4 ก.ย. เวลา 21:42 • ประวัติศาสตร์

พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓

๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๘๓
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ไว้แล้ว พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องในกระแสพระดำริเรื่องคำ ปลาบปลื้ม ว่าควรใช้ในความหมายที่แรงกว่าดีใจโดยปกติ คำไทยจำพวกปลาบปลื้มนี้แปลก เป็นคำพวกคล้ายคำคู่หรือคำซ้อน มีเสียงพยัญชนะเดียวกัน แต่มีเสียงสระและความหมายไม่เหมือนกันที
เดียว เช่น ปลดเปลื้อง ปลุกปล้ำ ปราดเปรื่อง ขบเคี้ยว ติดตาม ร่องรอย เป็นต้น ข้อแปลกอีกอย่างหนึ่งก็ที่เอาคำซึ่งมีเสียงท้ายเป็นอนุนาสิก หรือเสียงสระไว้เป็นตัวหลัง แต่ก็มียกเว้นบ้าง เช่น ซึมทราบ (ซ กับ ทร สับสนกันมาก ลางท่านว่า ถ้าเป็นเรื่องน้ำให้เขียน ซึมซาบ ถ้าเป็นเรื่องรู้หรือเข้าใจให้เขียนว่า ซีมทราบ ถ้าถือเอาคำ เช่น พรัด
พราก ปลาบปลื้ม เป็นแนวเทียบ ก็น่าจะเป็น ทรึมทราบ หรือ ซึมซาบ มากกว่าจะเป็น ซึมทราบ ให้ผิดอักษรกัน) เรื่องคำตัวหลังเป็นเสียงลงท้ายด้วยอนุนาสิกหรือเสียงสระในคำคู่และคำซ้อนก็เป็นเช่นเดียวกัน เช่น รวบรวม บึกบึน ทรัพย์สิน เงินทอง ไร่นา แต่ที่กลับกันได้ก็มี เช่น สินทรัพย์ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ของเดิมต้องการเสียงก้องไว้ตัวหลัง เพื่อสดวกในการออกเสียงและฟังเพราะ ด้วยมีกังวานเสียง แต่ที่กลับกันส่วนมากคงจะมาจากกลอนเพื่อสัมผัสเสียง
ข้าพระพุทธเจ้าวานพระยาอุปกิต ฯ เปิดพจนานุกรมเขมร ซึ่งราชบรรณาลัยกรุงพนมเปญจัดทำขึ้น ได้ความว่า เจริญ ในภาษาเขมรเป็นคุณศัพท์ ส่วน จำเริญ เป็นกิริยา แปลว่า ทำให้มาก ทำให้เกินขึ้นไป (ตัวสกดเป็น น) จับ (ชับ) เป็นกิริยา แปลว่า ไม่คลาดจากกัน มั่นคง จับแน่น ต้อง​โทษอยู่ในคุก กชับ เป็นคุณศัพท์ แปลว่า มั่นคง จับกันแน่น ใช้เปนกิริยาวิเศษณ์ก็มี กำชับ เป็นกิริยา แปลว่า พูดให้แน่น ให้มั่นคง
เช่น กินหมากกำชับปาก ส่วน สราญ พจนานุกรมเขมรยังชำระไปไม่ถึง อัน ในภาษาไทยก็แปลก มักเข้าประกอบกับพวกวิเศษณ์ เช่น อันดี อันโต อันเลว ภาษาไทยใหญ่ อั๋น แปลว่า ซึ่งเป็นคำใช้ประกอบคำอื่น เช่น อั๋นกัด (หนาว) อั๋นเถ่า (คนเถ้า) อั๋นแม่ญ (แม่นแท้) อั๋นแลง (แสงสว่าง) อั๋นห่ม (ฝางำภาชนะ) อั๋นหอม (จำนวนที่หอมหรือออมรวมไว้) อั๋นต้อง อั๋นถาม (คำถาม) ในภาษาจีนแคะก็เป็นอย่างเดียวกับในภาษาพูด ต้องมี อัน ประกอบอยู่ด้วยเสมอไป
แม่ฮ่องสอน ตามตำนานของเมืองนี้ ว่าเมื่อ ๑๕๐ ปีเศษที่ล่วงมานี้ เมืองแม่ฮ่องสอนยังเป็นป่าอยู่ เจ้าเชียงใหม่มาตั้งกองจับช้างเถื่อน เพื่อใช้ในการป่าไม้ ได้นำช้างที่จับได้มาฝึกหัดที่ห้วยแห่งหนึ่ง ห้วยนั้นจึงได้ชื่อว่า แม่ฮ่องสอน ส่วน ฮ่อง ในภาษาไทยใหญ่ แปลได้ว่า ลำธารขนาดใหญ่ แม่น้ำ แม่น้ำเล็ก ซอกที่เป็นทางน้ำ ช่องอยู่
ระหว่างเสาทั้งสองของเรือน นายสุดว่าทางอีศาน ฮ่อง หรือ ร่อง ใช้ปะปนกันกับคำว่า ห้วย คลอง ก็เรียกว่า ฮ่อง เหมือนกัน ปักษ์ใต้เรียกแม่น้ำขนาดเล็กว่าคลอง ส่วนในกรุงเทพ ฯ มีแต่คลองขุด ทำให้เข้าใจแคบไปว่า คลอง คือทางน้ำที่ขุด ในภาษามอญมีคำว่า คลอง แปลว่าทาง พอเทียบกับคำว่า คลองเลื่อย คลองธรรม ที่แปลว่า
ทาง ส่วน ห้วง ข้าพระพุทธเจ้าค้นหาในภาษาไทยถิ่นต่าง ๆ ไม่มี นายสุดว่า ทางอีศานมีแต่คำว่า วัง แปลว่า น่านน้ำตอนหนึ่ง ๆ ดูเป็นความเดียวกับ ห้วง ในไทยใหญ่มีคำ วัง แปลว่า เหวลึกมีผาชัน ดูความใกล้กับ วัง ในภาษาไทยกรุงเทพ ฯ ซึ่งน่าหมายความว่า น่านน้ำลึกและนิ่ง คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า คำเหล่านี้จะเป็นพวกเดียวกัน ห้วง วัง ว่าง ว้าง หว่าง เวิ้ง เวิ่น (อีศานว่า ที่น้ำวน) วนเวียน
เรื่องที่ตรัสถึงคำกลับหน้าเป็นหลัง หลังเป็นหน้านั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นแปลกมาก มักกลับกันได้โดยมากในคำที่เกี่ยวกับใจ และส่วนของ​ร่างกาย เช่น งามหน้า หน้างาม ซ้ำคำที่กลับกันนั้น คำหนึ่งเติม อัน ก็ได้ เช่น ใจอันดี ใจอันเสีย หน้าอันงาม ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องตั้งความเพียรเก็บเอาคำในภาษาทั้งหมดมาพิจารณา ลางที่จะได้เค้าเงื่อนอะไรบ้าง
กรรมการชำระปทานุกรมติดคำว่า ค่าที่เชิงเรือน ค้นกันนักก็ไม่ได้ความ ขอพระบารมีปกเกล้า ฯ เป็นที่พึ่งเพื่อทราบเกล้า ฯ ความหมายแห่งคำนี้ด้วย
