขมรเขียนถึงห้องเล็กที่เฉลียงพลับพลา เปน กนทพ เห็นจะอ่านว่า กันโตป ดูใกล้กันมาก สอบพจนานุกรมภาษาเขมร แปลให้ไว้ว่าผ้า ว่าแคบ และอื่นอีก ที่แปลว่าผ้า เห็นจะได้แก่​กรรถอบ ที่แปลว่าแคบ เห็นจะได้แก่ กะต๊อบ จะกินไปถึงได้แก่ กท่อม ด้วยหรือไม่นั้นไม่แน่ใจ
ขอบใจท่านที่บอกให้ทราบว่า ยอดโรงทึม ทางอีศานเขาทำเปนธง พวกชาวอีศานเขามาวานเขียนโรงทึมไว้ จะได้ทำให้เขาให้ถูกตามประเพณีที่ชาวอีศานเขาชอบกัน
พอดู ควรคู่กับ ไม่พอดู ดูถูก ควรคู่กับ ดูผิด ดูหมิ่น เปน ดูเผินๆ ดูแคลน (แคลง) เปน ดูไม่แน่ สองคำหลังใช้ในความหมายว่าประมาท ก็เห็นสมควรอยู่แล้ว คำเหล่านี้แม้ว่า ดู เปน ดุะ ก็กลับทำให้ไม่ได้ความดีขึ้น คำ ลบหลู่ มีเพื่อนว่า หลู่คุณ ใกล้ไปทาง ลู่ เช่น ไม้ล้มลู่ มากกว่าทางเปน ดู
คำ ออกเหนือ ออกใต้ ตกเหนือ ตกใต้ ไม่ใช่คำที่ฉันผูกขึ้นใช้ เปนคำที่คนเขาใช้พูดกันอยู่ดาษดื่น ฉันเปนแต่เก็บเอามาเขียนหนังสือถึงท่าน ด้วยเห็นสั้นและได้ความ ทั้งคล้ายกับคำฝรั่งด้วย คำ ปี่พาทย์ ก็เปนคำที่เขาพูดกันอยู่ดาษดื่นเหมือนกัน เช่น มโหรีปี่พาทย์ เปนต้น ต่อเขียนหนังสือจึงเขียนพิณพาทย์ ฉันเห็นว่า พิณ เราไม่มี เขียนหนังสือลเมอ จึงเขียนเปนปี่พาทย์ไปตามคนพูดกันเท่านั้นเอง ด้วยเห็นว่าได้ความดีกว่าเขียนพิณ
ศัพท์ มโหรี นั้นจะแปลว่ากะไร อันธาตุ มโหร นึกที่เราใช้ได้อยู่ ๓ คำ คือ มโหรทึก มโหรศพ กับ มโหรี มีคนคิดกันอยู่นานแล้ว ว่าจะได้แก่ภาษามคธสํสกฤตคำไหน ในคำ มโหรศพ มีคนคิดเห็นว่าได้แก่ มหุสฺสว ในภาษามคธ แล้วได้ยินเอะอะกันว่าพระสารประเสริฐพบคำมโหรศพ เข้าในภาษาสํสกฤต แต่จะว่ากะไรผู้ที่เอะอะก็ไม่ได้พูด ได้ตรวจดูปทานุกรมกระทรวงธรรมการฉบับตีพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ พบคำ มโหรสพ ซัดให้ดูคำ มหรสพ เมื่อไปดูคำ มหรสพ จำหน่ายไว้ว่า ภาษามคธเปน มหุสฺสว ภาษาสํสกฤตเปน มโหตฺสว แต่คำ มโหรทึก และ มโหรี นั้นไม่พบ
​เรื่องถือซ้ายขวา เปนแน่ว่าเมื่อก่อนนี้เราถือซ้ายเปนใหญ่อย่างจีน แม้ทางอินเดียก็เห็นจะถือซ้ายเปนใหญ่เหมือนกัน ด้วยจำได้ว่ามีเหตุขึ้นในการบวชนาคหลวง ผู้ใหญ่เข้าซ้ายผู้น้อยเข้าขวา สมเด็จพระราชปิตุลาตรัสทักว่าเข้าผิด สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณตรัสตัดว่า เรื่องทางพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้หม่อมฉันเถอะ ข้อนี้แหละทำให้เข้าใจว่าทางอินเดีย คือทางพระพุทธศาสนาถือซ้ายเปนใหญ่เหมือนกัน ข้อที่ท่าน
ทักว่าฝรั่งถือทิศเหนือใต้เปนใหญ่ จีนไทยถือทิศออกตกเปนใหญ่นั้นถูกแล้ว การวางลำดับผู้ใหญ่ผู้น้อยในราชการของเราทุกวันนี้ ไม่ได้เอาซ้ายขวาเปนใหญ่ ใช้เอาทิศเปนใหญ่ เช่น ตั้งพระบรมอัฐิหรือพระอัฐิ ถ้าตั้งเรียงตามทิศตวันออกตวันตก ก็เอาผู้แก่ไว้ออกผู้อ่อนไว้ตก ถ้าตั้งเรียงตามทิศเหนือใต้ ก็เอาผู้แก่ไว้เหนือผู้อ่อนไว้ใต้ ตามที่ว่านี้ท่านจะเห็นเค้าได้ที่ตั้งพระบรมรูปอยู่ในปราสาทพระเทพบิดร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยมีพระราชปรารภที่นั่น ว่าฝรั่งจะเข้าใจไม่ได้เลย
เรื่องเซ่นแม่ซื้อ ท่านคิดว่า แม่ซื้อเมืองบน เปนผีบนสวรรค์ แม่ซื้อเดินหน เปนผีในอากาศ แม่ซื้อเมืองล่าง เปนผีอยู่บนแผ่นดิน แม่ซื้อใต้ที่นอน เปนผีเรือนนั้น ฉันมีความเห็นกลับ รับรองว่าถูกแล้ว ที่ฉันไปนึกถึงผีบาดาลนั้นเอา ตฺริวิกฺรม ในเรื่องปราบกรุงพลิ มาเปนหลัก เปนก้าวยาวเกินไป พวกเราไม่รู้จักบาดาล แต่ข้าวย้อมสีไรควรแก่ผีพวกไรนั้นคิดไม่เห็นทาง
เรื่องแต่งศพนั่ง ฉันเคยไต่สวนพราหมณ์ศาสตรีมาคราวหนึ่งแล้ว เขาบอกว่าทางอินเดียมีทำเช่นนั้นอยู่แต่พวกโยคี ก็มาเข้าพวกกับพระทางจีนและเอิบมาถึงพระข้างไทยด้วย ฉันจะเล่าต่อให้ท่านฟัง ได้สนทนากับสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ท่านบอกว่าท่านได้ไปเคยเห็นศพสมภารวัดท่ามอญในนครศรีธรรมราช เขาใส่ลุ้งสี่เหลี่ยมสูง ก้นรัดปากบาน มีตีนไม้และมีฝาเปนมณฑป เรียกว่า หีบนั่ง เห็นจะ
สันนิษฐาน​ได้ว่าการแต่งศพนั่งใส่โกศ เราได้มาทางจีนหรือมงคล อะไรเหล่านั้นซึ่งเขาได้ประเพณีอินเดียมาแก้ไขไปแล้ว ไม่ใช่เราได้ประเพณีตรงมาแต่อินเดีย ทั้งถ้าหากว่าเรื่อง ๑๒ เหลี่ยม เปนเรื่องที่มาทางตาด ก็ยิ่งเปนหลักดีขึ้นอีก ท่านจะถามนายไซเดนฟาเดนนั้นดีแล้ว บุคคลผู้นี้ฉันก็นับถือว่าเขารู้อะไรอยู่มาก
สิบสองนักษัตร เอาเปนแน่ได้ว่ามาทางจีน ทางอินเดียไม่มี เมืองที่ใช้สิบสองนักษัตรตามที่พบทราบเปนแน่แล้ว มีเมือง เนปาล(ะ) จีน ญี่ปุ่น เขมร ไทย ญี่ปุ่นนั้นหนักมือ ใช้หมายทั้งปีและเดือน ตลอดถึงโมงยามด้วย ที่จริงดี เปนของจำง่ายกว่าเลข
คำว่า ฉาน ย่อมยุ่งเหยิงอยู่ เมื่อยังจับไม่ได้ว่าอย่างไรแน่ จดเอาไว้ก่อนก็ดีแล้ว เสียงสั้นยาวก็มีทั้งสองอย่าง เช่น พรรณรายฉายฉัน ก็มี พรรณรายฉายฉาน ก็มี หรือ กระหม่อมฉัน ก็มี กระหม่อมฉาน ก็มี ไม่ใช่ว่าเขียนผิด รู้ได้ว่าแน่ที่อยู่ในสัมผัส อัน ท้องพระโรง นั้น ไม่ใช่แต่จะเปนที่เปิดเผยเหมือนสานชำระความ แต่ก่อนเปนสานชำระความทีเดียว พระเจ้าแผ่นดินทรงชำระความเอง เสนาบดีกระทรวงวังเปนผู้ช่วย ชื่อยังปรากฏอยู่ว่าเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ ทั้งชื่อพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยก็ปรากฏว่าเปนที่วินิจฉัยคดคี
คำ คาดกลอง มีคำที่เปนเพื่อนคือ คาดฆ้อง ที่ว่าคำ คาด จะเปนอื่นไปไม่ได้นอกจากว่า ตี คำ คาดพุง ที่จะใช้ผิดเคลื่อนมาเสียแล้ว แต่ก่อนที่จะใช้คำว่า เกี้ยว มีคำ เกี้ยวลาย ผ้าเกี้ยว เปนหลักอยู่
คำ รนาด ฉันก็เคยสงสัย ด้วยมีสิ่งหนึ่งเขาใช้ปูเปนที่นั่งในเรือเล็กๆ จักไม้ไผ่เปนซีก ๆ ถัก เรียกว่า รนาด เหมือนกัน ที่สงสัยก็สงสัยว่าใครก่อนใครหลัง ใครเอาอย่างใคร รนาด ในเครื่องปี่พาทย์เปนของทำเติมทีหลัง แต่ก่อนก็ไม่มี คำ รนาด จะเปนคำเดียวกับ ราด ก็จะเปนได้ง่ายที่สุด ถือว่าเปนคำยืดคำย่นก็ได้
​ชื่อกรุงเก่าว่า ทวาราวดี ฉันนึกสงสัยว่าจะเติมเข้าเมื่อได้ขุดขื่อหน้าแล้ว เพราะได้เคยเห็นคำอธิบายว่า ที่ชื่อทวาราวดีเพราะมีน้ำล้อมรอบกรุงเก่าแต่ก่อนมีคลองน้ำคั่นแต่สามด้าน ครั้นขุดขื่อหน้าขึ้นอีกด้านหนึ่ง เมืองจึงเปนเกาะมีน้ำล้อมรอบ เข้าใจว่าเพราะรื่นรมย์ข้อนั้น จึ่งเติมชื่อเปน ทวาราวดีศรีอยุธยา แต่นี่ก็เปนสันนิษฐาน
มหาดไทย จะมาแต่ มหาราชอุไทย นั้นรับไม่อยู่ ไม่มีมูล มหาดไทย ก็มีคำใช้อยู่โดยตรงแล้ว คือ มหาด + ไท จะแปลว่ากะไรก็ตามใจเถิด กลา ไม่ได้แปลว่าพระจันทร์ แปลว่ากลามพร้าวนั่นเอง หมายความว่าดวงจันทร์กลมดุจกลามพร้าว เมื่อเห็นแหว่ง เช่น ครึ่งซีก ก็เหมือนกลาครึ่งใบฉะนั้น ถึงคำว่า อุทัย ก็ไม่ได้หมายความว่าดวงพระอาทิตย์เหมือนกัน คำ มหาดไทย กับ กลาโหม กลัวจะไม่ได้มาพร้อมกัน มหาดไทย กลัวจะมีมาก่อน กลาโหม มาทีหลัง ตั้งขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ
