6 ก.ย. เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์

เรือดำน้ำญี่ปุ่นชั้น I-400: อาวุธลับใต้น้ำที่มาไม่ทันเวลา

บทนำ: สงครามที่กำหนดชะตาแห่งนวัตกรรม
กลางทศวรรษ 1940 โลกกำลังถูกกลืนกินด้วยเปลวไฟแห่งสงครามที่ขยายตัวไปทั่วทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก หลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์เมื่อปี 1941 ญี่ปุ่นดูเหมือนจะก้าวสู่จุดสูงสุดทางทหาร กองทัพเรือจักรวรรดิ (Imperial Japanese Navy – IJN) แผ่กำลังครอบคลุมเกือบครึ่งหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้เริ่มสั่นคลอนหลังการรบที่มิดเวย์ (Battle of Midway, 1942) ที่ญี่ปุ่นสูญเสียเรือบรรทุกเครื่องบินหลักไปถึง 4 ลำในเวลาอันสั้น
การสูญเสียดังกล่าวทำให้กองทัพเรือต้องมองหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อฟื้นความได้เปรียบ พลเรือเอก อิโซโรคุ ยามาโมโตะ (Isoroku Yamamoto) เชื่อว่า การสร้างเรือดำน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถบรรทุกเครื่องบินได้ จะเป็นอาวุธลับที่จะช่วยโจมตีสหรัฐอเมริกาในระยะไกล และสร้างแรงกดดันทางจิตวิทยาได้อย่างมหาศาล
โครงการนี้จึงถือกำเนิดขึ้น และถูกขนานนามว่า เรือดำน้ำชั้น I-400 (Sentoku-class submarine) อาวุธที่ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีข้ามทวีป เป็นเรือดำน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น และแม้จะถูกสร้างขึ้นจริง แต่กลับไม่เคยได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ออกแบบมา
1. แนวคิดการสร้าง “เรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบิน”
บริบททางยุทธศาสตร์
หลัง Midway ญี่ปุ่นรู้แล้วว่าการรบแบบเรือบรรทุกเครื่องบินต่อเรือบรรทุกเครื่องบินตนเองไม่สามารถชนะสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป การผลิตอาวุธของอเมริกามีปริมาณมหาศาล ญี่ปุ่นจึงพยายามหาวิธี “พลิกเกม” ด้วยกลยุทธ์ที่ไม่คาดคิด
ยามาโมโตะและทีมงานจึงเสนอแนวคิดที่ฟังดูเหนือจริง:
สร้างเรือดำน้ำขนาดมหึมาที่สามารถเดินทางรอบโลกได้
บรรทุกเครื่องบินโจมตีในตัวเรือ
ใช้โจมตีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เช่น คลองปานามา เพื่อทำลายเส้นทางคมนาคมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติก–แปซิฟิก
หากคลองปานามาถูกโจมตีสำเร็จ กองทัพเรือสหรัฐฯ จะต้องใช้เส้นทางอ้อมแหลมฮอร์น ซึ่งเสียเวลาและเชื้อเพลิงมหาศาล
2. วิศวกรรมและการออกแบบของ I-400
เรือดำน้ำชั้น I-400 ไม่ได้เป็นเพียง “เรือใหญ่” แต่คือผลลัพธ์ของวิศวกรรมที่ก้าวล้ำกว่าใครในยุคนั้น
ขนาดและสมรรถนะ
ความยาว: 122 เมตร
ระวางขับน้ำ: 6,560 ตัน (ขณะดำน้ำ)
พิสัยทำการ: 37,000 กม. สามารถเดินทางรอบโลกได้ 1.5 รอบโดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิง
ลูกเรือ: ประมาณ 144 นาย
เมื่อเทียบกับเรือดำน้ำเยอรมันแบบ U-Boat ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสงครามโลกครั้งที่ 2 I-400 ใหญ่กว่าเกือบสองเท่า
โรงเก็บเครื่องบิน
หัวใจสำคัญคือ โรงเก็บเครื่องบินกันน้ำ รูปทรงกระบอกเส้นผ่านศูนย์กลางราว 3.5 เมตร ยาวเกือบ 30 เมตร สามารถบรรจุเครื่องบินโจมตีแบบ Aichi M6A1 Seiran ได้สูงสุด 3 ลำ
เครื่องบิน Aichi M6A1 Seiran
ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อใช้งานกับ I-400
สามารถติดตั้งระเบิดขนาด 800 กก. หรือ ตอร์ปิโดหนึ่งลูก
พับปีกและหางได้ เพื่อให้เก็บในโรงเก็บทรงกระบอกได้
ใช้เวลาเพียง 7 นาทีในการประกอบและปล่อยขึ้นบินด้วยแคทาพัลท์
ระบบอาวุธอื่น ๆ
ตอร์ปิโด 8 ท่อยิง
ปืนใหญ่ขนาด 140 มม.