ขณะนี้เจ้าหน้าราชพิพิธภัณฑ์กำลังจัดสิ่งของอยู่ที่ศาลาสหทัย ข้าพระพุทธเจ้าเห็นเขาวางเครื่องประดับหลังช้าง มีอยู่อย่างหนึ่งเขียนว่า กาญจนฉันท์ สำหรับตั้งพระไชยหลังช้าง ข้าพระพุทธเจ้าแปลคำ กาญจนขันธ์ ก็ไม่ได้ความ ข้าพระพุทธเจ้าเห็น
เขาตั้งพระกลดเครื่องสูงไว้หลายองค์ วัตถุที่ทำและสีก็ไม่เหมือนกัน เจ้าหน้าที่อธิบายว่าใช้ในที่และโอกาศต่าง ๆ กัน ซึ่งทำให้ข้าพระพุทธเจ้านึกนอกทางไปว่า ควรจะรู้ไว้ด้วยหรือรู้แล้วประโยชน์อะไรได้ แต่เมื่อนึกกลับอีกทีว่า เมื่อยังไม่รู้กับเมื่อรู้แล้ว ผิดกันอย่างไร ก็เห็นประโยชน์ของการรู้ขึ้นทันที
พระแสงดาบเชลยที่เขาเชิญออกมาตั้ง เป็นดาบขนาดใหญ่ รูปผิดกับที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นในพิพิธภัณฑ์สถาน ซึ่งในนั้นเป็นดาบคล้ายง้าวจีน ถ้าชะนิดที่ปิดป้ายไว้ว่า ดาบเชลย ในพิพิธภัณฑสถานไม่ใช่ดาบเชลยที่แท้จริง ข้าพระพุทธเจ้าก็จะขอให้เขาเอาป้ายออกเสีย เพราะทำให้เข้าใจผิด หลงสืบสาวที่มาของดาบชะนิดนี้ผิดไปไกล
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายเรื่องลูกประคำมาพร้อมกับหนังสือนี้ฉะบับหนึ่ง เจ้าหน้าที่ในกรมคลังคนหนึ่งบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า ลูกประคำของหลวงมีหลายชะนิด ทำด้วย ทองคำ แก้ว หิน และยางไม้กาเยน ส่วนจำนวนเม็ดลูกประคำก็มี ๑๐๕ ๑๐๗ ๑๐๘ และ ๑๑๕ พวงลูกประคำนี้ว่ามีสายทิ้งเป็นสายทองหรือสายไหม มีลูก
ประคำ ๓ เม็ด ขนาดเม็ดลดหลั่นกันดังรูปเจดีย์ ชะนิดใดใช้มีความหมายอย่างไร พระราชทานแก่ใคร​และในโอกาศอย่างไร เจ้าหน้าที่ไม่ทราบเป็นแต่ชี้แจงว่า พระราชทานเมื่อไปทัพ นอกนี้ยังมีพวงตะกรุดมีจำนวน ๓ และ ๕ ว่าตะกรุดจำนวน ๕ ใหญ่กว่าจำนวน ๓
อนึ่ง คำว่า ตะไล ในคำว่า ตะไลลามะ ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งของหัวหน้าสงฆ์ ลามะ ในธิเบต แปลว่า กว้างขวางเหมือนอย่างทะเล ในภาษาตาดมงคลออกเสียงเป็น ตะเล เสียงและความหมายบังเอิญมาพ้องเข้ากับคำว่าทะเลอย่างแปลกประหลาด
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ได้รับแล้ว
คำซ้ำหรือคำซ้อน คิดว่ามาแต่การที่กวีปรุงแต่งให้ฟังดี แล้วคนจำเอามาพูดตามอีกต่อหนึ่ง
ทร ทำไมเราอ่านเปนเสียง ซ ฉันไม่เข้าใจจนทุกวันนี้ เพื่อนประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันก็ไม่เห็นมีใครเขาอ่านเปน ซ เช่น ทรง ทรวง เขมรเขาก็อ่านว่า ตรง ตรวง หรือ ทุรวฺยะ ในภาษาสํสกฤตก็สอนกันให้อ่านว่า ดฺรวฺยะ ต้องเข้าใจว่าทางอินเดียเขาอ่านออกเสียงกันดังนั้น อินฺทฺริย พระธรรมยุติเราสวดว่า อินฺดฺริย มหานิกายคือไทยเก่าจึงสวดว่า อินฺซิย
ตามที่สอบคำ เจริญ ได้ความว่าเขมรเขียนสกด น นั้นถูกแล้ว ทางเรากับทางเขมรใช้ตัวผิดกันมีถมไป เช่น โปรด เราสกดด้วยตัว ด แต่ทางเขมรเขาเขียนสกดด้วยตัว ส สำคัญ เราสกด ญ ทางเขมรสกด ล ที่ผิดกันไปเข้าใจว่าเพราะการใช้ตัวมาแต่ก่อนไม่เปนแบบ เขมรกับเราต่างก็เอาคำแต่ละฝ่ายไปใช้ มีคำพ้องกันมาก ไม่ใช่ว่าเราจำเอา
คำเขมรมาใช้แต่ฝ่ายเดียว ทั้งนั้นก็เปนธรรมดาที่บ้านเมืองอยู่ใกล้กัน ศาสตราจารย์เซเดส์ ซึ่งเปนผู้รู้ทั้งสองภาษาเคยบอกว่า คำที่เดิมเปนคำเขมรแล้วไทยเอามาใช้ แต่ออกเสียงเพี้ยนไป เขียนก็เพี้ยนไปด้วย ซ้ำความหมายก็ต่างกันไป เขมรเข้าใจว่าเปนคำไทยจำเอาไปใช้ แต่ที่แท้เปนคำเขมรนั้นเอง ศาสตราจารย์เซเดส์ว่าจับได้หลายคำได้จดไว้มากแล้ว
ท่านบอกว่า อัน ในภาษาไทยใหญ่เปน ซึ่ง นั้นดีนัก ฉันเคยสังเกต​ว่า อัน กับ ซึ่ง นั้นลางทีก็เปลี่ยนกันได้ เพราะ กับ ด้วย ลางทีก็เปลี่ยนกันได้เหมือนกัน
คำแปล แม่ฮ่องสอน นั้นเชื่อยาก กลัวจะเปนพวกเดียวกับแปล สามเสน เปน สามแสน กางเขน เปน กางแขน สุพรรณบุรี เปน สองพันบุรี แต่ ฮ่อง เปน ร่อง นั้นแน่ หมายความว่าลึกยาว ห้วง นึกคำเพลงทางไทยเหนือขึ้นมาได้ ร้องว่า น้ำขาดฮ๎วั่ง ดูเปน ห้วง หรือ วัง หรือ ฮ่อง อะไรก็จะได้
ท่านถามถึงคำ ค่าที่เชิงเรือน ดูชัดอยู่แล้วไม่น่าจะสงสัยอะไร ความสงสัยถ้าจะพิจารณาก็เห็นมีอยู่ที่คำเชิง คำนั้นแปลว่า ตีน ท่านแต่ก่อนท่านเห็นว่าพูดว่าตีนเปนคำหยาบ จึงเอาคำเชิงมาให้แทน เชิงเรือนก็คือตีนเรียน เหมือนเชิงเขาก็ตีนเขา หรือเชิงเทียนก็ตีนเทียน คนเรียกว่าตีนเทียนกันอยู่ก็มี นั่นเปนแปลอยู่ในตัวแล้ว
กาญจนฉันท์ เปนชื่อเรียกแหย่งช้างชนิดหนึ่ง สิงอื่นไม่เห็นเรียกใครผูกชื่อเรียกกันขึ้นครั้งไรไม่ทราบ พระกลดเครื่องสูงที่ทำเปนสีต่างกันและวัตถุต่างกันนั้น ฉันก็ไม่ทราบว่าใช้ต่างกันอย่างไร อยากทราบอยู่เหมือนกัน เคยสังเกตมาได้แต่ว่าวันพระแล้วเขาถวายพระกลดแพรขาวขลิบทอง