เรื่องนกหัสดีลึงค์นั้น รู้สึกเห็นชอบกล ชื่อนั้นจะมาแต่ไหน เราเรียกกันว่า นกหัสดิน ต่างหาก สงสัยว่าจะมาทางเขมร เพราะ ลิงค์ เปน ลึงค์ ทีจะเข้ามาทางอีศานก่อน แล้วทางพายัพจึ่งจำเอาอย่างไป แม้สังเคตการทำรูป ก็ทำกันตัวเปนนกหัวเปนราชสีห์ แต่ที่จมูกยืดขึ้นไปเปนงวง กับที่เขียนหน้าเปลี่ยนเปนงา ถ้าจะแปลชื่อก็คล้ายกัน
นกหัสดีลึงค์ แปลว่า นกมีที่หมายช้าง นกหัสดิน แปลว่า นกช้าง แท้จริงนกหัสดินนั้นมีมาเก่าแก่แต่อินเดียแล้ว เห็นมีในหนังสืออารับราตรี ทำเปนรูปอย่างนกอินทรีย์ข้างไทย เฉี่ยวเอาช้างไปหลายตัว เข้าใจได้ว่าเดิมเขาตั้งใจว่าเปนนกใหญ่ ซึ่งสามารถกินช้างได้ แปลว่านกกินช้าง ที่เราทำตัวเปนนก หัวเปนราชสีห์มีงวงมีงานั้น คือตั้งใจ
จะทำให้ตัวเปนนกหัวเปนคชสีห์ เพื่อให้มีลักษณเปนช้างสมชื่อ อันคชสีห์นั้น ก็ผูกแก้กันมาหลายชั้นแล้ว เริ่มแรกหมายว่า ช้างดุะ ราวกับ สีห์ ก่อน ถัดไปก็ทำรูปแก้เปนราชสีห์ เว้นแต่ส่งจมูกให้เปนงวง และทำเขี้ยวหน้าเปนงา ทีหลังจะเห็น​ว่าไกลไปจึ่งกลับแก้หัวเปนช้าง แต่เข้ากับตัวซึ่งเปนราชสีห์ไม่ได้ จึงทำเปนหัวช้างมีหงอน แต่หงอนนั้นจะทำให้โอนไปหลังอย่างราชสีห์ ย่อมขัดข้องแก่หัวช้าง จึ่งทำให้พนมตรงขึ้นไป ที่ทำดังนั้นก็ชอบอยู่ เพราะหงอนเปนขน อาจปลิวไปทางไหนก็ได้ เมื่อได้
เปลี่ยนหัวเปนช้างไปแล้วอย่างที่ทำหัวเปนราชสีห์นั้นก็ตั้งชื่อเสียใหม่ เรียกว่า ทักทอ จะเปนตัวอะไรก็ไม่ทราบ คงฉวยเอามาแต่คำกลอน ที่ว่า ทักทอนรสิงห์เม่นหมี อันเปนคำกวี ในบานประตูมุกด์ที่ไหนแห่งหนึ่ง นึกว่าจะเปนที่วิหารยอดในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ท่านผูกแก้เอางาเปนปากนก แล้วมีงวงทับบนปาก ท่วงทีก็เปนอย่างไก่งวง เห็นเข้าก็ชอบใจว่าคิดผูกแก้ไปดี ไม่ทิ้งลักษณนกให้ขาดลอยไปเสียทีเดียว
ตามที่ท่านเล่าถึงประเพณีเมืองอุตตรกุรุ เล่นเอางงไป ด้วยชื่อนั้นเคยทราบว่าเปนเกาะหนึ่งในสี่แห่งโลก ออกจะเปนเมืองลับแลซึ่งคนจะเห็นไม่ได้ แต่คิดดูก็เข้าใจได้ว่าเปนลิ้นกวี ที่จริงคงมีประเทศนั้นอยู่ในบ้านเมืองแห่งหมู่มนุษย์นี้เอง แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ถ้าแปลตามชื่อก็เปนว่าอยู่เหนือกุรุขึ้นไป กุรุเปนแคว้นของพวกกษัตริย์ปาณฑว ค้นพจนานุกรมต่าง ๆ ก็ไม่ได้ความชัดที่พอใจ ตามที่ท่านเล่าว่าเขาห่อศพด้วยผ้าแดง ทำให้รู้สึกในใจว่าในเมืองนั้นคงหาผ้าแดงได้ง่าย ชาวเมืองเขาคงชอบ
ใช้ผ้าแดงกัน เหมือนเมื่อไปเที่ยวเมืองชวา ได้เห็นบ้านนอกที่เมืองไหนก็ลืมเสียแล้ว เขาใช้ผ้าแดงกันชุกชุม มีทั้งนุ่งทั้งห่ม ทำให้นึกว่าเมืองชายป่าทางปักษ์ใต้ของเราก็คงชอบใช้ผ้าแดงเหมือนกัน จนพวกเงาะชอบเปนชีวิต เพราะอยากให้เหมือนกับชาวเมือง จนเขาจะต้องการของป่ามาเพื่อการค้าขาย ก็ใช้วิธีเอาผ้าแดงไปแลกเอาจากพวกเงาะ ตามที่ท่านสันนิษฐานว่าการทำรูปนกหัสดีลึงค์ในการศพ จะมาแต่ประเพณีเมืองอุตตรกุรุนั้นชอบแล้ว
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๓ เดือนนี้ พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
เรื่องปรุงหลังคา เป็นความโง่เขลาของข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้อ่านพระอธิบายขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้สติว่า วิธีปรุงเรือนจะต้องเป็นเช่นนั้นโดยธรรมดา
ตามพระอธิบายเรื่อง เมรุ และ โรงทุม ข้าพระพุทธเจ้ายึดถือเป็นแนวมาไตร่ตรองดู ชื่อสำหรับเรียกที่เผาศพจะเป็นดังนี้ ที่เผาศพทั่วไปเรียกว่า เชิงตะกอน (ข้าพระพุทธเจ้าไม่พบแปลของ ตะกอน) ถ้ามีหลังคาแบนเป็น ปรำเผาศพ ถ้ามีหลังคาคุ่มจะต่อปีกออกมาอีกหรือไม่ก็ตาม เป็น โรงทึม ถ้าก่อเชิงตะกอนในศาลา เป็นศาลาโรงทึม ถ้ามีหลังคายอดแหลมและมีอะไรล้อมเป็น เมรุ แต่ยังจนด้วยเกล้า ฯ ว่า ถ้ามี
หลังคายอดแหลมไม่มีอะไรล้อม จะควรอนุโลมเข้าเป็น เมรุ หรือ โรงทึม คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ควรจะเป็น โรงทึม ที่ทำเป็นโรงมีหลังคาอย่างที่เผาศพอนาถาเป็น โรงเผาศพ ที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลไปในหนังสือฉะบับอื่นว่าโรงทึมมีธงติดที่ยอดนั้น เป็นโรงทึมทางกรุงเก่านี้เอง หาใช่ทางอีศานไม่ เป็นความผิดของข้าพระพุทธเจ้าที่กล่าวปะปนไปกับเรื่องของอีศาน ทำให้เข้าพระทัยผิด ทั้งนี้พระอาญาไม่พ้นเกล้า ฯ
ตูบ ทางอีศานและพายัพใช้เป็นสามัญว่า กระท่อม หรือโรงเตี้ยๆ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า จะมาจากภาษาเขมร เพราะไทยถิ่นอื่น เช่น ไทยขาว ไทยดำ และไทยโท้ ไทยพวน ใช้ว่า เถียง ซึ่งในอีศานก็ใช้คำนี้เป็นสามัญเหมือนกัน คิดด้วยเกล้า ฯ ตูบ กะต๊อบ กะท่อม ทับ กรรถอบ จะมีที่มา​จากคำเดียวกัน แล้วแปลงเสียงให้มีความหมายแผกออก
ไป ตามหลักในนิรุกติศาสตร์ที่ว่า ความหมายคล้ายคลึงกัน ย่อมทำให้รูปเสียงคล้ายคลึงกัน เพราะการที่จะคิดหาคำให้แก่ความหมายใหม่ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับคำที่มีอยู่แล้ว สดวกที่สุดก็คือ ใช้แปลงเสียงคำที่มีอยู่แล้วดีกว่าคิดทำขึ้นใหม่ เช่น คำว่า กอม ค่อม ค้อม ก้ม นบ คำนับ นอบ น้อม ยอบ ยอม ระยอบ พินอบ เจ่า เฉา เซา เศร้า แจก แฉก แซก แสก แยก แตก
เสียง อิ และ อี ไทยหลายพวกมีแต่เสียง อิ เท่านั้น แต่ก็ไม่แน่นัก ลางพวกก็มี อี ข้าพระพุทธเจ้าจับเค้ายังไม่ได้ ในภาษาจีนก็สับสนกัน ในภาษาอริยกะ เดิมก็เห็นจะไม่มีเสียงอี เพราะในสํสกฤต พราหมณ์ศาสตรีว่า ถ้าต้องการออกเสียงอี ก็ต้องเติมเสียง ร ล ลงไปด้วย เป็น ฤ ฦ แต่กระนั้นก็ออกเสียงเป็น อิ ก็มี ตกมาถึงภาษาไทยก็อ่าน ฤ ฦ เป็นหลายอย่าง
มโหรี มโหรทึก และ มโหรศพ ข้าพระพุทธเจ้าเคยค้นอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ได้ความ มโหรศพ นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเคยถามพระสารประเสริฐ ก็ว่ามาจาก มหุสว แปลง อุ เป็น ร อย่าง อุชุ เป็น อรชร ถ้าถือว่า มโหรศพ ออกจาก มหุสว แปลว่า เสียงสูงใหญ่ คือ การครึกครื้นอึกทึก คำว่า มโหรี มโหรทึก ก็อาจเป็นคำสํสกฤตแต่ มโหร- ส่วนเสียงพยางค์หลังอาจเป็นภาษาพื้นเมือง เป็นศัพท์ผสมกัน ที่ข้าพระพุทธเจ้าเดาเช่นนี้ เพราะคำว่า มโหรทึก เสียงคำหลังเป็นเสียงดังของกลองชะนิดนั้น เป็นพวกอึกทึก
และกลองอย่างนั้นก็เป็นของชนชาติที่อยู่ทางทิศใต้ของจีน นับถือใช้มาแต่โบราณ จีนเคยอ้างถึงชนชาตินับถือกลองบรอนส์ ในสมัยเลียดก๊กอยู่บ่อย ๆ และโดยเหตุที่ มโหรี มโหรทึก มีลักษณะในจำพวกมโหรศพ (ถ้าในที่นี้ถือว่าออกมาจาก มโหตสว) คำว่า อี (อาจเป็นเสียงซอ) และ ทึก (อาจเป็นเสียงกลอง) ซึ่งเป็นเสียงของสิ่งที่ชื่อนั้น ถูกคำว่า มโหรศพ ลากมาเข้าพวกให้เข้าเทียบเป็นแนวเดียวกัน จึงเกิดเป็น มโหรี มโหรทึก ขึ้น เป็นอย่างเดียวกับ วสันต์ เหมันต์ ลากเอา คิมหาน เป็น คิมหันต์ ​
