4 ก.ย. เวลา 21:32 • ประวัติศาสตร์

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา

นริศรานุวัดติวงศ
ทรง
บันทึกเรื่องความรู้ต่าง ๆ
ประทาน
พระยาอนุมานราชธน
บริษัทสำนักพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด
๕๙๙ ถนนไมตรีจิต กรุงเทพ ฯ ๑ โทร. ๒๒๑๐๑๑๑-๕
ตีพิมพ์ครั้งแรก ๒๘ เมษายน ๒๕๐๖
ดีพิมพ์ครั้งที่สอง ๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๑
เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓
๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๔ เมษายน ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่าน ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ปีก่อน ได้รับแล้ว
ข้อแรกขอแสดงความขอบใจที่ท่านจงใจให้พรปีใหม่ ขอรับพรด้วยความยินดี รู้สึกว่าท่านมีน้ำใจอันตั้งอยู่ด้วยอารี จึ่งมีความสมรรคจิตต์อธิษฐาน ท่านจงใจให้พรอย่างไร ขอให้ท่านได้รับสิ่งที่ดีเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน
ที่นี้จะบอกคำซึ่งฉันเข้าใจว่าเปนเช่นนั้น เจริญ เปนคำเขมร เขาใช้ประกอบกับคำอื่นอันสังเกตได้ว่าหมายความว่ามาก เช่น เจริญอายุ เจริญยศ เจริญศักดิ์ เปนอุทาหรณ์, กับคำ สำราญ ก็เปนคำเขมร สังเกตเปนหมายความว่า ทำให้เบา เช่นด้วย่างพูดถึงเว็จของผู้หญิง เรียกว่า สรีย์สำราญ (มีตัว ย แซกอยู่ด้วยอำนาจสระอี) หมายความว่า ทำให้ผู้หญิงเบา แม้ออกลูกก็ใช้คำ สำราญ นั้นเหมือนกัน สำราญใจ ที่เราใช้กันก็แปลความได้ว่า ทำให้เบาใจ
ในการเขียนไม้ตรีของท่าน ผิดอยู่นิดเดียวที่ท่านไม่ได้บอกให้ฉันเข้าใจเสียว่า ท่านเขียนด้วยประสงค์อย่างไรเท่านั้น เมื่อได้บอกให้เข้าใจแล้วก็เปนพ้นผิด เมื่อท่านบอกให้ทราบความประสงค็ก็ทำให้นึกถึงกรมพระสมมต เคยทรงพระปรารภเสียงข้างจีนมี
อีกเสียงหนึ่ง ซึ่งอยู่ในระหว่างไม้ตรีกับไม้จัตวา นั่นก็มาลงกันกับที่ท่านว่านี้ เรื่องหนังสือไทยเรานี้ชอบกล บุคคลลางพวกก็อยากเติมอะไรเข้าไป อย่างน้อยก็เอาเท่าที่เห็นยังขาด อย่างมากก็จะให้อ่านให้ต้องตามใจ เช่นท่านให้ตัวอย่าง ท่านเขียน โนต แล้วถูกเติมไม้โท ที่เติมเข้าก็ผิดหลัก ที่ว่าแม่กดลงวรรณยุตไม่ได้นั้นด้วย แต่ก็