ดาบชเลย ดูเปนจะหมายความว่ารูปเหมือนดาบ แต่ใหญ่กว่าดาบไทย เห็นจะไม่มีกำหนดลเอียดไปถึงว่าใหญ่ยาวเท่าไร ง้าว ก็คือดาบด้ามยาว หอกก็คือพระขรรค์ด้ามยาว หอกสามัญก็ใช้ไม้ไผ่เปนด้าม พระองค์เจ้าประดิษฐวรการเคยพูดเล่นว่าเปนของกษัตริย์ขี้ขลาด เอาไม้ไผ่ซึ่งจะตัดหาเอาได้ง่ายในป่ามาผูกต่อพระขรรค์เข้า
ขอบใจท่านเปนหนักหนา ที่อุตส่าห์ค้นหาและไต่ถามเรื่องลูกประคำ จดบันทึกไปให้เปนการลำบากแก่ท่านมาก แต่ท่านก็ได้ความรู้ขึ้นด้วยเหมือนกัน ถ้าจะสรุปเอาความซึ่งท่านบันทึกไปให้ ก็ตกเปนว่าต้อง​การใส่คแนนการภาวนา ทีแรกก็นับนิ้วมือก่อน ครั้นเห็นยุ่งยากวนเวียนจึงหาคแนนมาใส่ แล้วจะไม่ให้คแนนพลัดหายไปก็เจาะร้อย
เสียเปนพวง ครั้นทำเมล็ดคแนนด้วยมหรรฆภัณฑ์เช่น แก้วเงินทองก็แยกไปใช้เปนเครื่องอาภรณ์ เปนการสมควรเช่นนั้นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ส่วนจำนวนลูกประคำนั้นก็มากน้อยตามแต่พวกไหนต้องการจะภาวนากี่คาบ จำนวน ๑๐๘ เปนจำนวนที่ถนัดอย่างหนึ่ง พวกเดียวกับสำเภา ๕๐๐ โจร ๕๐๐ บ้า ๕๐๐ จำพวก แต่จำนวน ๑๐๘ จะมาแต่อะไรซึ่งถนัดกันก็สอบไม่ได้เรื่อง สิ่งที่อ้างเปนจำนวน ๑๐๘ ก็เห็นเปนผูกเข้าหา
จำนวนนั้นในภายหลัง ไม่มีความจำเปนที่จะต้องเปนจำนวนเท่านั้น และโดยมาก ขอไปที เสียด้วย เช่นนับเอาสระพยัญชนเข้าจำนวน ๑๐๘ โดยอนุโลมปฏิโลมเปนต้นนั้นก็ขอไปที ตัวอย่างที่พูดถึงสระพยัญชนนั้น ทำให้รู้ไปได้ถึงพราหมณ์พฤฒิบาศเขาบริกรรม ในการพิธีคเชนทรัศวสนานว่า โอมะ กะ ขะ คะ ฆ่ะ ง่ะ โอมะ จะ ฉะ ชะ ณ่ะ ญ่ะ ฯลฯ แรกได้ยินก็หัวเราะด้วยความประมาทเห็นเปนว่าสิ้นปัญญา เพิ่งจะมาเข้าใจในบัดนี้ ว่าเขาเห็นว่าอักขระนั้นเปนรากเหง้าแห่งคำทั้งปวง
ในบันทึกเรื่องลูกประคำ นั้น มีผิดอยู่ที่ชื่อวัด มังกรกมลาศน์ ที่ถูกเปน มังกรกมลาวาส ถ่ายจากชื่อจีนว่า เล่งเนยยี่
อีกคำหนึ่ง เกิดหนุนพูนสุข นั่นไม่ใช่ผิด แต่นึกว่าท่านเทียบเอาคำ เกิดหมูนพูนเขา คำ หมูน นั้นฉันคิดว่า มูน นั่นเอง หากพูดเพี้ยนไปเท่านั้น
คำ ตะไล ก็มาประจวบเหมาะที่เคยได้ยินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยทรงสันนิษฐานมาทีหนึ่งแล้ว ว่าคำ ดาไล ในชื่อดาไลลามา เห็นจะหมายความว่าทเล ฟังก็ไม่รู้สึกเลื่อมใสนัก แต่ไปต้องเข้ากับคำของตาดมงคล เปนอรรศจรรย์ที่สุด ภาษาธิเบตนั้นเต็มที ในว่าคำที่เปนชื่ออะไรเปนภาษาสํสกฤตไปกับพระพุทธศาสนา แต่ไม่เห็น​ว่าคำเหล่านั้นมีรูปเปนภาษาสํสกฤตเลย สมเด็จกรมพระสวัสดิเธออยากรู้สิ่งซึ่งถือกันว่าเปนมงคล ฉันก็เคยค้นจดส่งไปให้เธอ ในนั้นมีมงคลทางธิเบต
หลายอย่าง ได้ชื่อจดไว้ให้ด้วย เปนหนังสือฝรั่งตัวเป้ง ๆ ควบกันเปนหลายตัว ฉันก็เขียนไปให้ตามที่เขาจดไว้แต่ฉันอ่านไม่ออก ครั้นพบตัวเธอเข้าจึงถามเธอว่าอ่านอย่างไร ด้วยเชื่อใจว่าเธอรู้มากอาจบอกได้ แต่เธอว่าเรื่องอ่านนั้นต้องงดไว้ที แปลว่าเธอก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน ท่านออกความเห็นว่า พวกธิเบตนั้นถื่อผีมาก่อน แล้วได้ทางพระพุทธศาสนาเข้าไปปนนั้น ทำให้ได้สติเห็นทางไปด้วยดี แต่แรกฉันไม่เข้าใจ ว่าอย่างไรพระพุทธศาสนาจึงประกอบด้วยผีถึงปานนั้น
คิด ๆ อะไรก็เกิดภาษิตขึ้นในใจ ว่าการคิดค้นหาความจริงที่ถูกต้องนั้น เปนทางดำเนินเข้าไปหามิจฉาทิฏฐิ ถ้าจะดำเนินทางให้เปนวัมมาทิฏฐิก็ต้องดำเนินไปตามครูบอกไม่กระดิก
จะให้ข่าวแก่ท่าน ว่าพระองค์เจ้าธานีเขียนเรื่องศพโกศมาให้ ด้วยเธอเคยได้รับตอบได้ความเห็นแปลก ๆ ฉันก็อ่านเสียตาถลน จบลงก็ได้ความว่าเธอก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่เธอพรรณนามานี้ มีตัวอย่างที่คัดมาจากศิลาจารึกของพวกจามอยู่ ๓ บท ซึ่งฉันไม่เคยได้ทราบ และเชื่อว่าท่านก็ยังไม่ได้พบเหมือนกัน จึงคัดมาให้
บทที่ ๑ บันทึกไว้ว่าแปลจาก Finot:- Notes d’ Epigraphic XI (BEFEO IV p. 937-8 inscription XII B) ว่าดั่งนี้ พระเจ้าหริวรมันทรงพระราชอุทิศถวายแด่พระศรีอีศานผู้เปนเจ้า (คือพระศิวลึงค์ ที่ทรงสถาปนาขึ้น) โกศทองคำประดับมณีขนาดใหญ่อันวิจิตรแวววาวยิ่ง ส่องแสงสว่างยิ่งกว่าทินกร กระทำให้มีแสงสว่างทั้งกลางคืนกลางวัน ด้วยรัศมีแห่งแก้วมณีเหล่านั้น โกศนี้ประดับด้วยมณีรัตนทั้งสี่ด้าน
จำเนียรกาลมา ได้ทรงสร้างโกศทองอันงามวิจิตรยิ่งกว่าสูรย์จันทร์ประดับด้วยแก้วมณีทั้งสี่มุข พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐและมีพระ​ปัญญายิ่ง ได้ยกโกศนี้ถวายแด่พระศิเวศานลิงค์ ซึ่งโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี ๑๐๐๒ ศก (ปีมหาศักราชซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๖๒๓)