เตโชธาตุ อาโปธาตุ ลากเอา วายธาตุ เป็น วาโยธาตุ เกตุ ลากเอา สังเกต เป็น สังเกตุ บาตร ลากเอา บิณฑบาต เป็น บิณฑบาตร ไปเข้าแนวเทียบด้วยกัน ในภาษาอังกฤษ พหูพจน์ของ cow เดิมเป็น kine แต่โดยเหตุที่พหูพจน์โดยมากใช้เติม s โดยไม่แปลงรูปเดิม ก็เลยลาก kine ให้เข้าแนวเทียบเป็น cows ไป คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า มโหรี มโหรทึก อาจเป็นเพราะเหตุนี้ได้อีกทางหนึ่ง แต่เป็นเรื่องเดาตามหลักที่อาจเป็นได้เท่านั้น
เรื่องถือซ้ายขวาและถือทิศ ที่ทรงพระเมตตาประทานให้ทราบเกล้า ฯ เป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ เพราะเป็นความรู้ซึ่งถ้าไม่ตรัสเล่าให้ทราบเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าคงหลงงมงายอยู่เรื่อยไป ในภาษาอังกฤษคำว่า right แปลว่า ขวาหรือถูกต้อง แสดงว่าอังกฤษถือขวามานาน จนแปล ขวา ว่า ถูกต้องด้วย
เรื่องแต่งศพ นายไซเดนฟาเดน ตอบข้าพระพุทธเจ้ามาว่า ประเพณีแต่งศพนั่งมีอยู่ในชาติโบราณหลายแห่ง แต่ของไทยน่าจะเป็นประเพณีเขมร ไม่เชื่อว่าจะมาทางจีนและมงโกเลีย รับว่าจะค้นดูในหนังสือชุดที่ว่าด้วยมนุษย์วิทยา หนังสือชุดนี้ ที่หอสมุดแห่งชาติก็มี เป็นหนังสือขนาดใหญ่หลายสิบเล่ม ข้าพระพุทธเจ้าได้เคยค้นหามาก่อนแล้ว ก็ไม่พบเรื่องแต่งศพตามที่ต้องการ ต่อมานายไซเดนฟาเดนมาหา
ข้าพระพุทธเจ้า ปรารภเรื่องจะทำหนังสือว่าด้วยชนชาติในภาคอีศาน ซึ่งนายไซเดนฟาเดนได้เสาะหาความรู้รวบรวมไว้นานแล้ว ข้าพระพุทธเจ้ายินดีอนุโมทนา เพราะในกระบวนเรื่องชนชาติต่าง ๆ ในแหลมอินโดจีน คิดด้วยเกล้าฯ ว่า หาผู้รู้เสมือนายไซเดนฟาเดนเห็นจะยาก ข้าพระพุทธเจ้าจึงปรารภเรื่องแต่งคนนั่งขึ้นอีก ว่าตามที่ข้าพระพุทธเจ้าเคยอ่านหนังสือว่าด้วยเรื่องเขมร ก็ยังไม่เคยพบเรื่องแต่งศพนั่ง นอกจากเรื่องปัจจุบัน ซึ่งเขมรอาจได้แบบอย่างไปจากไทยก็ได้ เขาตอบว่า ยังไม่
เคยพบเหมือนกัน ข้าพระพุทธเจ้าจึงมีหวังน้อยในที่จะค้นหาทางเขมร นึกได้หนังสืออีกเล่มหนึ่งว่าด้วย พระ​ราชพิธีไทย ซึ่งนายเวลล์เป็นผู้แต่ง ในตอนที่ว่าด้วยพระบรมศพ นายเวลล์ว่าการแต่งศพนั่งเป็นของฮินดู ไทยได้มาจากเขมร มีต้นเค้ามาจากลัทธิเทวราช คือถือว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นเทพในมนุษย์ แต่นายเวลล์ไม่ได้อ้างหลักฐานที่มาจากหนังสือต่างประเทศ และพูดไว้ย่อๆ แสดงว่านายเวลล์คงไม่เคยพบหลักฐานอะไร เป็นแต่อ้างหนังสือ ตำนานสุสานหลวงวัดเทพศิรินทรฯ ซึ่งสมเด็จกรมพระยา
ดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ ในนั้นกล่าวว่า การจัดทำเรื่องศพของไทยเป็นสองอย่าง คือทางพุทธมีการบรรจุอัฐิธาตุในพระสถูปเจดีย์ อีกอย่างเป็นของพราหมณ์ มีการลอยพระอังคาร ที่แต่งพระศพเจ้านายก็เป็นเรื่องสมมติให้เป็นเทพเสด็จขึ้นสวรรค์ และทรงอ้างถึงลักษณะ ปักษีจำกรง ว่าคล้ายเป็นอย่างพระโกศ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้อ่านข้อความตอนนี้ ความคิดก็เลื่อนลอยหวนไปถึงเรื่องพระลออีก ที่ในนั้นกล่าวแต่โลงอย่างเดียว จะเป็นเพราะเหตุที่พระลอเป็นกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ซึ่งประเพณีของ
เขมรไปไม่ถึงกระมัง ทั้งได้มีผู้แต่งหนังสือออกความเห็นว่า มหาราช นั้นเป็นชื่อของกวีเอกคนหนึ่งในลานนาไทย จะเป็นหนังสือแต่งในแดนนั้นกระมัง แต่เพื่อนข้าพระพุทธเจ้าคนหนึ่งแย้งว่าเป็นไม่ได้ เพราะในหน้าต้นของพระลอ ก็กล่าวว่า รอนลาวกาวตาวตัดหัว ตัวกลิ้งกลาดดาษดวน ฝ่ายข้างยวนแพ้พ่าย ฝ่ายข้างลาวประไลย และคำที่ใช้ในพระลอก็ฟังออกได้มาก ผิดกับสำนวนที่ใช้ทางพายัพ ความคิดข้าพระพุทธเจ้าก็ไปอัดอั้นอยู่เพียงนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าลืมอ่านเรื่อง ๑๒ เหลี่ยม เมื่อได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับนี้จึงนึกได้ เมื่อค้นเอามาอ่านแล้ว คิดด้วยเกล้าฯ ว่า ที่แต่งพระศพพระเจ้าเนาวสว่านไว้ในมณฑป ชวนให้สงสัยไปว่าแต่งพระศพเข้าโกศ ส่วนนิยายที่มีอยู่ในนั้น ข้าพระพุทธเจ้าบันทึกไว้แต่เดิม ๒ เรื่องว่าเป็นของอาหรับ เช่น เรื่องมหาติม ตรงกับเรื่องฮาติมเตย ของอาหรับ อันเป็นนิยายเรื่องใหญ่แตกเรื่องย่อยอย่างชะนิดเรื่อง นนทุกปกิรณัม ลางนิยายที่มีอยู่ในนั้น กล่าวไปถึงแดนทางอาเซียกลาง ตลอดไปถึงจีนก็มี ข้าพระ​พุทธ
เจ้าจะต้องเพียรอ่านอีกสักครั้ง เพราะยังไม่สิ้นสงสัยในเรื่องที่มาของการแต่งศพนั่ง เรื่องนิยายเป็นอย่างเดียวกับภาษา ถ่ายเทยืมกันไปได้ไกล ไปถึงไหนก็กลายเรื่องกลายชื่อ จนลางเรื่องผิดออกไปมาก ฝรั่งถือว่า การศึกษาเรื่องนิยายเป็นวิชาสาขาหนึ่ง เพราะส่องให้ทราบความคิดเห็นและขนบธรรมเนียมของคนโบราณ ตลอดจนที่ชาติต่าง ๆ ติดต่อกัน แม้แต่ประวัติพระสิทธารถ ก็ยังกลายไปเป็นประวัติของนักบุญโยสฝัดในศาสนาคฤสตังได้
พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ข้าพระพุทธเจ้าไปเข้าใจแต่เรื่องเสด็จออกประภาษราชการถ่ายเดียว หาได้เฉลียวนึกถึงคำวินิจฉัยไม่ การเสด็จออกประภาษราชการ ก็รวมถึงทรงชำระความด้วย คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า เดิมจะไม่ได้ยกพื้นเหมือนอย่างพระที่นั่ง จึงได้เรียกว่า โรง
ที่ทรงสันนิษฐานว่า คาด เดิมจะใช้คำว่า เกี๊ยว ตรงกับที่ใช้อยู่ในโคลงแช่งน้ำ ที่ว่า เอาเงือกเกี้ยวข้าง ในภาษาอาหมมีคำว่า คาดผูก แปลว่า เอาสัตว์เข้าเทียม และ กิว ว่าล้อมให้รอบ ไทยขาว คาด และคำว่า ผูก ว่า ทำให้ติดต่อ มัด พัน เช่น คาดขอบด้ง คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ถ้าผูกมัดพุง ก็เป็น คาดพุง ได้ ผูกมัดหมัดให้แน่น ก็เป็น คาดหมัด ถ้าเป็นแต่พันไว้รอบพออยู่หรือเพียงแก่เกี่ยวไว้ ก็เป็น เกี่ยวพุง ขัด ขัน คัด คาด คั้น คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า จะเป็นพวกเดียวกัน
ระนาด ข้าพระพุทธเจ้าลองเก็บคำที่ใกล้เคียงดู มี ระนาด ระนาด ระเนน = ล้มกันเป็นแถว ระนาว = เป็นแถว ระเนียด = เสาตั้งเรียงกัน? ระแนง = ไม้พาดเรียงกันเป็นแถว ระเบียง = เรียงราย ระเบียบ = เป็นแถวเป็นแนวเรียบร้อย สายระยาง ระโยง ระเดียง คำเหล่านี้มี ระ อยู่หน้าและมีความไปในทางว่าเป็นแถว แนว ทุกคำ ระ น่าจะหดหรือ
เสียงกร่อนมาจาก ราว ซึ่งแปลว่า แถว แนว ในภาษาอาหม ยาง แปลว่า แถว ราว แปลว่า ที่สำหรับเกาะยึด อย่างราวลูกกรง ระยาง น่าจะเป็นคำซ้อนของ​ราวยาง แปลความเดียวกัน ถ้า ระ มาจาก ราว แล้ว นาดก็มีคำที่ใกล้กัน ก็คือ (ด-ล-น) ดาด ลาด ระนาด อาจแปลว่า สิ่งที่ปูลาดหรือขึงเป็นราวเป็นแถว