เติมเข้ากระนั้นแหละ เพราะจะลากให้อ่านเปนเสียงสูงไปสมใจ แต่ท่านผู้เปน​เจ้าของผู้เขียนกลับไม่เห็นด้วย ฉันเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกับท่านเหมือนกัน จะให้ตัวอย่างที่สอนกันให้อ่านว่า วอ วา วิ วี วิ ตัวนั้นสอนให้อ่านกันเปนเสียงสูง แต่เราอ่านกันเปนเสียงต่ำ เช่น วิลัย วิเศษ เปนต้น นั่นจะมิต้องลงไม้เอกที่ วิ ด้วยหรือ เสียงสูงนั้นนึกหาที่ใช้ไม่ได้เลย ที่จริงอักษรตายนั้นอ่านออกเสียงไม่เที่ยง เช่นอักษร กุ ถ้าเขียนคำว่า กุศล ก็อ่านเปนเสียงกลาง ถ้าเขียน กล้วย กุ ก็อ่านเปนเสียงถูกเอก แม้
เขียน กุหลาบ กุแหละ ก็อ่านเปนเสียงถูกโท ตัวอย่าง กาญจนบุรี ชลบุรี ของท่านนั้นดีนัก ใครอยากจะอ่าน กาญจะนะบุรี หรือ ชะละบุรี ก็อ่านได้ หรือใครอยากอ่าน กานบุรี ชนบุรี ก็อ่านได้ คำว่า เงิน นั่นก็ต้องที่มีไม้ไต่คู้ แต่ก็ไม่เห็นใครลงไม้ไต่คู้ แต่ก็ไม่เห็นมีใครอ่านเสียงยาว เพราะคำเสียงยาวไม่มีภาษา ก็อ่านตู่เปนเสียงสั้นทั่วกันไป ไม่มีใครอ่านเสียงยาว ฉันเปนพวกข้างไม่ต้องการเติมให้อ่านตู่ตัวกันไปตามที เรื่องหนังสือแม้จะพูดไปก็มากความนัก จึงจะหยุดเสียที่เพียงเท่านี้
อันวิชาทำเพลง ก็เหมือนกับวิชาสิงอื่น จะจำได้ก็เท่าที่ต้องใช้ ถ้าไม่มีที่ต้องใช้ ถึงแม้ละเคยเรียนมาได้แล้วก็ลืม ลืมหมดหรือจำได้เพียงแต่เปนกะท่อนกะแท่นต่อกันไม่ติด หากใครจำได้ไว้หมดก็เปนเทวดา คือหมายความว่าดีกว่ามนุษย์ทั้งปวง แม้แต่เพียงรู้ว่าอะไร แต่ก่อนเขาทำกันอย่างไร เท่านั้นก็เปนประเสริฐเลิศอยู่แล้ว
เรื่องคำกลับหน้าเปนหลัง หลังเปนหน้า นั้น เล่นเอาฉันงงอยู่จนบัดนี้ เมื่อกลับคำแล้วเล่นเอาความผิดกันไปมากด้วย เช่น ใจดี ดีใจ ใจเสีย เสียใจ เปนต้น เห็นว่าสำคัญอยู่ที่ให้เข้าใจเปนใช้ได้
เรื่องบวชนาคเข้าซ้ายขวา นั้น เข้าใจคำอธิบายดีแล้ว ถือเอาขวาของอุปัชฌาย์ เปนที่ตั้ง
ที่เผาศพพระยาวิเชียรคิรีนั้น เข้าใจว่าใช้ตารางอย่างไม่มีเสาตามปกติ เว้นแต่ต่อหัวท้ายออกไปกันเก้อ ไม่ให้หีบเยิ่นเย้อเกินตารางไปเท่านั้น
​ที่เรียกหมวกเจ้าว่า พระตุ้มปี่ นั้น แต่ก่อนเรียกกันเช่นนั้นจริง แต่ดูเหมือนจะใช้กันแต่จำเพาะเจ้านายที่เด็ก ๆ ส่วนเจ้านายที่โตแล้วเรียก พระมาลา ตลอดเปน พระมาลาเฮลเม็ต พระมาลากันแดด เพราะเหตุที่เรียกแบ่งตามวัยนั้นทำความยากให้ คำ พระตุ้มปี่ จึงหายไป เขาว่าคำ พระตุ้มปี่ มาจาก โตปี และ พระสถูป หรือ ถูปะ ก็ว่ามาแต่
โตปี จะถูกผิดอย่างไรก็ไม่ทราบ ที่จริงที่เรียก พระมาลา นั้นก็เชือน มาลา แปลว่าดอกไม้ต่างหาก คิดว่าคำนั้นมาแต่โพกผ้าสวมสุวรรณมาลา แล้วผ้าโพกทำสำเร็จให้สวมใส่ได้เหมือนหมวก มีสุวรรณมาลาอันจะพึงสวมด้วยติดอยู่ในตัวเสร็จ ที่แท้ควรจะใช้คำนั้น จำเพาะแต่พระมาลาเส้าสูงเส้าสเทินอันมีดอกไม้ทองติดอยู่ด้วยเท่านั้น ที่เอาคำนั้นมาใช้เรียกหมวกอย่างอื่นที่ไม่มีดอกไม้ทองติดนั้นหลง