บทที่ ๒ บันทึกไว้ว่า (พ.ศ. ๑๖๓๑) แปลจากหนังสือเล่มเดียวกัน จารึกหมายเลขที่ ๑๖ บี หน้า ๙๕๐ ว่าดั่งนี้ พระบาทศรีชยอินทรวรมเทพ ทรงตระหนักในพระหฤทัยว่า พระภัทเรศวรเจ้าเปนใหญ่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวงที่ปรากฏในโลกนี้ จึงโปรดให้สร้างโกศทองหกหน้า (ษณมุข) ประดับด้วยนาคภูษณและพลอยสีฝังบนยอดแห่งศิขรมกุฎ (เหนือโกศนั้น) อนึ่ง อูรธวโกศนั้นแล้วไปด้วยทองอร่าม แล้วโปรดให้ทำอาธารใต้
โกศประดับสูรยกานตมณีหน้าทั้งหกของโกศนั้น (แต่ละด้านเรียวขึ้นไปเปนหัวนาค) ด้านที่แปรสู่ทิศบุรพายอดแห่งเศียรนาคราชฝังทับทิม ด้านอิสาณและหรดีฝังนิลในลูกตานาคราช ด้านใต้ฝังทับทิมบนยอดเศียรนาคราช ด้านปาจีนฝังบุศราคำบนเศียรนาคราช ด้านอุดรฝังอุตตรัตน โกศทองนี้หนัก ๓๑๔ ถิล กับ ๙ ทรม ยอดหกเหลี่ยมกับเศียรนาคราชและอาธารซึ่งหงายรับโกศนั้นหนัก ๑๓๖ ถิล รวมทั้งสิ้นเปนน้ำหนัก ๔๕๐ ถิล ๙ ทรม
ศก ๑๐๑๐ (คือ พ.ศ. ๑๖๓๑)
บทที่ ๓ บันทึกไว้ว่า (พ.ศ. ๑๗๙๗) แปลจากหนังสือเล่มเดียวกัน จารึกหมายที่ ๒๓ ว่าดั่งนี้ พระราชาองค์นี้ (ปรเมศวรมันที่ ๒) ทรงมีสมบัติห้า คือพระเมตตาสมบัติ พระเกียรติสมบัติ พระคุณสมบัติ พระรูปสมบัติ พระวีรยสมบัติ ฉนั้นเพื่อจะให้สมบัติทั้งห้านี้ปรากฏพร้อมกัน จึ่งได้ทรงสร้างครอบ (โกศ) ขึ้นไว้ถวายพระมเหศวรเจ้าเปนห้าด้านดั่งนี้
โกศนี้เครื่องประดับเปนทอง ๒๓๒ ขึ้น เปนมณีมีค่า ๘๒ ชิ้น เปนไขมุกด์ ๖๗ ชิ้น เปนเงิน ๒๐๐ ชิ้น
รู้อยู่แล้วว่า โกศอัฐิมีส่วนสูงกว่าโกศศพมาก แต่ก่อนนึกว่าเขา​เอาอัฐิใส่กลัก (ซึ่งตามปกติทำปากผาย) ทำฐานรองให้ตั้งได้ กระเดียดจะเห็นจากคำจารึกนี้ว่าเอาอัฐิประจุลงในครอบพระศิวลึงค์ ด้วยความสมสองประการ คือโกศอัฐิมีส่วนสูงที่สมควรจะเปนครอบพระศิวลึงค์นั้นประการหนึ่ง กับที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ก็คือองค์พระเจ้านั้นอีกประการหนึ่ง (มีคำ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว เปนอย่างอยู่) ข้อที่ว่าเปนสี่มุขนั้นก็เคย
เห็นโกศเล็กจำลักด้วยไม้ มีมุขเปนจั่วสี่ด้าน หม่อมเจ้าปิยภักดีนารถเก็บเอามาไว้มี เมื่อเห็นก็นึกว่าเขาปรุงเล่น แต่ที่แท้ทำเข้าแบบทีเดียว ขอสารภาพว่าโกศนั้นแต่แรกเคยเขียนสกด ฐ แล้วมาเปลี่ยนเขียนกันเปนสกด ศ ก็เขียนตามเขาไป ไม่ได้คิดวินิจฉัยว่าจะมีผลเปนอย่างไร มาพบในที่จารึกนี้ปรากฏว่าสกด ศ นั้นหมายเปนบุรษลึงค์ เจ็บปวดมาก
ไปเผาศพเห็นเขาเอาศพลูกซึ่งเปนผู้น้อยออกไปไว้นอกเมรุ เกิดได้สติขึ้นว่าหลังคาปรำหยวกที่เชิงตะกอนนั้นเขาทำสำหรับเผากลางแจ้ง ต้องตามที่ท่านได้วินิจฉัยไว้ ที่เอามาเข้าในโรงทึมนั้นเปนหลังคาซ้อนหลังคา เปนการทำโดยไม่สมควร
หนังสือเรื่องเกิด ได้อ่านตลอดแล้ว และได้ทำบันทึกเสร็จแล้วด้วย แต่พยายามทำบันทึกเรื่องการสมโภชน์และเจ้านายประสูติต่อไป เพราะในหนังสือที่แต่งไว้นั้นไม่มีกล่าว ท่านจะได้ทราบไว้ด้วย แต่ฉันก็ไม่รู้ตลอดเพราะไม่ได้เห็นตลอด แต่ก็ดีกว่าที่ไม่รู้เสียเลย
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๓
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๑๓ เดือนนี้ มีพระเมตตาประทานข้อทรงสันนิษฐานเรื่องคำแปลลางคำ พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
ทร อ่านเป็นเสียง ซ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่าจะเกิดจากอ่านเสียง ทร กล้ำไม่ได้ถนัด จึงได้เพี้ยนเป็นเสียง ซ ไป เพราะ ท เป็นเสียงปิดเกิดแต่ฟัน ส่วน ร เป็นเสียงรัวคือเปิดปิดสลับกันเกิดแต่ฟัน ส่วน ซ เป็นเสียงเสียดแซกออกมาตามช่องระหว่างฟันกับปลายลิ้นซึ่งปิดไม่แน่น เมื่อออกเสียง ท ปิดและออกเสียง ร เปิดปิดพร้อมกันเข้า เสียง ท
ยังไม่ทันให้ลิ้นปิดฟันได้สนิท ก็ต้องเลื่อนมาเปิดลิ้นออกเสียง ร จึงทำให้เสียงคาบเส้น เกิดเป็นเสียงเสียดแซกคือเสียง ซ ขึ้น ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลตามแนวในตำราที่อาจเป็นได้เท่านั้น ลางชาติ เช่นมลายู ออกเสียงกล้ำไม่ถนัด ก็ต้องหาเสียงอื่นที่เป็นเสียงสระเข้าแซก เช่น ขลับ เป็น กิหลับ หรือ กะหลับ ในภาษาบาลีก็เช่นเดียวกัน เช่น เกลศ ในสํสกฤตก็เป็น กิเลส ในบาลี ในภาษาไทย กรม ถ้าเอาสระอิ เช้าแซกก็