ทวาราวดี ทรงเห็นว่า จะตั้งขึ้นเมื่อขุดคลองขื่อน่าแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าสมเหตุผล แล้วยังได้ชื่อเมืองของพระกฤษณเข้ามาต่อกับชื่อเมืองอโยธยาของพระรามด้วยอีกชั้นหนึ่ง เพราะพระนารายณ์อวตารสองปางนี้ เป็นขึ้นชื่อฦๅนามมากกว่าปางอื่น
มหาดไทย และ กลาโหม ข้าพระพุทธเจ้าจนปัญญา แต่เมื่อมีอะไรมากระทบขึ้น ก็ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าอดคิดไม่ได้ ที่ตรัสถึงเรื่องตำแหน่งศักดินา พลเรือน และทหาร ตั้งขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ข้าพระพุทธเจ้านึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อสักสองเดือนที่ล่วงมานี้ นายบูรเนบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า ตำแหน่งศักดินาที่ว่าตั้งครั้งแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถน่าสงสัย เพราะในบาญแผนกก็กล่าวแต่
ตำแหน่งศักดินาพระราชวงศ์และท้าวนาง และพระสนมเท่านั้น พอหมดตอนนี้ ก็กล่าวถึงศักดินาเจ้าพญาจักรี ฯ ต่อเป็นลำดับไป ดูประหนึ่งว่าเอาเข้ามาต่อกันเฉย ๆ ไม่มีอะไรบอกให้ทราบว่าทรงตั้งศักดินาข้าราชการด้วย จะเป็นการเติมขึ้นภายหลัง ซึ่งนายบูรเนว่า ได้มีผู้ค้นพบแล้ว แต่ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทันจะได้ซักไซ้ไล่เลียงให้ตลอด เพราะนายบูรเนมีธุระจะต้องเข้าสอนหนังสือ แต่นั้นก็ไม่ได้พบกัน
เรื่องนกหัสดีลึงค์ ที่ทรงพระเมตตาประทานอธิบาย เป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าอ่านเพลิน และได้ความรู้กว้างขวางออกไปอีก หัสดิน กับ หัสดีลึงค์ ผู้รู้ภาษาบาลีมีคำว่า หตฺถิลิงฺคสกฺโณ แปลว่านกมีเพศเหมือนช้าง
เมืองอุตตรกุรุ ทรงคิดเห็นว่าคงจะเป็นบ้านเมืองแห่งหมู่มนุษย์นี้เอง พระดำริห์นี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องเป็นที่สุด ในวรรณคดีอินเดียกล่าว​ถึงเมืองกุรุเป็นสองแห่ง คือ อุตตรกุรุ และ ทักขิณกุรุ กุรุหลังได้แก่แคว้นกุรุ ของพวกกษัตริย์ปาณฑว ดังที่ตรัส ส่วนกุรุแรกมีกล่าวอยู่ในคัมภีร์พระเวทและคัมภีร์พราหมณะว่า อยู่ที่ไหนแห่งหนึ่งทาง
แคว้นกาษมีรหรือแคชเมีย คิดด้วยเกล้าฯ ว่าอุตตรกุรุ ควรจะอยู่เหนือของทักขิณกุรุ แต่เหนือแคว้นนั้นก็เป็นเขาหิมาลัย ที่เขาสันนิษฐานว่าอยู่แถวกาษมีร ก็คงจะถือเอาเหตุที่ว่า ในพระเวทมีกล่าวถึงแคว้นกุรุ ๆ จะต้องอยู่ทางตกเหนือของอินเดีย เพราะชาวอริยกะสมัยพระเวทยังไม่ยกลงมาถึงมัธยมประเทศ คงอยู่แถวลุ่มน้ำสินธุเป็นอย่างมาก ต่อเมื่อลงมาถึงมัธยมประเทศแล้ว คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า คงจะเอาชื่อกุรุเดิมมาตั้งให้ใหม่ในมัธยมประเทศ จึงได้เกิดเป็นกุรุเหนือและใต้ โดยเหตุที่ อุตตรกุรุ เป็น
แดนซึ่งยังไม่ทราบกันได้แน่ จึงมีนักปราชญ์สันนิษฐานเป็นต่าง ๆ กัน คนหนึ่งว่าอุตตรกุรุเป็นดินแดนตอนเหนือของหูณเทศ หรือประเทศของชาติฮั่น ซึ่งอยู่ทางปาญจัป มีเมืองศากลเป็นราชธานี เป็นเมืองเดียวกับสาคลของพระเจ้ามิลินท์ และกล่าวต่อไปว่าอุตตรกุรุนั้น เดิมหมายเอาประเทศต่างๆ ที่อยู่พ้นเขาหิมาลัยขึ้นไป อีกคนหนึ่งว่า อุตตรกุรุ ได้แก่ธิเบต ที่ว่าเป็นแดนแถวเขาคุนหลุนก็มี เป็นแคว้นเตอรกิสตานก็มี และว่าประเทศเกาหลี หรือโคเรีย ก็มีเค้าเป็นคำเดียวกับ กุรุ (พวกตาด ในทางรูปภาษา
ฝรั่ง แบ่งออกเป็น ๓ พวก คือ ๑ ฟินแลนด์ แลปแลนด์ เอสโทเนีย ฮังการี ฯลฯ ๒ ตาดตะวันตก ได้แก่ ฮั่น ตุรกี มงกล ฯลฯ และ ๓ ตาดตะวันออก ได้แก่ แมนจู เกาหลี และ ญี่ปุ่น) ตามข้อความที่กราบทูลมาข้างต้นนี้ คงได้ความรวม ๆ ว่า อุตตรกรุ คือดินแดนที่อยู่ถัดเขาหิมาลัยขึ้นไป ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาติตาด ที่ในไตรภูมิว่า ชาวอุตตรกรุ ใช้ผ้าแดงห่อศพเอาไปทั้งให้นกหัสดินคาบเอาไป ทำให้ข้าพระพุทธเจ้ากลับนึกไปถึงวิธีปลงศพของชาวธิเบต ซึ่งนำศพไปทั้งไว้ให้แร้งกิน ว่าเป็นวิธีปลงศพที่เป็น
สามัญของชาวธิเบต ข้าพระพุทธเจ้าจึงค้นดูในหนังสือที่ว่าด้วยธิเบตว่าเขาใช้ผ้าสีอะไรห่อศพ ก็ได้ความแต่ว่า เขาใช้ผ้าขาวคลุม ​แล้วห่อเฝือกนำไปให้แร้งกิน ที่ชาวธิเบตปลงศพโดยวิธีทิ้งให้แร้งกิน คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า จะเกิดจากความจำเป็น เพราะแผ่นดินเป็นหินหรือดินแข็งส่วนมาก ฟืนสำหรับเผาก็หายาก ส่วนใช้ผ้าขาวคลุมศพผิดกับของชาวอุตตรกุรุก็ไม่แปลก อาจเป็นเรื่องแก้ไขขึ้นทีหลังก็ได้ ถ้าจะเทียบแร้งกับนกหัสดินของอุตตรกุรุก็ใกล้กันมาก
เรื่องมหาทวีปทั้ง ๔ ของไตรภูมิ ทวีปบุพพวิเทห และอมรโคยาน ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่พบว่ามีใครสันนิษฐาน แต่เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกันในคัมภีร์ปุรานของพราหมณ์ก็ผิดกับของพุทธ ของพราหมณ์เป็นทวีปชมพูทวีป อยู่กลาง ถัดไปโดยลำดับก็มีทวีป ปลักษ ศาลมลิ เกราญจ ศัก และ ปุษกร แต่ละทวีปมีทะเลล้อมโดยลำดับ เป็นทะเล
น้ำเค็ม น้ำอ้อย เหล้า เนยใส เนยข้น น้ำนม และน้ำจืด เขาสุเมรุอยู่ใจกลางชมพูทวีป ผิดกับในไตรภูมิ ที่ว่าเขาสุเมรุอยู่ท่ามกลางจักรวาฬ เรื่องทวีปทั้ง ๗ ของพราหมณ์ ได้เคยมีนักปราชญ์ชาวอินเดียหยิบยกขึ้นวินิจฉัยว่าอยู่ที่ไหน แต่ก็เป็นเรื่องที่ยังตกอยู่ในการสันนิษฐาน อย่างเดียวกับชะวาอยู่ที่ไหน ดังได้กราบทูลไปแล้ว เรื่องปากสัตว์ที่เป็นต้นทางแห่งแม่น้ำสำคัญในอินเดีย ไตรภูมิกับของพราหมณ์ก็ผิดกัน ใน
ไตรภูมิว่าด้านตะวันออกของสระอโนดาดเป็น ปากสีห์ ของพราหมณ์เป็นคอม้า ว่าเป็นยอดน้ำพรหมบุตรด้านใต้ว่าปากโค ของพราหมณ์ว่าปากนกยูง เป็นยอดน้ำกรรณลิ ไตรภูมิเป็นคงคา ด้านตะวันตกปากม้า ของพราหมณ์เป็นโค ว่าเป็นยอดน้ำศตทรุ ไตรภูมิว่าสินธุ ด้านเหนือปากช้าง ของพราหมณ์ว่าปากสีห์ เป็นยอดน้ำสินธุ ข้าพระพุทธเจ้าเคยเห็นปากสัตว์ทั้ง ๔ ที่นาคเบียนนครวัด แต่ไม่ได้เฉลียวนึกถึงข้อแตกต่างกันนี้ ว่าของเขมรโบราณจะเหมือนพราหมณ์หรือพุทธ
เพื่อนของข้าพระพุทธเจ้าคนหนึ่ง ถามข้าพระพุทธเจ้าว่า โคลง กลอน ร่าย และ ลิลิต เป็นภาษาอะไร และแปลว่าอะไร เขาว่าโคลง​เห็นจะเก่ากว่าเพื่อน เพราะใช้คำ เช่น กู พู้น ไซ้ ลี้ เมือ ข้อย และนิยมระดับเสียงเอก โท ส่วนลิลิตอาจมาจาก ลลิต ในสํสกฤต ซึ่งแปลว่า งาม ร่าย ก็มีคำใช้ในภาษา เช่น ร่ายมนต์ รำร่าย ร่ายร้อง แต่ก็แปลไม่ได้
ความชัดตามลำพัง ในอาหมมีคำ ไร หรือ ราย แปลว่า ส่องแสง รุ่งเรือง โค้ง ออกไป ร้าย คำแปลคำแรกพอเทียบกันได้กับ ลลิต ที่แปลว่า งาม ข้าพระพุทธเจ้าลองค้นคำในภาษาไทยถิ่นต่างๆ ก็ไม่พบคำเหล่านี้ ไทยลางถิ่นใช้เป็นอย่างจีน ลางถิ่นก็อ่านตีความไม่ออก ห่างไกลจากที่จะเดาได้ ขอพระบารมีปกเกล้า ฯ เพื่อทราบเกล้า ฯ คำเหล่านี้ด้วย