จะขอโมทนาคำในหนังสือ ซึ่งแจกในงานพระศพพระองค์เจ้าพร้อม ที่เรียกว่า เรื่องแหลมอินโดจีนสมัยโบราณ นั้นถูกใจยิ่งนัก ด้วยไม่เรียกตามแฟแชนว่า แหลมทอง สงสัยอยู่นิดเดียวที่ว่าควรละเรียกว่า แหลมอินโดจีนหรืออย่างไร แต่ทีหลังก็มาคิดได้ว่าเรียก แหลมอินโดจีน นั้นดีแล้ว เปนไปตามที่เขาเรียกกันอยู่
มีข้อกังขาเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ด้วยเรื่องลูกประคำ มูลมาแต่ได้เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ บางกอกไตมส์ ว่า ดาไลลามาซึ่งอภิเษกใหม่ประทานของแก่เมืองจีน สิ่งหนึ่งเปนลูกประคำแก้วประพาฬ ๑๐๘ เมล็ด เป็นเหตุให้สดุดใจ ด้วยเคยสงสัยมาก่อนแล้วว่าจำนวน ๑๐๘ เมล็ดนั้นเปนจำนวนอะไร ถามผู้ใหญ่ก็ว่าไม่เห็นมีอะไรนอกจากกำลังอัฐเคราะห์ คือ
อาทิตย์ ๖
จันทร์ ๑๕
อังคาร ๘
พุธ ๑๗
เสาร์ ๑๐
​พฤหัสบดี ๑๙
ราหู ๑๒
ศุกร ๒๑
รวม ๑๐๘
แต่เกณฑ์กำลังอัฐเคราะห์นั้นก็เปนทางโหร หาใช่ทางพระพุทธศาสนาไม่ เพิ่งมาได้พบในเรื่องเกิดของท่าน มีเกณฑ์บอกได้เปนทางพระพุทธศาสนาว่า
พุทธคุณ ๕๖
ธรรมคุณ ๑๘
สังฆคุณ ๓๔
รวม ๑๐๘
แต่เกณฑ์นั้นมาแต่อะไร ท่านผู้บอกก็หาได้ชี้แจงไว้ไม่ อันธรรมดาจำนวนเกณฑ์อะไรนั้น ที่แท้ย่อมมีอะไรเปนมูล แต่ยากที่คนจะคำไว้ได้จึงจดไว้ เรียกว่า เกณฑ์ ทีหลังก็มีเกณฑ์อะไรต่าง ๆ เกิดผูกขึ้นด้วยความไม่เข้าใจตามไป อันลูกประคำนั้นเรามีอยู่ แต่ก็มักเปนไปทางเครื่องราง ส่วนทางพระศาสนานั้นมีแต่ทางพวกขรัวคร่ำเศกเป่า ส่วนทางศาสนาโดยตรงไม่ใช้ จึงสงสัยว่าลูกประคำนั้นจะมาทางมหายาน ประกอบกับการเศกเป่า ตามที่เคยได้สังเกตมา เห็นเทวรูปต่าง ๆ เขาทำถือลูกประคำมีอยู่
บ่อย ๆ ทางมหายานกวาดเอาเทวดาทางไสยสาสตร์เข้าไปไว้มาก พวกลามาก็เห็นถือลูกประคำกันอยู่เปนปกติตลอดไปจนถึงพวกบาดหลวงและนางชีทางคริสตัง ก็เห็นใช้ประคำกันทั้งนั้น จึงขออาญัติไว้แก่ท่าน ถ้าท่านมีช่องได้พบกับพระญวนหรือพระจีนจงช่วยถามดูด้วย เพราะเขาถือศาสนาทางมหายาน แม้ได้ความเปนหลักฐานอย่างไร ก็ช่วยบอกให้ทราบด้วย ถ้าไม่ได้หลักฐานก็แล้วไป