ปืนต่อสู้อากาศยานหลายกระบอก
ในเชิงวิศวกรรม I-400 คือ “ลูกผสม” ระหว่างเรือดำน้ำ, เรือบรรทุกเครื่องบิน, และเรือลาดตระเวนหนัก
3. ยุทธวิธีและแผนการรบ
แผนการโจมตีคลองปานามา
ญี่ปุ่นวางแผนให้ I-400 และ I-401 บรรทุกเครื่องบิน Seiran พร้อมระเบิดเจาะเกราะ เพื่อตัดเขื่อนกาตุน (Gatun Dam) ของคลองปานามา หากเขื่อนแตก น้ำจะท่วมเส้นทางเดินเรือ ทำให้คลองใช้การไม่ได้หลายเดือน
แผนการโจมตีชายฝั่งสหรัฐฯ
อีกแนวคิดคือใช้ Seiran บินโจมตีเมืองชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เช่น ซานฟรานซิสโก และลอสแอนเจลิส เพื่อสร้างผลกระทบทางจิตวิทยา อย่างไรก็ตาม แผนนี้ถูกยกเลิกเพราะญี่ปุ่นไม่มีทรัพยากรเพียงพอ
ปัญหาและข้อจำกัด
การฝึกนักบิน Seiran มีข้อจำกัดอย่างมาก
ญี่ปุ่นขาดเชื้อเพลิงและทรัพยากรในช่วงท้ายสงคราม
การเตรียมการใช้เวลานาน ทำให้ความลับเสี่ยงถูกเปิดเผย
4. ภารกิจจริงและการสิ้นสุดสงคราม
I-400 และ I-401 ออกเดินทางจริงในปี 1945 โดยมีภารกิจโจมตี ฐานทัพเรือ Ulithi ซึ่งเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในแปซิฟิก แต่ก่อนที่จะเริ่มโจมตี ญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนหลังการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ
เรือทั้งสองจึงได้รับคำสั่งให้ยอมจำนนต่อสหรัฐฯ
5. ปฏิบัติการ “Road’s End”
หลังสงคราม สหรัฐฯ ไม่ต้องการให้เทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ตกไปอยู่ในมือสหภาพโซเวียต จึงตัดสินใจนำเรือ I-400 และ I-401 ออกไปยังฮาวาย แล้วทำการ จมทิ้งในปี 1946 ในปฏิบัติการที่ถูกเรียกว่า Operation Road’s End
6. การค้นพบซากเรือและการศึกษาสมัยใหม่
หลายสิบปีต่อมา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาวายร่วมกับหน่วยงาน NOAA ใช้ยานสำรวจใต้น้ำค้นพบซากเรือ I-401 ในปี 2005 และต่อมา I-400 ในปี 2013 ที่ก้นทะเลลึกใกล้ฮาวาย
ซากเรือเหล่านี้ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์พอสมควร และกลายเป็น “พิพิธภัณฑ์ใต้น้ำ” ให้กับนักประวัติศาสตร์และนักดำน้ำวิจัย
7. มรดกทางยุทธศาสตร์และเทคโนโลยี
แม้ว่า I-400 จะไม่เคยถูกใช้งานตามวัตถุประสงค์ แต่ก็ได้ทิ้งร่องรอยทางประวัติศาสตร์และเทคโนโลยีไว้หลายด้าน:
แนวคิด เรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบิน ถือว่าล้ำยุค แม้จะไม่ถูกนำมาใช้ในสงครามจริง ๆ
การออกแบบเรือดำน้ำขนาดใหญ่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเรือดำน้ำยุคสงครามเย็น
I-400 กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความทะเยอทะยานที่มาไม่ทันเวลา” ของญี่ปุ่น
บทสรุป
เรือดำน้ำญี่ปุ่นชั้น I-400 เป็นมากกว่าแค่ยุทโธปกรณ์ทางทหาร มันคือสัญลักษณ์ของ ความพยายามสุดท้ายของจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่จะหาทางพลิกสถานการณ์สงคราม ทว่าการขาดทรัพยากร เวลา และความกดดันมหาศาลจากการรบ ทำให้เรือเหล่านี้ไม่ทันได้พิสูจน์คุณค่า
วันนี้ ซากเรือ I-400 และ I-401 ที่ก้นทะเลฮาวาย ยังคงบอกเล่าเรื่องราวของสงคราม ความทะเยอทะยาน และความเป็นจริงที่โหดร้ายของการต่อสู้ในมหาสมุทรแปซิฟิก
โฆษณา