เป็น กิรม เพี้ยนมาเป็นเกรียม ใน คำว่า กรมเกรียม หลักที่เติมเสียงสระอย่างนี้ ในสํสกฤตเรียกว่า สวรภักดิ์ คืออาศัยพึ่งเสียง ในบาลีไม่มีหลักนี้ เพราะไม่มีเสียงกล้ำ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ที่ ทร มาเป็น ซ เพราะผู้พูดไปถนัดออกเสียงกล้ำก็เติม อิ เข้าโดยไม่รู้ตัวเป็น ทิร ทรง ก็เป็น ทิรง เสียง อิ ลากให้เกิดเป็นเสียง ซ ขึ้น โดยนัยแห่งเสียงปิดเปิดเกิดเป็นเสียงเสียดแซกขึ้น คำอังกฤษ trolley รถราง เพี้ยนเป็น สาลี่ ก็จะเป็นลักษณะนี้
เรื่องคำเขมรที่ไทยเอาใช้ แต่ออกเสียงเพี้ยนไป เขมรเข้าใจว่า​เป็นคำไทยจำเอาไปใช้ จับใจข้าพระพุทธเจ้ามาก เพราะข้าพระพุทธเจ้าเคยสงสัยเช่นนี้มาแล้ว . หากไม่มีความรู้ในภาษาเขมร จึงไม่มีหนทางจะค้นคว้า มีผู้บอกข้าพระพุทธเจ้าว่า ระแทะ มาจาก รถ ไทยได้มาจากเขมร เกิดเป็นความหมายไปอีกอย่างหนึ่ง คำซ้ำกับรถ แต่
ความหมายเพี้ยนไปเป็นรถชะนิดหนึ่ง เรื่องคำยืมกันไปยืมกันมา ในภาษาอังกฤษมีอยู่คำหนึ่ง คือ launch ฝรั่งว่าเดิมเป็นคำในภาษามลายูแปลว่า เรือเรว หรืออย่างไรข่าพระพุทธเจ้านึกไม่ออก โปรดุเกสได้คำนี้ไป แล้วสเปญยืมเอาไปใช้ทางโปรดุเกส อังกฤษได้ไปจากสเปญอีกต่อหนึ่ง แล้วไทยเอามาจากอังกฤษอีกที ในคำว่า สตีม
ลอน ข้าพระพุทธเจ้าเคยถามนายดีกัมโปส กงสุลเยเนอราลโปรดุเกส ซึ่งเขากำลังค้นหาคำโปรดุเกสที่มีอยู่ในคำไทย ว่ารู้จักคำ จะปิ้ง ในภาษาไทยไหม เขาตอบว่ารู้จัก ข้าพระพุทธเจ้าบอกเขาว่าได้เห็นในภาษาฝรั่งอธิบายว่า คำนี้มาจาก chapinha ในภาษาโปรดุเกส เขาก็ขอมรับทันทีว่าใช่แน่ เพราะ จะปิญ ในภาษาโปรดุเกส หมายความถึงแผ่นโลหที่ปิดช่องอย่างรูกุญแจเป็นต้น ข้าพระพุทธเจ้าพบคำว่า จะปิ้ง มีอยู่ในภาษามลายู จึงคิดด้วยเกล้า ฯ ว่า มลายูคงได้มาจากโปรดุเกส แล้วไทยได้มา
ทางมลายูอีกต่อหนึ่ง เช่นเดียวกับ กะโถน ในมลายูเรียกว่า กะโตระ แต่คำนี้ในภาษาโปรดุเกสว่าภาชน์คล้ายถาดสำหรับใส่ของ ในภาษาฮินดูสตานีก็ยังใช้คำ กะโตระ ในความนี้ คงจะเป็นเพราะมลายูเห็นเหมาะเอามาใช้บ้วนน้ำหมาก เลยติดเข้ามาในภาษาไทย ในหนังสือวชิรญาณอธิบายว่า กะโถน เพี้ยนมาจาก กะถ่ม ซึ่งคงเป็นเรื่องลากเข้าความ ถ่ม ไทยใช้เป็นกิริยา แต่ภาษาจีน ถ่ำ ใช้เป็นนาม หมายความสิ่งที่ถ่มออกมา
ที่ทรงเห็นว่า คำแปล แม่ฮ่องสอน จะเป็นลากเข้าความอย่าง สามเสน เป็น สามแสน ข้ำพระพุทธเจ้าเห็นพ้องในกระแสพระดำริ ข้าพระพุทธเจ้าค้นดูในภาษาไทยใหญ่ ในคำว่า สอน ก็ไม่มีคำแปลอย่างอื่น แต่ไปพบคำว่า สั่ง เข้าอีกคำหนึ่ง ในภาษาไทยใหญ่ว่าเป็นคำเดียวกับ ​สอน ความเข้ากันได้กับคำ สั่งสอน ในภาษาไทย แต่เมื่อแยกแปลก็มีความหมายผิดกันบ้าง ในคำว่า สั่ง และ สอน
ที่ทรงพระเมตตาประทานเรื่อง ง้าว ก็คือดาบด้ามยาว หอก ก็คือพระขรรค์ด้ามยาว ข้าพระพุทธเจ้าก็เพิ่งทราบเกล้า ฯ แต่ก่อนก็ไม่ได้เฉลียวคิด ข้าพระพุทธเจ้าไปสังเกตดูพระแสงหอกกับพระแสงทวนที่เขาจัดตั้งไว้ในราชพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะเปิดในเรว ๆ นี้ เห็นผิดกัน ทวน ไม่มีกะบังคอแต่นี้ภู่แทน ส่วน หอก มีแต่กะบังคอ และด้ามก็เป็นบ้อง
ๆ ซึ่งบอกชัดว่าเดิมเป็นด้ามไม้ไผ่ ยัง โตมร อีกคำหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจว่าเป็นหอกซัดรูปใบโพธิ์ ครั้นเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นปลายเป็นตรีขนาดเล็ก หากเอาฝักสวมไว้จึงทำให้เห็นเป็นรูปใบโพธิ์ กับข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพระมาลาเบี่ยง ซึ่งเขาสอดพระมาลาทรงประพาสไว้ข้างใน จึงทำให้ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจว่าที่เบี่ยงเพราะไม่กระชับพระเศียร เมื่อถูกข้าศึกฟันก็เคลื่อนที่เพล่ได้
ข้าพระพุทธเจ้าก็เพิ่งได้ทราบเกล้า ฯ ว่าพราหมณ์พฤฒิบาศบริกรรมในพิธีว่า โอมะกะขะคะฆ่ะง่ะ เมื่อเรวๆนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้พบพระราชครู จะมีสร้อยว่าวามเทพหรืออย่างไรข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้ ได้ถามถึงเรื่องนี้ ก็ได้รับตอบว่าบริกรรมในพิธีมี โอมะ กะขะฯ เหมือนกัน แต่เหตุที่ใช้แกไม่ทราบ
เป็นความผิดของข้าพระพุทธเจ้าที่เขียนชื่อวัดมังกรกมลาวาส เป็นมังกรกมลาศ์น เหตุด้วยนึกไปถึง พระพรหม ซึ่งที่แท้แปลเทียบคำ เน้ย ในภาษาฮกเกี้ยนเป็น เหลียน ผู้หญิงทีชื่อ เน้ย และชื่อ เหลียน แก้เป็น เหรียญ ก็เป็นคำเดียวกัน แปลว่า ดอกบัว
เกิดหนุนพูนสุข ก็เป็นความผิดของข้าพระพุทธเจ้า เพราะ หมุน ที่ทรงสันนิษฐานว่า มูน เป็นถูกแน่ เพราะในภาษาจีน หมูน ในเสียงกวางตุ้งก็แปลว่า มาก ล้น
​ข้อที่ตรัสว่าการคิดค้นหาความจริงที่ถูกต้องนั้น เป็นทางดำเนินเข้าไปหามิจฉาทิฏฐิ เปนภาษิตถูกที่สุดจับใจข้าพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ข้าพระพุทธเจ้าแต่งเรื่องที่จะต้องเป็นแสดงความเห็น ก็ต้องคอยระวังเรื่องที่จะถูกหาเป็นมิจฉาทิฏฐินี้อยู่เสมอ ลางทีก็ต้องพูดเกลื่อนเรื่องไปในตัว