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๔ พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้า ฯ รับพระพรปีใหม่ ที่ทรงพระเมตตาประทานแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยปีติปลาบปลื้มเป็นล้นเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้าเพิ่งกลับจากไปเที่ยวภาคพายัพ ได้ไปทุกจังหวัด ยกเว้นจังหวัดแม่ฮ่องสอน แม้ได้ไปเพียงน้อยวัน ลางแห่งก็เพียงแต่ผ่านไป แต่ก็ได้ประโยชน์แก่ข้าพระพุทธเจ้ามาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เคยไป และได้เค้าต่างๆ สำหรับเป็นความรู้ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าใฝ่ฝันอยู่มาก
ข้าพระพุทธเจ้าขอบพระเดชพระคุณเป็นล้นเกล้า ฯ ที่ตรัสประทานความหมายคำว่า เจริญ และ สำราญ ในภาษาเขมร ข้าพระพุทธเจ้าได้รับความสว่างในเรื่องคำว่า เบา ซึ่งได้เคยค้นหาคำแปลคำนี้มานาน อนึ่งมีป้ายใช้ว่า สรียสำราญ อยู่ที่หอพระสมุดป้ายหนึ่ง มีผู้ทักว่าแปลก บัดนี้เป็นอันได้ทราบเกล้า ฯ ว่าเป็นภาษาเขมร และได้ทราบเกล้า ฯ ต่อไปว่า คำนี้กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงนำมาใช้
เรื่องเสียงอ่านภาษาไทยที่ประทานมา ดีเป็นที่สุด เป็นแนวสำหรับสอบสวนเรื่องเสียงกลายได้กว้างออกไป
ที่มาของคำว่า โตปี (หมวก) ในหนังสือฮอบสันยอบสันว่า น่าจะมาจากคำของโปรดุเกสว่า โตปี แปลว่า ยอด ตรงกับ โตเปต์ ในภาษาฝรั่งเศส หรือ ทอป ในภาษาอังกฤษ แต่ในที่เดียวกันนั้น ก็ว่าในภาษาฮินอี มีคำว่า โฏป แปลว่า หมวก อาจออกจากคำนี้ก็ได้ ส่วน โตปี ซึ่งแปลว่า สถูป เขาให้​ไว้อีกแห่งหนึ่ง ไม่กล่าวอ้างถึงคำว่า หมวก แต่ถ้าจะดูลักษณะของพระสถูปกับหมวกโตปี ก็ใกล้กันมาก แต่ในหนังสือเล่มนั้นไม่นำเอามารวมไว้ เป็นที่มาอีกคำหนึ่ง
ข้าพระพุทธเจ้าถอดเสียงคำว่า อินโดจีน ตามเสียงที่เขาอ่านกัน เพราะไปคิดขัดด้วยคำว่า ฮินดู และ ฮินดี ข้าพระพุทธเจ้าเคยเขียนว่า ฮินทู และ ฮินที แต่ภายหลังต้องเลิกใช้ เพราะห่างจากเสียงที่เขาใช้กัน
เรื่องลูกประคำ และ เกณฑ์ ๑๐๘ ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ถวายเรื่องภายหลัง เพราะมีเรื่องมากและกระจัดกระจายอยู่ในหนังสือฝรั่งหลายเล่ม ส่วนเกณฑ์พระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ รวมด้วยกัน ๑๐๘ นั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้เอาหนังสืออิติปิโสของเก่ามาตรวจดู คงปรากฏว่า คำตั้งแต่ อิติปิโส จนถึง พุทฺโธ ภควาติ เป็นท่อนหนึ่ง เป็นพุทธคุณ ๕๖ ตั้งแต่ สฺวากฺขาโต จนถึง เวทิตพฺโพวิฺญูหีติ ท่อนหนึ่ง เป็นธรรมคุณ ๓๘ ฉะเพาะ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ เป็นสังฆคุณ ๑๔