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่านลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ได้รับแล้ว จะตอบลางข้อต่อไปนี้
คำ ตะกอน มีเพื่อนอยู่ที่ ขี้ตะกอน อันอยู่ในน้ำ ตามคำเพื่อนนั้น ก็ส่องให้เห็นว่า คำ ตะกอน ในชื่อ เชิงตะกอน หมายความถึงผงสกปรก คือ ขึ้เท่า คำ เชิงตะกอน ก็ตรงกับ ฐานเผา
ท่านจะต้องทำความเข้าใจแยกออกเปนสองภาค ตามที่เปนอยู่บัดนี้ คือ ที่เผาภาคหนึ่ง กับหลังคาครอบที่เผาอีกภาคหนึ่ง ที่เผานั้น ร้านม้า ฐานเผา ตารางเชิงตะกอน จิตกาธาร อะไรเหล่านี้เปนสิ่งเดียวกันภาคหนึ่ง หมายถึงกองฟืน หากยักเรียกไปต่าง
ๆ กลายเปนยศ กับหลังคาครอบที่เผาอีกภาคหนึ่ง ท่านเข้าใจว่าหลังคาแบนเปน ปรำ หลังคาอย่างใดๆ แต่ปลูกโดดเดี่ยวเปน โรงทึม และถ้ามีอะไรล้อมก็เปน เมรุ นั่นเปนถูกแล้วตามลักษณ แต่คำเหล่านั้นมากลับกลายใช้กันเปนยศไปเสียแล้ว จะเรียกตามลักษณก็ขัดข้อง เช่นประเพณีแห่งพระบรมศพ เคยทำพระจิตกาธารตั้งในพระเมรุ
ทอง และพระเมรุทองอยู่ในพระเมรุใหญ่อีกทีหนึ่ง เข้าใจว่าเพื่อกันแดดฝนไม่ให้ทำอันตรายแก่พระเมรุทองเสียไป ที่จริงพระเมรุทองนั้นแหละคือพระเมรุ มาเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสสั่งไว้ว่า พระบรมศพแห่งพระองค์ไม่ต้องทำพระเมรุใหญ่ ให้ทำแต่พระเมรุทอง โดยพระราชดำรัสสั่งเช่นนั้นก็เพื่อจะตัดการใช้จ่ายให้น้อยลง และไม่ให้เปลืองแรงแก่ผู้คนด้วย ครั้นถึงงานพระบรมศพเข้าจริงก็ได้ปฏิบัติกันตามพระราชดำรัสสั่ง แล้วเปนธรรมเนียมทำต่อมา ถึงครั้ง
พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ก็การที่​มีแต่เมรุทองไม่มีอะไรล้อมนั้น จะเรียกตามลักษณะว่า พระโรงทึมทอง เห็นจะขัดข้องเปนไปไม่ได้ ต้องเรียกไปตามยศตามสมัยที่คนทั้งหลายเขาเรียกกัน คำว่า โรงทึม ต้องปล่อยให้ตายหายสูญไป อย่าลืมว่าที่เราพูดกันถึงอะไรเปนอะไรนั้นเปนพูดกันถึงมูลเหตุแห่งสิ่งนั้น แต่แล้วทีหลังคำเหล่านั้นเลื่อนมาเปนยศไปหมด จะหันกลับไปเรียกตามมูลเหตุเห็นจะขวางโลก
ขอบใจท่านที่บอกชี้แจงเพิ่มเติมไปให้ทราบว่า โรงทึมยอดธงเปนแบบทางกรุงเก่านี้เอง ไม่ใช่ทางอีศาน ทำความเข้าใจให้แก่ฉันชัดขึ้น แต่เห็นว่า แม้เมรุทางอีศานจะทำยอดเปนธง ก็จะเปนไรไป ดูเปนประเพณีที่ดีอยู่
ตูบ ที่ฉันเคยทราบว่าเปนปะทุนนั้น ลางทีเขาถือเอาปะทุนเรืออันหนึ่ง ซึ่งยกขึ้นจากเรือด้วยไม่ต้องการแล้วมาใช้ก็เปนได้ อย่างไรก็ดี การทำตูบก็คือทำห้องอย่างหนึ่งซึ่งจะทำอย่างไรก็ได้สุดแต่จะสดวก จะถือเอาเปนหลักหาได้ไม่ หลักอยู่ที่แคบเล็กนั้นเปนแน่นอน อันการทำอะไรที่เปนปะทุนนั้นเห็นจะมีหลัก ฉันเคยได้ยินชาวโคราชเขากล่าวโทษชาวบางกอก ที่ไปให้อย่างการแก้ปะทุนเกวียนเปนเก๋งอย่างรถเก๋งใน
กรุงเทพ ฯ เขาว่าไปเข้าบุกป่าก็พังหมด เหตุที่เกวียนทำปะทุนนั้นก็เพื่อจะฝ่าแขนงไม้ให้ลัดลู่ไปได้ คิดดูก็เห็นจริง สิ่งที่ทำเปนปะทุนมี เกวียน กูบช้าง เรือ ก็ล้วนแต่เปนสิ่งเดินทาง ที่ระรานกับแขนงไม้ทั้งนั้น อันคำอะไรที่ผิดแผกกันไปแต่ความลงกันนั้น ย่อมเปนไปด้วยเหตุหลายอย่าง มีเสียงซึ่งมาต่างถิ่นมากกว่าอื่น ที่แต่งแก้ในถิ่นเดียวกันก็มี เช่น เอา กะ เปน กระ เอา กระ เปน กรร เปนต้น แต่ก็แก้กันไปด้วยความเข้าใจผิดเปนพื้น ไม่ได้ตั้งใจจะผูกแก้ให้ต่างกัน
ภาษาอริยก เดิมมีสระน้อยนั้นเปนแน่ ดั่งเช่นฉันได้เล่าให้ท่านฟังแล้วในเรื่องสลิล ที่มีสระมากออกไปนั้นเกิดเติมเข้าทีหลัง
คำ อรชร มาแต่ อุชุ นั้นสงสัย ไม่สู้ลงใจเชื่อ
​เรื่องแต่งศพนอนใส่หีบ กับ แต่งศพนั่งใส่โกศ เชื่อว่าประเพณีทางเมืองเราแต่งนอนใส่หีบมาก่อน แต่งนั่งใส่โกศมาทีหลัง คิดว่าแน่ที่อ่านหนังสือเก่าก็พบแต่ใส่หีบ และที่ใส่โกศก็ถือกันว่าเป็นศักดิสูง จึงสันนิษฐานว่าใส่โกศเปนของมาทีหลัง แต่เปนปริศนาอยู่ทีว่ามาเมื่อไร จำอย่างใครมา ซึ่งเปนทางต้องการรู้อยู่บัดนี้
ข้อที่ว่าการประจุอังคารในสถูปเปนแบบไทย การลอยอังคารเปนแบบพราหมณ์นั้น เห็นว่าพูดถูก แบบลอยอังคารนั้นคิดลากเอาไปเข้าแบบเผาศพแล้วกวาดอังคารลงแม่น้ำคงคา อย่างที่ทำกันอยู่ในอินเดีย ขอให้ท่านสังเกตชื่อวัดปทุมคงคา จะเปนตั้งใจลากเอาแม่น้ำที่ตรงลอยอังคารหน้าวัดนั้นให้เปนแม่น้ำคงคาไปหรือไม่
ร่ายต้นเรื่องพระลอ อันมีคำ รอนลาวกาว เปนอาทินั้น เขาแต่งสรรเสริญไทยว่าชนะลาวต่างหาก เรื่องพระลอ เปนเรื่องในท้องถิ่น จะมีมาแต่เก่าก่อนเมื่อไรก็ได้ เขาจะเก็บเอาเรื่องบรมสมกัลป์มาแต่งก็จะเปนไรไป ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอะไรกับร่ายเบื้องต้นซึ่งแต่งปะหน้าไว้เลย คำในเรื่องพระลอที่ว่า จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์ คิดว่าเติมต่อเข้าทีหลัง เปนการคาดคิดของผู้เขียน ว่าใครเปนผู้แต่ง คำ มหาราชเจ้า จะหมาย
ถึงใครก็ไม่ทราบ แต่ที่ว่าเปนพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่คนสามัญ ดูก็ชอบกลหนักหนา ถ้าแต่งอะไรเปนลิลิตแล้ว ขึ้นต้นจะต้องกล่าวชมเมือง ถ้าแต่งเปนฉันท์แล้ว ขึ้นต้นจะต้องไหว้เทวดา ทำไมจึ่งเปนเช่นนั้น พิจารณาก็ไม่เห็นมีจำเปนอย่างไร นอกจากเอาอย่างกันเปนแฟแช่นเท่านั้นเอง อันคำฉันท์นั้นไม่ควรแก่จะนำมาใช้ในภาษาไทยเลย
ท่านถามถึง โคลง กลอน ร่าย ลิลิต ในทางที่จะแปลเอาความนั้นขัดข้อง โคลง ถ้าแปลก็ว่าโยกเยก ไม่ได้เรื่องอะไร มาแผลงกันเปนครโลง ก็มี ครรโลง ก็มี ก็ไม่ได้ความอะไรทั้งนั้น ฉันคิดเห็นแต่ว่า โคลง ที่จะใช้เปนบทร้องจึงมีที่บังคับเอกโทไว้
เพื่อไม่ให้ขัดกับเสียงเพลง แต่​สังเกตโคลงเก่า ๆ ก็ไม่สู้แน่ ที่ขาดเอกไปก็มี เช่นบาทสามแห่งโคลงบทหนึ่งในเรื่องพระลอว่า สองศรีสมบูรณบง กชมาศ กูเอย นั่นก็ไม่มีเอก กับที่โทเปนคำตายไปก็มี เช่นโคลงสุภาษิต เรียกเรื่องนั้นว่าอะไรก็ลืมเสียแล้ว ในบาทสองมีว่า สงฆ์สวดวินัยปัติ ปาติโมกข์ แต่ก็เปนคำที่เสียงต่ำเหมือนถูกโท ยิ่งสนับสนุนความเห็นที่ว่าเปนบทร้องหนักขึ้นเสียอีก กลอนถ้าจะเทียบกับคำที่มีใช้อยู่ก็
เปนสลักขัดประตูหน้าต่าง ไม่ได้เรื่องอะไรอีก เหมือนกัน แต่ตามที่เข้าใจกันทั่วไปก็เป็นว่ามีคำคล้อง ร่าย ท่านเทียบว่าได้แก่ ราย คือ คำราย เห็นว่าถูกแล้ว ที่จริงกลอนหรือร่ายก็เปนอย่างเดียวกัน ลิลิต ท่านคิดว่ามาแต่ ลลิต นั้นงามแล้ว ลิลิต ก็คือแต่งโคลงกับร่ายปนกัน ไม่แปลกอะไรไป จะว่าที่แท้ในสี่ชื่อนั้นก็เปน โคลง กับ ร่าย สองอย่างเท่านั้น ส่วนที่ว่าอะไรมาแต่ไหน และอะไรมาก่อนมาหลังนั้นเอาไว้ให้คนชำนาญพงศาวดารเขาพูด