เรื่องพระโกศ ข้าพระพุทธเจ้าก็เพิ่งทราบเกล้าฯ คำแปลที่ตรัสประทานมา ในพจนานุกรมแปลคำ โกศ ว่าฝักและอื่นๆ ไว้หลายนัย แต่นัยที่แปลว่า ฝัก มีกล่าวไว้ในมหาบุรุษลักษณะที่ ๑๐ ว่า โกโสหิตวตฺถุคุโยฺห ชรอยคำแปลว่าฝักจะเด่นกว่าคำแปลอื่น ๆ โบราณาจารย์ท่านเกรงว่าจะเข้าใจผิดไป จึงได้ยักใช้ โกศ สกด ฐ แต่ที่มาแก้เป็น ศ เพื่อให้ตรงกับความหมายอื่นที่มีอยู่ในนั้น จะเป็นด้วยไม่ได้คิดเฉลียวใจ
เหมือนโบราณ ที่ท่านรอบคอบดีอยู่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าอ่านพบใน พงศาวดารโยนก ของ พระยาประชาฯ ว่า เมื่อพระยาเมงรายสิ้นพระชนม์ก็เข้าโกศ ครั้นล่วงมาถึงนางจิรประภามหาเทวี สมัยสมเด็จพระไชยราชาเมื่อสิ้นพระชนม์ เข้าโลงประกอบบนบุษบก เป็นรูปนกหัศดีลิงค์ ว่าคราวนี้เปนต้นประเพณีทำนกหัสดีลิงค์ต่อมา น่าเสียดายที่กษัตริย์องค์อื่นไม่มีกล่าวถึงการพระศพ จึงทราบเกล้าฯไม่ได้ว่าที่มีอยู่สองแห่งนี้จะเป็นของเดิม หรือว่าผู้แต่งคาดคเนเอาเอง
ข้าพระพุทธเจ้าดีใจเป็นล้นเกล้า ฯ ที่จะทรงพระเมตตาประทานเรื่องการสมโภชน์และเจ้านายประสูติ ข้าพระพุทธเจ้าเคยค้นหาความรู้ในเรื่องนี้ไม่ได้ตลอด เพราะไม่มีใครเคยเห็น
เนื่องแต่ข้าพระพุทธเจ้าได้ไปเที่ยวภาคพายัพเมื่อเมษายนที่แล้วมา จึงลองค้นหาตำนานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับภาคพายัพมาอ่าน แล้วเขียนขึ้นตามความที่ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจ เมื่อเขียนไปได้เล็กน้อย ก็เกิดความจำเป็นรู้สึกว่า ถ้าไม่กล่าวถึงเรื่องราวชาติ
ไทยแต่ครั้งยังอยู่ในเมืองจีนเสียด้วย ก็จะเข้าใจเรื่องไม่ได้ชัด ครั้นข้าพระพุทธเจ้าลงมือค้นและเขียนดู ​ก็พบอะไรแปลก ๆ เช่นขุนบรมทำไมจึงได้ชื่อเป็นภาษาบาลี ชื่อไทยว่าอะไร และน่านเจ้าก็เป็นชื่อที่จีนเรียก ไปได้ความจากตำนานของอาหมและไทยใหญ่ซึ่งปรับเข้ากันได้ ว่าขุนบรมจะตรงกับคำว่า ขุนลุงหรือหลวง ซึ่งพระอินทร
ให้ลงมาครองเมืองแถบนั้น พระอินทรเขาเรียกว่า เส้าอิง หรือ เจ้าอินทร์ ก็คงเป็นกษัตริย์น่านเจ้าที่ให้พวกมาตั้งเมืองในแถวนี้ เมืองแถนหรือแถงก็ตรงกับเมืองเทียนเมืองหลวงน่านเจ้า ฝรั่งเขียนเมืองเทียนและเชียงแสนใช้ Tsen คำเดียวกันก็มี จึงน่าสงสัยคำว่า แสน ว่าจะเป็นคำเดียวกับ เทียน เพราะ ต กับ อี กล้ำกันก็เพี้ยนเสียงเป็นวรรค จ ได้ ส่วนคำว่า น่านเจ้า ไทยใหญ่เรียกว่า เมืองแสหลวง ฝรั่งว่า แส เป็นคำไทยในเมืองจีน แปลว่าเมืองหลวง ชื่อกษัตริย์น่านเจ้าที่จีนเรียกว่ามุงเซเจ้า ก็จะตรง
กับเมืองแสเจ้า แจ้ ในไทยใหญ่แปลว่าเมือง ข้าพระพุทธเจ้าเคยกราบทูลถึงคำ ลาว ว่าในไทยน้อยและอิศานแปลว่าใหญ่ ภูเขาอ้ายลาว ก็คือภูเขาใหญ่ต้น ยังมีทิวเขาอีกชื่อหนึ่งจีนเรียกว่า เก๋าหล่ง หรือ เก๊าเหลง ในภาษาแต้จิ๋วว่ามังกร ๙ ตัว ภูเขานี้ลางตำราว่าเป็นทิวเดียวกับภูเขาอ้ายลาว ถ้า ลาว แปลว่าใหญ่ เก๊าหล่ง ก็ต้องเป็น เขาหลวง ความได้กันสนิท จีนเรียกแม่น้ำโขงตอนเชียงรุ้งว่า เก๊าหล่งเกียง ตลอดจนคำว่า เชียงรุ้ง ไทยใหญ่เรียกว่า เกงฮุ้ง และคำว่า ขุรงค์ ที่ในตำนานก็เป็นคำที่ใกล้กับ
เก๊าหล่ง มาก เมืองที่อ้ายลาวอยู่ในยูนนานคือ เมืองเวงเซี้ยง (ยงเชียงในแต้จิ๋ว) แม่น้ำโขงตยนเหนือเมืองเวงเชี้ยง ก็เรียกว่า ลานฉองเกียง และใกล้กับเวงเชี้ยงก็มีภูเขาและเมืองชื่อ เปาะหน่าม ในแคว้นลาวมีเวียงจันทน์ ลานช้าง ฝรั่งว่าภูเขาที่กั้นแดนลาวและญวน จีนก็เรียกว่า เปาะหน่ำ ซึ่งพระยาประชา ฯ ว่าตรงกับ โพหนำ และเป็นคำเดียวกับ โพธิ (สารหลวง) อาณาจักรฟูนัน เสียงกวางตุ้งเป็น ฟุหน่าม ศาสตราจารย์เซเดส์ว่าน่าจะได้กับ พนม และในภาคอีศานก็มีเมืองนครพนม เสียงของคำเหล่านี้ก็
ใกล้กันมากอีก ข้าพระพุทธเจ้ามารู้สึกด้วยเกล้าฯ ว่า เมื่อได้อ่านเรื่องอะไรแล้ว ถ้ายังไม่ได้เขียนขึ้นไว้ ความจำก็อยู่เท่าที่อ่าน​และลำดับเรื่องไม่ได้ ต่อเมื่อเขียนขึ้นเกิดความจำเป็นต้องค้นต้องนึก ครั้นเขียนเสร็จแล้ว ก็ทวนเรื่องนั้นได้หมดจดดีกว่าเมื่อยังไม่ได้เขียนขึ้นไว้ เห็นจะเป็นด้วยเหตุนี้ ผู้ที่จะรับปริญญาในมหาวิทยาลัย จึงต้องแต่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการค้นคว้า เสนอต่อกรรมการพิจารณา เมื่อเห็นสมควรจึงจะรับบริญญาได้
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
- มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๓ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ มิถุนายน ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
ในที่นี้จะให้บันทึกให้แก่ท่าน ทักหนังสือเรื่องเกิดซึ่งท่านแต่งแล้วส่งไปให้ดู ท่านจงเข้าใจเถิดว่าที่จดบันทึกให้มานั้น เป็นส่วนที่รู้มากออกไป หรือเป็นความเหนที่ไม่ต้องกับที่ท่านเหน ส่วนที่ไม่ได้จดนั้น เป็นอันทราบเท่าที่ท่านทราบ หรือเหนด้วยกับท่าน หรือไม่ทราบเลย
๑. นิยม (หน้า ๔) คำนี้เคยทราบว่าแปลว่า เที่ยง แต่ที่ใช้กันอยู่เดี๋ยวนี้เคลื่อนไปเปนว่า ชอบ ที่ใช้ในหนังสือนี้เปนว่า เชื่อถือ ฉันไม่ได้ทักเพื่อให้แก้ ทักเพื่อเตือนใจให้รู้เท่านั้น แต่ที่จริงคำมีใช้ถมไป ถ้าเปลี่ยนใช้คำอื่นก็มีเปลี่ยนได้
๒. การที่ตั้งครรภแล้วฝันและทำนาย (หน้า ๕) นั้น เปนคติของการแต่งหนังสือ ไม่ใช่คติของคนธรรมดา กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยเคยกล่าวว่า แต่งหนังสือแล้วเมื่อจะตั้งท้องก็ต้องฝันว่ากินอะไรที่กินไม่ได้ เช่นดวงพระอาทิตย์ เปนต้น คนที่ตั้งท้องโดยธรรมดาย่อมไม่รู้ว่าตั้งท้องเสียอีก การเกิดของขุนช้างที่ยกมากล่าวอ้างนั้นก็เปนทาง
แต่งหนังสือ ถ้าจะอ้างถึงวิธีการแต่งหนังสือให้ตัวอย่างที่ขบขันก็ได้ แต่ต้องพูดให้เข้าใจว่าไม่ใช่ความจริง อนึ่งจะพูดเลยไปถึงชื่อขุนช้าง กล้วจะเปนชื่อตำแหน่งไม่ใช่ชื่อตัว เช่นว่า ขุนช้างขี่ช้างชนะงา เปนตัวอย่าง ส่วนขุนแผนนั้นปรากฏอยู่แล้วว่าเปนชื่อตั้ง คิดว่าคือ ขุนพิษณุแสนย์ ขุนแผนสท้าน นั้นเอง คำขับที่ว่า ครานั้นขุนแผนแสนสท้าน นั่นผู้แต่งก็รู้สึกเปนเงาๆ ว่าคำ สท้าน เกี่ยวข้องกับชื่อขุนแผน
๓. แสดงให้เหนภาพครั้งโบราณ (หน้า ๘) รังเกียจคำ ภาพ ด้วย​ภาษาช่างเขียนของเรา ถ้าพูดว่า ภาพ แล้วก็หมายถึงรูปตัวดี คู่กับ กาก หมายถึงรูปตัวเลว ตามที่ใช้ในที่นี้ก็ไม่ผิด แต่กระเดียดไปในทางว่ารู้คำใช้ของเราไม่ทั่ว ถ้าจะเปลี่ยนคำ ภาพ เสียว่า ทาง ก็เห็นว่าไม่ได้ทำให้ความเสียไป
๔. ที่ว่าแพ้ท้อง (หน้า ๑๑) อยากกินอะไรที่ไม่ใช่อาหาร ฉันไม่สู้เชื่อว่าอยากกินจริงๆ เปนแต่พูดว่าอยากกิน แล้วกินด้วยปรารถนาจะให้ลูกดีเท่านั้น แม้คนเจ็บกินของแสลงซึ่งอ้างว่าอยากกินนั้น ฉันก็ไม่สู้เชื่อว่าอยากกินจริง ๆ เหมือนกัน คิดว่าอยากหายเท่านั้น ธรรมดาคนเจ็บย่อมไม่อยากกินอะไร ของแสลงซึ่งกินเข้าไปนั้นก็ไม่ใช่แสลงเล็กน้อย มีขนมจีนน้ำยาเปนต้น แม้คนดีๆ ก็เตมที
๕. ข้อที่กล่าวถึงกองฟืนซึ่งสำหรับใช้อยู่ไฟ (หน้า ๑๓) ในตอนต้นกล่าวแต่เพียงว่าเอา หนามสะ แต่ตอนหลังตั้งเปนปัญหาว่าทำไมจึงเอาหนามพุทราสะ ตามที่แต่งไว้อย่างนั้นจึงเหนว่าตอนต้นควรระบุเสียด้วยว่าสะด้วยหนามพุทรา ต่อจากเรื่องสระหนามไปก็ถึงเรื่อง กะสือ อันชื่อว่า กะสือ นั้นชอบกล โลกถือเอาแต่แสงสว่างโดยจำเพาะเปนกะสือ เช่น หนอนกะสือ โคมกะสือ เปนต้น และเพราะรู้กันอยู่ว่า กะสือ นั้นมี
แต่ตัวเมีย จึงจัดขึ้นให้มีตัวผู้ด้วยเรียกว่า กะหาง แต่ที่พูดกันก็เปนตลกให้เหนเปนขี้นกอยู่ในตัวว่าเอากระด้งทำปีก เอาสาก(ตำข้าว) ทำหาง ตามที่ว่านั้นทีเปนครึ่งคนครึ่งนก แต่ครั้นทำรูปครึ่งคนครึ่งนกเข้าจริง กลับเรียกว่า อรหันต์ ข้อนี้ก็ประหลาด ทำไมจึ่งเอาชื่อผู้สำเรจมีฌานเปนต้นมาใช้เรียกรูปโสกโดกเช่นนั้นก็ไม่ทราบ
๖. จะแปลการใช้เบี้ยบน (หน้า ๑๙) ก็คือบนด้วยเงิน เพราะแต่ก่อนใช้เบี้ยเปนเงินปลีก แม้เวลานี้จะใช้สตางค์ก็ได้เหมือนกัน ถ้าจะเอาเงินบาทออกเสียบฝาบน แม้หายไปในเวลาโน้นก็อาจถึงล่มจมได้ ได้ยินว่า​วังหน้ากรมศักดิ์ได้รับพระราชทานเงินปีละ ๘๐๐ บาท นั่นแปลว่าเปนจำนวนมากอย่างล้นเหลือพอที่จะรักษาพระเกียรติยศวังหน้าไว้ได้ด้วยดีแล้ว
๗. ในการตัดสายสดือ (หน้า ๒๕) ถ้าพระองค์เจ้าใช้ลิ่มทองรองเปนเขียง คงเปนประเพณีซึ่งเปลี่ยนไปทีหลังเมื่อมั่งมีแล้ว
๘. ในการที่ไม่ฉีกผ้าอ้อมและเย็บเมาะก่อน (หน้า ๒๙) นั้นเพราะกลัวเด็กจะไม่ออกมารับเอาผ้าอ้อมกับเมาะซึ่งทำเตรียมไว้
๙. คาถาดับพิษไฟ (หน้า ๑๒) ฉันไม่เคยทราบมาเลย
๑๐. ในเรื่องยันตร์ ตลอดถึงเวทมนตร์ กลคาถา ถ้าจะเที่ยวถามอาจารย์ต่างๆ แล้วจดบันทึกมา เลือกเอาแต่ที่ผิดกัน เพียงยันตร์อย่างเดียวก็จะกินที่ตั้งเล่มสมุด แม้จะตัดเอาลงให้หมดก็เหนจะรุงรังเต็มที อย่างที่บุราณว่า อุปเทห์ท่วมหลังช้าง ในเรื่องลงยันตร์ ตรีนิสิงเห (หน้า ๑๕) ผเอิญฉันได้เหนได้สังเกตมา ทั้งจำคาถาที่เรียกว่า สูตร ไว้ได้ด้วย จึ่งสามารถจะบอกได้โดยละเอียด เส้นยันตร์ที่เขาลงนั่นเปนดังนี้