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับจดหมายจากพระพาหิรรัชฏ ฯ น้องพระยาอรรคนิธินิยม (สมุย) ตอบมาว่า บิดามารดาไม่เคยไปเกาะสมุย และบุตรก็เกิดในกรุงเทพฯ ทั้งนั้น พระพาหิรรัชฏ ฯ ว่าบิดาเคยเรียนหนังสือที่โรงเรียนสำเหร่ จึงสงสัยว่าที่ตั้งชื่อบุตรคนโตว่า สมุย คงจะเลียนคำฝรั่งคำใดที่คล้ายคลึงกับคำว่า สมุย มาตั้งชื่อ ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ถ้าเอามาจากคำฝรั่ง คำที่ใกล้กับเสียงว่า สมุย ก็น่าจะเป็นคำว่า สมูเอล ซึ่งเป็นชื่อโปรเฝตองค์หนึ่งในคัมภีร์ไบเบล
ข้าพระพุทธเจ้าได้สนทนากับชาวเขินคนหนึ่ง ที่แม่สายเขตต์แดนเชียงตุง ได้ถามถึงคำว่า เดิน ในภาษาเขินใช้ว่าอะไร เขาตอบว่า เดียว เป็นอันตรงกับในภาษาจีน ถีว (กวางตุ้ง) หรือ เทียว (แต้จิ๋ว) และเทียวหรือเที่ยวในภาษาไทย จีนแต้จิ๋วมีประโยคว่า เทียวไล้เทียวขื่อ แปลว่า ไปๆ มาๆ ข้อแปลกของคำนี้ ก็ที่ในภาษาจีน นอกจากแปลว่า เดิน หรือ ไป ​ยังแปลว่ากระโดดด้วย ในภาษาไทยใหญ่พวกที่อยู่ใกล้จีนมีคำว่า
ก่า แปลว่าไป ใกล้กับคำว่า คลา ในอาหมมีคำว่า กา (ไม่ทราบเกล้าฯ ถึงระดับเสียง) แปลว่าไป ว่าเต้น ตรงกับคำว่า เต้นก๋า เต้น ในไทยใหญ่เขียนเป็น ติน แต่อ่านว่า เต้น เมื่อเทียบ ก๋า กับ ขา เต้น กับ ติน ดูก็เป็นพวกเดียวกัน ในไทยใหญ่ยังมีคำว่า แว่ญ แปลว่า กระโดด ตรงกับคำว่า ขุนแผมผู้แว่นไว ซึ่งแปลกันว่าว่องไว คงจะเพี้ยนความหมายมาแล้ว เพราะใน มหาชาติคำหลวง ก็มีคำว่า แว่นบนกิ่ง อยู่
ข้าพระพุทธเจ้าเดินทางผ่านอำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ เห็นคำ ร้องกวาง ไม่เป็นภาษา ซักถามชาวเมืองว่า ทำไมไม่ กวางร้อง ก็ไม่ได้ความ เมื่อกลับมาได้สอบถามนายสุดว่า นี้คำอะไรที่เสียงใกล้กับ ร้องกวาง บ้าง ก็ได้ความว่ามีคำ ฮองกวาง แปลว่า ทางที่กวางเคยเดิน ฮอง ก็เห็นจะตรงกับร่อง (รอย) ถ้าเขียน ร่อง คำเดียว เป็น ร่องกวาง ไม่ได้ความ จึงน่าจะกลายมาเป็นร้องกวางอีกต่อหนึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือของท่านลงวันที่ ๑๙ เมษายน ได้รับแล้ว
ดิใจที่ได้ทราบความตามที่ท่านบอก ว่าได้ไปเที่ยวภาคพายัพ ดีใจเพราะการไปเที่ยวนั้นดี ได้รู้ได้เห็นอะไรแปลก ๆ เปนการช่วยตัวดีกว่าอุดอยู่เปนนางห้อง
คำ ปลาบปลื้ม ที่ท่านใช้เขาก็ใช้กันอยู่ดาษดื่น ไม่ใช่ว่าผิดอะไร แต่ฉันไม่ชอบใจในคำว่า ปลาบ ด้วยเห็นว่าคำนั้นควรจะใช้ในความหมายที่แรงกว่าดีใจโดยปรกติ แต่คำ ปลื้ม นั้นใช้ในความหมายว่าดีใจโดยปรกติควรอยู่ เช่น ปลื้มใจ เปนต้น