ท่านพูดถึงนิทานในเรื่อง ๑๒ เหลี่ยม ท่านจับได้ว่าเปนนิทานอารับ พอดีกันกับที่ฉันได้พระดำรัสชี้แจงของสมเด็จกรมพระยาดำรงมา ว่าได้เคยโปรดให้ศาสตราจารย์เซเดส์สอบนิทานในเรื่อง ๑๒ เหลี่ยมนั้น พบว่าพระนามพระเจ้าแผ่นดินในนิทานนั้น โดยมากต้องกันกับพระนามพระเจ้าแผ่นดินเปอเซีย และวงศ์กษัตริย์เปอเซียก็เคยครองอินเดียมาด้วย ฉันรู้มาอย่างไรก็บอกมาให้ท่านทราบอย่างนั้น เพื่อการพิจารณา
อันนิทานในหนังสือใด ๆ จะถือว่านิทานเปนของประเทศไหน แล้วหนังสือจะเปนของประเทศนั้นไม่ได้ แท้จริงนิทานที่เอามาแต่งหนังสือใด ๆ ย่อมจะหยิบเอาที่ใกล้มือ ถ้าจะสังเกตแต่เพียงว่านิทานเปนของทางแขวงไหน ต้นหนังสือก็คงใกล้กันกับแขวงนั้นย่อมพอจะเปนได้อยู่ พระศพพระเจ้าเนาวสว่านที่กล่าวว่าตั้งเผยพระองค์อยู่นั้น มาต้องกันกับศพพระจีนพระญวนเข้าสมาธิตายที่เขาตั้งเผยไว้ ตามที่ท่านว่าเขาทำด้วยวิธีใดให้ศพแห้งไปฉนั้น
โรง มีความหมายว่าปลูกกับพื้นดิน เรือน มีความหมายว่ายกพื้นขึ้นสูง โรงที่เปนอย่างดีก็ถมพื้นสูงขึ้นนิดหนึ่งแต่พอกันน้ำไหลเข้าไปแฉะ ​เหมือนพระที่นั่งอมรินทร์ก็ถมพื้นสูงขึ้นนิดหนึ่ง ขึ้นเพียงสองก้าวก็ถึงพื้น เขาว่าพระที่นั่งอมรินทร์นั้นเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ และที่ ๒ เปนเสาโปร่ง เพิ่งมาทำฝาขึ้นในรัชกาลที่ ๓ เขาว่าท้องพระโรงในประเทศอินเดียก็โปร่ง และมีพื้นเตี้ยๆเหมือนกัน
คาด กับ เกี้ยว ท่านสอบได้เปนมีความหมายว่าผูกเหมือนกัน ประกอบทั้งคำอื่นอีกด้วย ฉันก็พอใจแล้ว แต่คำ คาด ไม่เปนไปในความหมายว่าตี
รนาด ท่านวินิจฉัยว่าเปนของเรียงของลาด ฉันก็พอใจแล้วเหมือนกัน ทั้งทำให้สมนึกเข้าด้วยว่า รนาดปี่พาทย์นั้นได้ชื่อมาแต่รนาดเครื่องลาด มีที่จะทักอยู่นิดเดียวแต่ที่ท่านเข้าใจว่า ระแนงเปนอันเดียวกับกลอน แต่ที่จริงเปนของคนละอย่าง กลอนนั้นเขาพาดตั้งตามจันทัน ไม้ตัวที่ประกับไว้ตีนกลอน จึ่งเรียกว่า เชิงกลอน ส่วนรแนงนั้น เขาพาดยาวไปตามแป ทับบนกลอนอีกทีหนึ่ง เปนคนละทิศคนละทาง ไม่ใช่อันเดียวกัน รแนงก็สำหรับแต่หลังคามุงกระเบื้องเท่านั้น ถ้ามุงจากหรือมุงแฝกก็ไม่ต้อ
งมีรแนง ใช้ผูกกับกลอนทีเดียว กลอนก็มีลักษณที่เรียงกันเปนแถวไปเหมือนกัน ลางทีคำว่ากลอนจะหมายเปรียบด้วยกลอนหลังคานั้นก็ได้ คือเปนคำเรียง ฉันลืมบอกแก่ท่านไปว่าฉันได้คำมาแต่พวกมอญ ว่าตะโพนมอญนั้นพวกมอญเขาเรียกว่า ปัตยา เขาอธิบายให้ฟังเสร็จว่า คือพาทย คำว่า พาทย เห็นว่าจะมาแต่ วาท คือ คำร้อง ร้องจะมาก่อนอื่นหมด สิ่งอื่นได้ชื่อตามหลังร้อง
คำ กลาโหม ซึ่งฉันว่าตั้งขึ้นในแผ่นดินพระบรมไตรโลกนารถนั้น ก็ว่าไปตามที่พบหนังสือครั้งนั้น แต่หนังสือนั้นจะเก็บความมาแต่ไหนอีกต่อหนึ่ง หรือใครจะเติมต่ออะไรเข้าอีกทีหลัง ก็ย่อมเปนได้ทั้งนั้น ฉันไม่เถียงเลย
ชื่อมหาทวีปในไตรภูมินั้นน่าสงสัย ชื่อ อุตตรกุร แปลว่าเหนือกุรุนั้นก็อันหนึ่งแล้ว ซ้ำมี บุพพวิเท่ห์ แปลว่า ตะวันออกแห่งวิเท่ห์ เข้าอีก​ด้วย ทางพราหมณ์ก็พูดไถลไปอีกทางหนึ่ง แบบไหนก็เปนคำกวีแต่งพูดเล่นตามสบายใจทั้งนั้น ใครไปหลงคิดตามเพื่อวินิจฉัยก็ทีจะเปนบ้า ที่เนียคเบียนในนครธม ฉันก็เคยไปดู ที่อาบน้ำสี่ทิศจำได้ว่ามีผิดจากหัวสี่สัตว์อยู่อย่างหนึ่งที่เปนหัวคน แต่จะแทนหัวสัตว์อะไร และทิศไหนเปนหัวอะไรนั้นจำไม่ได้
วิธีปลงศพด้วยเอาไปให้แร้งกิน นั้นติดจะไม่ประหลาด ศพพวกแขกฟาซีก็ทำอย่างนั้น แม้ป่าช้าในเมืองเราแต่แรกก็ทำศพเปนสามอย่าง คือเอาไปทิ้งแล้วแต่อะไรจะกินนั้นอย่างหนึ่ง เอาไปฝังอย่างหนึ่ง เอาไปเผาอย่างหนึ่ง ที่ป่าช้าวัดสระเกษมีแร้งมาอยู่ประจำทีเดียว แปลว่ามาคอยกินศพทิ้ง ประเพณีอย่างนี้เห็นจะเปนมาหลายประเทศ
ทีนี้เรื่องสวดมหาชัย ฉันเคยได้ยินว่ากรมหลวงวงษาทำบุญวันประสูติ สวดสองเตียง มหาชัย เตียงหนึ่ง อุณหิศวิชัย เตียงหนึ่ง อุณหิศวิชัยนั้นรู้ เพราะเคยได้เห็นหนังสือ แต่มหาชัยนั้นไม่รู้ เคยได้ฟังมาก่อนก็เปนสวดเล่น เขาตั้งต้นด้วย ชยันโต ว่าเปนคำท้ายของสูตมหาชัย แล้วร้อง ทัพใครยกมาเวลาดึก ต่อไปก็เล่นตลกหัวแหลกหัวแตกเอาแต่หัวเราะกันเท่านั้น ฟังไม่ได้เค้าในคัมภีร์ เห็นจะได้ฟังแต่เช่นนั้นมามากด้วยกัน
จนครั้งหนึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงจัดคนที่เคยสวดมหาชัยตามคัมภีร์ เข้าไปสวดถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ทรงฟังนิดหนึ่ง ฉันก็พลอยได้ฟังด้วย สังเกตว่า คำสวดเปนภาษาสํสกฤต จะเดินรูปเปนอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทั้งสงสัยด้วยว่าเปนภาษาสํสกฤตแล้วจะมาต่อกับ ชยันโต ซึ่งเปนภาษามคธได้อย่างไร ฉบับมหาชัยในหอสมุดมีหรือไม่ ถ้ามีท่านจะช่วยให้มหาบาเรียนเขาตรวจดูแล้วบอกไปให้ทราบได้ จะขอบใจเป็นอันมาก
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ทรงพระเมตตาตรัสประทานข้อความรู้หลายอย่าง ซึ่งข้าพระพุทธเจ้ายังไม่เคยทราบเกล้า ฯ ทั้งนี้พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
ในพจนานุกรมภาษามอญ-ไทย มีคำว่า ป้าด แปลว่า ระนาด (ฉะบับภาษาอังกฤษของหมอฮัลลิเด ว่าเครื่องดนตรี) บ้านโกนจอก ว่ากลองวง (ฉะบับภาษาอังกฤษของหมอฮัลลิเดว่า ฆ้องวง เห็นจะถูกเพราะกลอง มอญว่า พอม) ป้าดเกีย ว่า ระนาดแก้ว ป้าดตลา ว่า ระนาคนางหง ป้าดเม่ะสอนสาด ว่าระนาด ๕ อย่าง (ในฉะบับของหมอฮัลลิเด
ว่า มีกลองหน้าเดียว กลองสองหน้า กลองหนังทั้งตัว ไม่ทราบเกล้า ฯ ว่ากลองชะนิดอะไร เครื่องเป่าและเครื่องตี) ป้าดเวิง ว่าระนาดวง ป้าดลาด ว่า ระนาดทองเหลือง ตามคำแปลเหล่านี้ คำป้าดในภาษามอญ น่าจะหมายถึงเครื่องดนตรีทั่วไป ในฉะบับของหมอฮัลลิเดว่า ป้าด มาแต่ วาทย ในสํสกฤต ข้าพระพุทธเจ้าเปิดดูคำว่า วาท ใน
พจนานุกรมสํสกฤตเป็นอังกฤษว่า ทำให้เกิดหรือเล่น เช่นเครื่องดนตรี ในพจนานุกรมศัพทศาสตรว่า วาทย หมายความถึงเครื่องดนตรีก็ได้ เปนอันแน่ว่า พาทย มาจากสํสกฤต แปลว่า เครื่องดนตรี แต่แปลกที่ของไทย ตามที่เข้าใจกันสามัญเรียก พาทย์ แต่เครื่องระนาด ส่วนของมอญตามตัวอย่างข้างบนนี้ใช้ ป้าด เรียกประกอบกับเครื่องดนตรีต่าง ๆ ได้ นอกจากเครื่องสาย
ข้าพระพุทธเจ้าพบเรื่องแต่งศพนั่งของอินเดียในหนังสืออังกฤษเล่มหนึ่ง ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้คัดตัวอังกฤษและคำแปลเป็นภาษาไทยถวายมาในที่นี้ด้วย
​Of another form of burial that in a crouched or sitting position India supplied many examples. It has been supposed to symbolise the prenatal position in the womb, or more probably it is a survial of the binding of the corpse to prevent the ghost from walking. In later times it seems to have been regarded as honorific the chief being buried in the posture he occupies at the tribal fire, or the ascetic teacher as he addresses his pupils. Crooke’s page 129.