คำว่า เจริญ ในภาษาเขมรใช้ไปจนว่า ชาเจริญ ถอดความว่าเปนมาก ต้องกันกับสำนวนของเรา แต่เขามีคำว่า อัน แซกเข้าไปในหว่างกลาง คำ จำเริญ ในภาษาเขมรไม่เคยพบ พบแต่ในภาษาไทย จำเริญ หรือ เจริญ หมายความว่า วัฒน ทั้งสองคำ อนึ่งในภาษาเขมรมีคำ สราญ กับ สำราญ อยู่ทั้งสองอย่าง ฉันถอดว่า สราญ เปนเบา สำราญ เปนทำให้เบา แนวเดียวกับ กชับ และ กำชับ
อธิบายคำ โตปี ของท่าน ทำให้ฉันรู้กว้างออกไปว่ามีหลายภาษาด้วยกัน
พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๑๐๘ ที่ท่านว่า ฉันคเนเห็นจะเปนที่เรียกว่า มหาพุทธคุณ ซึ่งฉันไม่เคยนับ แต่ให้นึกสงสัยไปว่าจะปรุงขึ้นให้ได้จำนวน ๑๐๘ ทีหลัง เพื่อให้ต้องตามจำนวนลูกประคำซึ่งมีอยู่ ๑๐๘ ของเดิม พระพุทธคุณก็มี ๙ เท่านั้น เรียกว่า นวอรหาทิคุณ (อ สํ วิ สุ โล ปุ ส ​พุ ภ) ท่านจะค้นหาเรื่องลูกประคำบอกให้ทราบนั้น พอใจเปนอย่างยิ่ง คิดว่าประโยชน์แห่งการใช้เดิมก็คิดขึ้นสำหรับนับคะแนนภาวนาเปนแน่นอน จะเปนกี่ลูกก็เท่ากับจำนวนที่ต้องการภาวนากี่หน ตามพวกที่ต้องการภาวนานั้น
พอใจมากที่ได้ทราบทางแปลชื่อเดิมของพระยาอรรคนิธิ ว่าไม่เกี่ยวไปทางเกาะสมุย แต่เกี่ยวไปทางชื่อคริสตังเหยียดเปนไทย ฉันเคยได้พบมาทางชาวกฎีจีนเขาเหยียด อันโตนี เรียกว่า ต๋น โดมิงโค เรียกว่า หมิ่น ตามทางอย่างเดียวกัน สมุย จะมาแต่ สมูเอล หรืออ่านอย่างเฉ ๆ ว่า แซมยวล หรือจะเปนอื่นมีอยู่อีกก็ได้ แต่เมื่อทราบทางว่าไปทางไหนก็พอใจมากที่จะไม่หลง
คำว่า เทียว เราก็ใช้ เช่นว่า เทียวไปเทียวมา และคำว่า เที่ยว ก็เข้าใจว่าเปนคำเดียวกันนั้นเอง ทั้งท่านบอกคำ คลา ก๋า และ แว่นไว ให้ทราบอีกด้วยนั้น พอใจเปนอย่างยิ่ง
จะแปลคำว่า ร่องรอย ไม่ใช่เปนคำซ้ำหมายความว่ารอยตีนแต่อย่างเดียว เปนสองคำหมายความว่าเปนร่องลึกลงไปด้วยน้ำฝนชะกัดเซาะ เพราะฟื้นที่ในป่าย่อมลุ่มๆ ดอนๆ กับทั้งมีรอยตีนอยู่ในร่องนั้นด้วย เพราะเปนทางเดินมาแต่เดิม จึงได้ชื่อว่าร่องรอย อันคำว่า ร้องกวาง เห็นเปนคำไทยใต้ดัดแปลง ไทยเหนือพูด ร เปน ฮ ควรจะ
เปน ฮ่องกวาง หรือ ฮ้องกวาง ถ้าหมายถึง ร่อง ก็ควรเปน ฮ่อง เพราะมีคำ แม่ฮ่องสอน เปนพยานอยู่ ชื่อตำบล แม่ฮ่องสอน เดิมคิดว่าควรจะเขียนแม่ฮ่องศร แต่เดี๋ยวเป็นก็สงสัยไปเสียแล้ว สอน อาจหมายถึงอะไรอื่นนอกจากลูกธนูก็ได้กระมัง คำ ห้วง ก็เห็นจะมาแต่ ฮ่อง นั่นเอง
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
โฆษณา