วิธีฝังอีกอย่างหนึ่ง มีตัวอย่างในประเทศอินเดียอยู่มาก คือให้ศพอยู่ในท่าคู้เข่าหรือในท่านั่ง เข้าใจกันว่า ที่ให้ศพอยู่ในท่าเช่นนั้น เป็นมีความหมายเหมือนกับท่าของทารกที่อยู่ในอุทร หรือลางทียิ่งกว่านี้ จะเป็นประเพณีที่เหลือสืบมาจากเรื่องมัดศพเพื่อไม่ให้เดินมาได้ ในกาลต่อมารุ่นหลัง ดูเหมือนจะถือว่าเป็นเกียรติยศที่จัดฝังผู้เป็นหัวหน้าในท่านั่ง เป็นอย่างนั่งอยู่ ณ ในพิธีกองกูณฑของโคตรชาติ หรือจัดฝังผู้เป็นอาจารย์นักบวชเป็นอย่างนั่งสอนศิษย์
ข้อความนี้ เป็นได้เพิ่มเติมขึ้นว่า การแต่งศพนั่งแก่ผู้เป็นประมุขของหมู่ในอินเดียก็มี แต่เป็นของรุ่นหลัง น่าเสียดายที่ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้กล่าวอะไรให้มากไปกว่านี้ เป็นแต่หมายเหตุให้ไปดูหนังสือ Primitive Rites of Disposal of The Dead With Special Refernce to India by W. Crooke และในเรื่อง Journal of
Anthropological Institute เล่มที่ ๒๙ หน้า ๒๗๑ ซึ่งที่หอสมุดไม่มี เป็นอันได้ความว่าประเพณีแต่งศพนั่งที่กล่าวไว้ในหนังสือนี้ ใกล้เข้ามาทางของไทยอีกทางหนึ่ง เพราะใช้แต่งแก่ศพผู้เปนประมุขและเพื่อเป็นเกียรติยศและเป็นประเพณีที่เกิดรุ่นหลัง
พระยาเทวาธิราชบอกข้าพระพุทธเจ้าว่า ในพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนา ตอนอิเหนามาเยี่ยมศพพระอัยกา มีกล่าวถึงทักษิณพระศพ ข้าพระพุทธเจ้าพลิกดูเรื่องอิเหนาตอนที่กล่าวนี้ ก็พบกล่าวถึงคำว่าทักษิณศพอยู่ ๕-๖ แห่ง คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า คนเป็นเวียนศพซึ่งเป็นประ​ธาน เวียนขวาเห็นจะถูกต้อง เพราะเป็นการเวียนให้เกียรติยศแก่สิ่งที่เป็นประธาน ส่วนชักศพเวียนเชิงตะกอนเป็นเวียนซ้าย ให้กลับกับของคนเป็น แต่ไฉนเวียนสามหาบจึงเวียนซ้าย เพราะในการเวียนครั้งนี้ เป็นการเวียนให้เกียรติยศแก่อัฐิธาตุซึ่งเป็นประธานในการเวียน
เมื่อเช้าวันที่ ๒๒ มีพิธีหล่อพระพุทธสิหิงค์จำลองที่สนามพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ข้าพระพุทธเจ้าดูเครื่องบัตรพลีที่เขาตั้งสังเวยไว้บนสานเพียงตา มีอยู่สองสาน เป็นของโหรที่หนึ่ง ของช่างหล่อที่หนึ่ง ของโหรมีบายศรีปากชาม กรวยกลางใส่ข้าวสุกปากหม้อหยิบมือหนึ่ง ยอดเสียบฟองไข่ เป็ดต้มสุกแล้ว นอกนั้นมีบายศรีนมแมว ๓ อัน
บนยอดเสียบดอกมลิและมีรูปแมงดา ๓ ใบ และมีกล้วยน้ำวางไว้ผลหนึ่ง ข้าง ๆ ชามบายศรีมีมะพร้าวอ่อนผลหนึ่งเฉือนเปลือกนอกแต่ไม่เฉาะปาก มีกล้วยน้ำใส่พานหวี ๑ กับธูปและเทียน สิ่งเหล่านี้ตั้งไว้ชั้นบนของสานเพียงตา ส่วนชั้นล่างเป็นถาดใส่หัวหมูต้มสุกแล้ว พร้อมทั้งหางและขาสับเป็นท่อนๆ วางไว้ด้วย และมีพริกแดงประดับ ส่วนของช่างหล่อ เอาหัวหมูใส่ถาดวางไว้ชั้นบนของสาน ส่วนชั้นล่างวางบายศรีปากชาม เป็นการกลับกัน มีผิดกับของโหรที่มีกล้วยน้ำบิเป็นสามชิ้นใส่ไว้ใน
ชามบายศรีด้วย ส่วนกล้วยน้ำทั้งหวีไม่มี แต่มะพร้าวอ่อนเฉือนเปลือกนอกและเฉาะปาก นอกนี้มีขันน้ำมนต์ติดเทียนและธูป มีธูปห่อหนึ่ง เหตุที่วางถาดหัวหมูผิดชั้นกัน เห็นจะเป็นเพราะขนาดถาดของช่างหล่อโตกว่าที่จะวางได้บนชั้นล่างได้สะดวก จึงได้เอายักเอาไว้ชั้นบนเสีย ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าทราบเกล้า ฯ มา ในชามบายศรีมีแตงกวาสามชิ้น กล้วยน้ำสามชิ้น แต่ที่ทำครั้งนี้ แตงกวาไม่มี กล้วยน้ำก็เอาวางไว้ทั้งผลหรือบิออกเป็นสามก้อน เห็นจะเป็นการทำเลือนไปเสียแล้ว ทำไมจึงต้องมีกล้วย
น้ำและแตงกวา คิดด้วยเกล้า ฯ ก็ไม่เห็นเหตุ เพราะแตงกวาและกล้วยน้ำก็ไม่ใช่เป็นอาหารตามปกติของไทย หรือเดิมจะเปนกล้วยน้ำว้า แต่ตกคำว่า ว้า เสีย จึงเหลือแต่กล้วยน้ำ ก็เข้าใจไปว่าเป็นกล้วยน้ำไทย ส่วนหัวหมู โหรบอกข้า​พระพุทธเจ้าว่าเป็นของที่พราหมณ์ชอบ ซึ่งเป็นอธิบายขอไปที อย่างเดียวกับที่มีผู้อธิบายไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องหัวหมูบายศรี ว่าหัวหมูเป็นของประเสริฐ เปรียบเทียบด้วยพระอมตธรรมหรืออะไรอย่างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นเหลวไหล
จึงไม่ได้เอาใจใส่กับคำอธิบายเหล่านั้น คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า การพลีด้วยหัวหมูจะย่อมาจากหมูทั้งตัว จึงได้มีหางและขาไว้ด้วย อาจเป็นประเพณีสืบมาจากอีศานหรือพายัพก์ได้ เพราะชอบรับประทานเนื้อสุกร แม้แต่การเล่นที่เรียกกันว่าเสือกินวัว ก็เรียกว่า เสือกินหมู แต่ของอินเดียทางปัญจาปเรียกว่า เสือกินแพะ แสดงว่าต่างถิ่นมีสัตว์เลี้ยงอะไรดกดื่น ก็เอาสัตว์ชะนิดนั้นมาเรียก เรื่องสังเวยด้วยหัวหมูก็อาจมีเค้าอย่างเดียวกัน
เรืองปรำครอบเชิงตะกอนเผาศพ ข้าพระพุทธเจ้าสอบลักษณะที่ทำในชนบทลางแห่งว่าทำเป็นรูป ๔ เหลี่ยมผืนผ้ามี ๖ เสา ลางแห่งทำเป็น ๔ เหลี่ยมจัตุรัสมี ๖ เสาเหมือนกัน แต่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อวางโลงบนเชิงตะกอนแล้ว หัวและท้ายโลงไม่ยื่นเลยออกมานอกเชิงตะกอนเหมือนที่ทำกันในกรุงเทพ ฯ เวลานี้ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า
เชิงตะกอนที่ทำในกรุงเทพ ฯ จะย่นลงมาจนวางโลงไม่ได้ตลอด คงเกิดจากจะกะเบียดกะเสียนเรื่องทำเชิงตะกอน แม้ย่อเชิงตะกอนลงมาแล้ว ก็ได้ทราบเกล้า ฯ ว่า แต่ก่อนนี้ยังตั้งเสาปรำเป็น ๖ เสา เพิ่งจะมาเป็น ๔ เสาในเวลาไม่สู้ช้านี้เอง
ในการชำระปทานุกรม ถึงอักษร ซ เกิดมีขัดข้องกันด้วยคำที่ขึ้นต้นด้วย ซ ผันด้วยไม้เอก และ ส ผันด้วยไม้โทเช่น ซ่อม และ ส้อม ซ่อง และ ส้อง ควรจะใช้ ซ หรือ ส กรรมการลางท่านอธิบายว่าที่ถือเป็นหลักมาแล้ว คือถ้าเป็นกิริยาใช้พวกอักษรต่ำ ถ้าเป็นอักษรสูงใช้ที่เป็นนาม เช่น ซ่อมแซม ช้อนส้อม เป็นต้น แต่ครั้นถึงลางคำก็ถือหลักนี้ไม่ได้ทีเดียว เช่น คอยท่า-ท่าน้ำ ข้าพระพุทธเจ้านึกแปลกใจว่า ที่คำซ้ำระดับ
เสียงกันมากคู่เช่นนี้ น่าจะมีเหตุอะไรมาก่อน ของเดิมจะมีระดับเสียง​ผิดกัน หากมาเลื่อนเสียงเหมือนกันในทีหลังก็ได้ เพราะไทยลางถิ่นเช่น อาหม ก็มีพยัญชนะแต่เสียงสูง พยัญชนะเสียงต่ำไม่มี แต่เมื่อออกเสียง อาจผิดระดับเสียงกันก็ได้ ข้าพระพุทธเจ้าจดคำที่เป็นอักษรสูงและอักษรต่ำผันด้วยไม้โทและไม้เอก เลือกแต่ที่เห็นว่าจะเป็นคำไทยแท้ แล้วให้นายสุดอ่านออกเสียงดู คงได้ความว่า เสียง ข และ
ค ตรงกันกับกรุงเทพ ฯ ถ้าเสียง ข่ และ ค่ ออกเสียงคล้ายเสียง ค แต่หางเสียงเป็นไม้ตรีนิดๆ ถ้าเสียง ข้ เป็น ข่ เสียง ค่ เป็น ข้ เป็นอย่างนี้ตลอดไปถึงพยัญชนะในวรรคอื่นที่เป็นอักษรสูงและต่ำ เมื่อเทียบคำว่า ถ้า-ท่าน้ำ-คอยท่า ก็เป็น ถ่า-ท๊าน้ำ-คอยท๊า เถ้าแก่ เป็น เถ่าแก๊ ส่วน ขี้เทา เป็น ขี่เท๊า หางเสียงเกือบเป็น เทา ทำให้ข้าพระพุทธเจ้านึกไปถึงคำว่า ขี้เทา ที่ตรัสทักข้าพระพุทธเจ้ามา ถ้าถือเสียงอีศานเป็นแนวเทียบ คำที่ควรจะใช้เป็นอักษรสูงไม้โทหรืออักษรต่ำไม้เอก น่าจะถือเอาเสียงที่
เขาอ่านเป็นเค้าเห็นจะได้ แต่ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่มีโอกาศสอบสวนเสียงทางพายัพและไทยถิ่นอื่นๆ ในคำไทย ข้อน แปลว่า ตี เขียนในหนังสือวรรณคดีเป็น ข่อน ก็มี ตรงกับเสียงทางอีศาน ส่วน ค่อน ว่าเขาออกเสียงเป็น ค้อน ลางคำ เช่น เซ่นไหว้ เส้นสาย ทางอีศานออกเสียงเป็น เส่น ทั้งสองคำ หาได้ออกเสียงผิดกันเหมือนกับคู่อื่นไม่ เป็นเรื่องที่คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ถ้าสอบสวนให้ได้ตลอด จะพบอะไรแปลก ๆ อีกมาก
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายหนังสือมหาทิพมนต์ ซึ่งมีบทสวดมหาชัยอยู่ด้วย มาในซองนี้ด้วยเล่ม ๑
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายหนังสือ วิจารณ์เรื่องประเพณีทำศพ เล่ม ๑ มาพร้อมกับหนังสือฉะบับนี้ ความมุ่งหมายของข้าพระพุทธเจ้าจะรอเอาไว้ก่อน ยังไม่ตีพิมพ์เรื่องนี้จนกว่าจะได้ข้อความต่างๆ ทางจังหวัดต่าง ๆ ส่งมาให้ เพราะข้าพระพุทธเจ้าได้ขอร้องผู้รู้จักกันในหัวเมืองหลายคนให้ช่วยสืบสวน ยังไม่ทันจะได้มา บุตรสาวข้าพระพุทธเจ้าจะทำศพสามี มาเร่งเอาหนังสือเรื่องนี้จากข้าพระพุทธเจ้าใน
เวลากระทันหัน ข้าพระพุทธเจ้าจึงจัดแบ่งให้ตีพิมพ์ขึ้นพอให้ทันงาน เพราะยังไม่สู้เต็มใจจะให้ตีพิมพ์ทั้งหมด ด้วยยังขาดตกบกพร่องอยู่มาก การตีพิมพ์ครั้งนี้จึงเป็นเสมอต้นร่าง ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าจะส่งไปให้คนรู้จักในต่างจังหวัดถือเป็นแนวทางสำหรับสอบสวนต่อไป ที่ตีพิมพ์เป็นอักษรตัวโตและตัวเล็ก ความประสงค์จะให้ข้อความในอักษรตัวโตเป็นอย่างตัวคาถา ส่วนข้อความในอักษรตัวเล็ก เป็นอย่างอรรถกถา ครั้นตีพิมพ์ไปบ้างแล้วก็เห็นข้อบกพร่องที่แยกกันไม่ออก แต่ว่าตีพิมพ์ไป
บ้างแล้วจึงต้องปล่อยไป ในเรื่องพิธีต่ออายุของภาคอีศานที่ทำไม้ค้ำโพ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าเติมลงไปในเรื่อง ได้มีผู้บอกว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวใกล้จะเสด็จสวรรคต ก็ได้เคยทรงจัดให้มีขึ้น ว่ามีอยู่ในหมายรับสั่ง ข้าพระพุทธเจ้าค้นแล้วยังไม่พบ ข้าพระพุทธเจ้าได้นำข้อความต่าง ๆ ที่ทรงพระเมตตาประทานมาลงไว้ในหนังสือที่ตีพิมพ์หลายแห่ง ทั้งนี้พระอาญาไม่พ้นเกล้า ฯ ขอรับพระบารมีปกเกล้า ฯ เป็นที่พึ่ง สุดแล้วแต่จะทรงพระเมตตา
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒
พระยาอนุมานราชธน
เมื่อวันที่ ๒๑ นี้ ชายยาใจเอาหนังสือซึ่งท่านฝากไป ไปให้ ๒ ฉะบับ กับห่อ ๑ เปนร่างพจนานุกรมฉะบับที่ ๘ ฉะบับหนึ่ง กับหนังสือของท่านส่งสมุดเรื่องประเพณีทำศพฉะบับหนึ่ง พร้อมทั้งสมุดเรื่องนั้นด้วย ขอบใจท่านเปนอย่างยิ่ง
การตีพิมพ์หนังสือซึ่งไม่บริบูรณนั้นไม่เปนไร เขาทำกันมาถมไป เมื่อมีโอกาศตีพิมพ์ใหม่ ตามที่ได้ตกแต่งเพิ่มเติมแล้วก็ทำได้ไม่ขัดข้อง มีแต่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ในสมุดที่ท่านให้ไป ฉันพูดอะไรแก่ท่านไม่ได้ ต้องอ่านให้ตลอดเสียก่อน ในการที่ฉันบอกอะไรแก่ท่าน จะเปนทางความคิดก็ดี เปนทางกระทำที่เปนมาแล้วจริงก็ดี ก็เพื่อให้ท่านทราบทั้งนั้น เมื่อท่านจะเก็บเอาไปกล่าว ฉันก็มีแต่ดีใจ ไม่มีความรังเกียจเลย
ในร่างพจนานุกรมฉะบับที่ ๘ พอดูก็เห็นคำ ฆาต มีแปลไว้ว่าตี เช่น ฆาตเภรี นึกก็ชอบใจ เพราะฉันได้คิดเช่นนั้นมาแล้ว แต่ที่เขียนหนังสือถึงท่านเมื่อคราวก่อน ไม่กล้าจะเขียนลงไป กลัวจะเปนลากเอาคำข้าวตัง เข้าไปสู่ภาษามคธ
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ยส (๒)
​กรมศิลปากร
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเต็มตื้นในพระเมตตาปราณีเป็นล้นเกล้าฯ ที่ทรงพระกรุณาประทานความรู้ต่าง ๆ แก่ข้าพระพุทธเจ้า ทั้งนี้เป็นพระเดชพระคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้า เหลือที่จะกราบทูลให้ทรงทราบได้
วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าอ่านเรื่องเบ็ดเตล็ดของอินเดียที่ฝรั่งรวบรวมไว้ย่อๆ เป็นอย่างเอนไซโคลปิเดีย เรียกชื่อว่า Things Indian พบเขากล่าวถึงอาวุธ และเกราะของอินเดียแห่งหนึ่งว่า ปืนไฟนั้นลางทีอินเดียจะได้มาทางอียิปต์ อียิปต์ได้มาจากนครเวนีสใน
ปลายศตวรรษที่ ๑๔ หรือต้นศตวรรษที่ ๑๕ และอิทธิพลของเวนิสดูเหมือนจะมีมาถึงอินเดียในคำว่า Bundook ซึ่งใช้เป็นชื่อเรียกปืนคาบชุด (Matchlock gun) ของอินเดีย คำนี้มาจากชื่อของนครนั้น เมื่อข้าพระพุทธเจ้าอ่านถึงตรงนี้ ก็ผ่านไป แต่จะด้วยความใฝ่ฝันอยู่แล้วหรืออย่างไรไม่ทราบเกล้าฯ ย้อนกลับมาดูอีกครั้งหนึ่ง ก็
เฉลียวนึกถึงคำว่า ปืนมณฑก ในภาษาไทย ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้ไปสอบถามพนักงานพระแสงในสำนักพระราชวัง และสืบถามนายทหารเก่า ๆ ในกรมช่างแสง ก็ตอบว่าไม่เคยเห็น และไม่ทราบว่าปืนชะนิดไร ข้าพระพุทธเจ้าจึงค้นหาคำ บันดุก นี้ ในพจนานุกรมภาษาฮินดูสตานี เขาอธิบาย บันดุก ว่า ในภาษาฮินดูสตานีเขียนเป็น Bandūk มาจากภาษาอาหรับอีกต่อหนึ่ง หมายความถึงปืนคาบชุด บันดุก นี้ ถ้าเป็น
พหูพจน์ใช้ว่า Banādik อันเป็นชื่อที่ชาวอาหรับเรียกผลไม้ filbert (เป็นผลไม้เปลือกแข็งปลายข้างหนึ่งแหลม) เหตุที่เรียกว่า บันดุก เพราะผลไม้นี้มาจากเมืองเวนิส (อาหรับเรียกว่า บันนาติก Venedig ในภาษาเยอรมัน) แล้วคำ บันดิก นี้ เลื่อนมาใช้แก่กระสุนสำหรับยิงจากหน้าไม้ เลื่อนมาอีกชั้นหนึ่ง ใช้เรียกแก่ตัวหน้าไม้ แล้วจึงเลื่อนมาใช้เรียกปืนไฟ ​ในภาษาอาหรับมีคำว่า Al-Bandukāni แปลว่า ผู้ทรงหน้าไม้ อันเป็นพระนามหนึ่งของกาหลิบฮารุลอัลราสจิด เห็นจะตรงกับคำว่า พระทรงศร ใน
อาหรับราตรี มีคำว่า Bandukdār แปลว่า นายแห่งปืนใหญ่ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า คำ บันดุก ตกมาในภาษาไทย เขียนเป็น มณฑก ลากเสียงเข้าความให้แปลได้ จึงค้นหาที่มาไม่พบ ประกอบทั้งปืนมณฑก ภายหลังเรียก ปืนคาบชุด เลิกใช้คำว่า มณฑก (ซึ่งจะเป็นด้วยเหตุไรไม่ทราบเกล้า ฯ ) จึงทำให้หาตัวปืนมณฑกไม่ได้ ทั้งๆ ที่ยังมีซากปืนมณฑกเหลืออยู่ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ปืนจ่ารงค์ ก็จะเป็นคำจำพวกเลื่อนมาอย่างปืนมณฑก แต่ข้าพระพุทธเจ้าพยายามค้นมานักแล้วก็ยังไม่พบ
ในหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดของอินเดีย กล่าวไว้อีกแห่งหนึ่งว่า พรหมาศตร์ ไม่มีใครทราบว่าเป็นอาวุธอะไร เป็นแต่ในตำนานกล่าวว่า เป็นอาวุธที่มีอำนาจซึ่งเมื่อแผลงไปก็ย้อนกลับมาหาแหล่งเดิมได้ และว่าอาวุธอย่างนี้ พวกมรวารและพวกกัลลาร ซึ่งเป็นเชื้อชาติทมิฬ ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ เป็นลักษณะเดียวกับอาวุธ บูมมารัง ของชาวเกาะออสเตรเลีย ทำให้นักปราชญ์ทางมนุษย์วิทยาเข้าใจว่า อินเดียภาคใต้กับออสเตรเลียอาจมีทางติดต่อกันในสมัยดึกดำบรรพ์ แต่ลางคนเห็นว่าจะเป็นต่างฝ่ายต่างคิดก็ได้ หากความคิดมาร่วมกัน
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายเรื่องประเพณีเกี่ยวกับเกิด ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าเขียนเสร็จแล้ว มาในซองนี้ด้วยฉะบับหนึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
โฆษณา