แล้วลงเลขในช่อง ๙ ตัว แต่เลข ๕ นั้นเปนสี่ตัว อยู่ในช่องสี่มุม ตัวที่อยู่ช่องบนหลังหยัก อย่างหางอุณาโลม ลงกับสูตรว่า ปฺจพุทฺธา เลขอื่นอีกแปดตัวลงในช่องสามมุม แต่ตัวไหนจะอยู่ที่ไหนจำไม่ได้ จำได้แน่แต่เลข ๑ ซึ่งลงเปนต้นนั้น วางไว้ที่ช่องล่างมุมข้างช้ายมือ (ถือซ้ายเปนใหญ่ ?) เรียกตามสูตรลงทางเดินเปนม้าหมากรุกเวียนขวา ไม่ใช่เดินยอกย้อนกลับไปกลับมาอันคาถาที่เรียกว่าสูตรนั้น มีว่าดังนี้
ตฺรีนิสึเหสตฺตนาเค ปฺจพิษฺณูนเมวจ
จตุเทวาฉวจฺจราชา ปฺจอินฺทฺรานเมวจ
เอกยกฺขานวเทวา ปฺจพฺรหฺมาสหมฺปตี
เทวฺราชาอฐฺอรหนฺตา ปฺจพุทฺธานมามิหํ
แต่ที่จะวินิจฉัยว่าสิงห์สามคือสิงห์อะไรบ้างนั้น เปนการเหลือล้นพ้นปัญญา ที่ว่านาคเจ็ดนั้นก็หมดดี จะหมายถึงงูใหญ่หรือช้างอะไรก็ไม่ทราบ นาค ก็มีความหมายว่าใหญ่เท่านั้น ไปแลเหนอยู่แต่อรหันต์แปด นั่นหมายถึงพระอรหันต์แปดทิศ พระพุทธห้านั้นหมายถึงพระเจ้าห้าพระองค์ แต่พระพิษณุห้า พระอินทร์ห้า พระพรหมห้านั้นหมดปัญญา กลัวว่าเลขในยันตร์นั้นจะมีมาก่อน แล้วผูกคาถาสูตรเข้ายัดภายหลัง และหลังแผ่นผ้าหรือแผ่นกระดาษซึ่งลงยันตร์ ตรีนิสิงเห นั้น เขาลงยันตร์อีกชะนิด
หนึ่ง มีชื่อ แต่ฉันจำไม่ได้ มีความเปนไปในทางว่าสลักหลัง เปนยันตร์อีกชะนิดหนึ่ง ตีเปนตาราง ๙ ตา ลงเลข ๙ ตัวเหมือนกัน เว้นแต่เลข ๕ มีตัวเดียว มีท่วงทีเปนดั่งนี้
จำได้แม่นว่าเลข ๕ อยู่กลาง ส่วนเลขอื่นจะอยู่ที่ไหนจำไม่ได้ อาจที่เลขแถวล่างจะอยู่บน บนจะอยู่ล่าง หรือแถวหน้าจะอยู่หลัง หลังจะอยู่หน้ากลับกันก็เปนได้ แต่หลักอยู่ที่จะนับแถวบนลงมา หรือว่าจะนับแถวหน้าไปหลัง หรือนับทะแยงมุมก็คงจะได้จำนวนแถวละ ๑๕ เท่ากันหมด เปนกลเลข
๑๑. วิธีโบกควันเวียนเทียน เคยเหนพวกแขกฟาซีเขามาเล่นละคอนในกรุงเทพ ฯ เขาเล่นเปนมีการนักขัตฤกษอะไรที่เทวสถาน มีท่านอาจารย์ใหญ่บูชาไฟอยู่ในเทวสถาน เสร็จแล้วมีผู้ช่วยยกเอาออกมาให้สัปรุษ ซึ่งไปยืนอยู่รอบเทวาลัย ต่างก็วิดเอาควันไฟในเตาใส่ตัว ได้นึกว่าอ้ายนี่ได้แก่เวียนเทียนของเรา นอกจากนี้ซ้ำได้เคย
เหนรูปทำขวัญแต่งงาน และรูปราชาภิเษกซึ่งตีพิมพ์มาแต่อินเดียด้วย ล้วนมีการบูชาไฟทั้งนั้น แต่รูปนั้นไม่เปนกำลังวิดควัน แม้กระนั้นก็ดี ทำให้นึกไปว่าการจุดแว่นเวียนเทียนของเราได้แก่การโหมกุณฑ์ทางอินเดีย จะผิดถูกอย่างไรยืนยันไม่ได้ ไม่รู้วิธีทางต่างประเทศพอ
​๑๒. การเจาะหู (หน้า ๕๕) เคยเหนเขาเอาตะกั่วทำเปนลวดเสี้ยมหัวท้าย ขดเปนวงแหวนหนีบหู ค่อยเร่งเข้าไปทีละน้อยกว่าหูจะทะลุ แต่ได้ยินบ่นกันว่าวิธีนั้นไม่ดี สู้เอาเข็มแทงไม่ได้เรวกว่า แต่สงสัยว่าวีธีเอาเข็มแทงจะเปนวิธีใหม่ พวกหญิงผู้ดีชั้นเก่า มีเจ้าเปนต้น เขาไม่เจาะหู ถือกันว่าเปนเลว
๑๓. โองการแม่ซื้อ (หน้า ๒๒) จดบอกไว้แต่ว่า ฝาผนังศาลาแม่ซื้อ ๑ เท่านี้รู้ได้ไม่พอ เข้าใจว่าเปนศาลาในวัดพระเชตุพน ต้องใส่ชื่อวัดเข้าไว้ด้วยจึ่งจะพอ อนึ่งการคัดหนังสือเก่านั้นทำยาก จะต้องตกลงว่าจะทำอย่างไร จะทำให้เหมือนต้นฉะบับหรือจะเอาแต่รูป ถ้าจะเอาเหมือนต้นฉะบับมีคนทำได้น้อย ถ้าจะเอาแต่รูปมีคนทำได้มาก ตามที่คัดมาลงไว้แล้วนั้นปะปนกัน ลางคำก็เปนไปตามต้นฉะบับ ลางคำก็เขียนเปลี่ยนเปนอย่างใหม่ไปแล้ว จะเอาอย่างไรก็ต้องเปนไปเหมือนกันหมดบรรดาที่คัดมา
๑๔. โรคแม่ซื้อ ตามแพทย์ศาสตร์ซึ่งแนะนำให้แก้ (หน้า ๖๖) ให้เอาดินสองฟากน้ำปั้นเปนแม่อุ้มลูก ทำให้สดุดใจที่ได้เคยเหนตุกตาเคลือบปั้นเปนแม่อุ้มลูกอย่างที่ว่านี้ ที่เตาเคลือบเมืองสุโขทัยก็มี ที่มูเซียมในเกาะบาหลีประเทศชวาก็มี จะใช้เปนตุกตาเสียกบาลหรือมิใช่นั้นไม่ทราบ
๑๕. หมากพลูธูปเทียน ๘ ที่ใส่ไปในบัตร เหนจะหมายบูชาเทวดาอัฐเคราะห์ ซึ่งอยู่ในดวงชาตาอันมีประจำตัวอยู่ทุกคน (หน้า ๗๖)
๑๖. ประแจของไทย มีทำด้วยทองเหลือง รูปเหมือนประแจของจีน เว้นแต่ที่ตรงกลางทำแหลมลงมาดุจจับปิง เจาะรูตรงนั้นเปนที่สอดลูกไข ลูกเหมือนลูกประแจฝรั่ง
เมื่อหมุนไปแล้วบีบจำปาทำให้ขื่อเลื่อนออกไปข้าง ๆ แต่ประแจชนิดนี้อาจเปนของมลายู เรารับเอามาก็เปนได้ ข้อนี้เพื่อประกอบกับข้อที่กล่าวถึงผูกมือเด็ก (หน้า ๘๑) การผูกลูกพรวน เคยได้ยินอธิบายกันว่า ถ้าเด็กซนแล้วผูกดี ไปที่ไหนจะได้รู้ คำอธิบายไม่เกี่ยวไปทางผี
​๑๗. เรื่องหวงวิชา อันมีความปรากฏอยู่ในหน้า ๘๔ นั้น ดูทีเปนคำของฝรั่ง ฝรั่งต้องรู้สึกว่าหวงจริง เพราะอยากรู้อะไรถามเด็กก็บอกไม่ได้ ถามผู้ใหญ่ผู้ใหญ่ก็สงสัย ว่าที่ฝรั่งจะรู้เอาไปทำไมในที่สุดก็ไม่บอก ซึ่งตกเปนหวงวิชา แต่เปล่าคนไทยด้วยกันไม่เหนปิดกัน เมื่อฝรั่งถามเอาความไม่ได้ก็หาหนังสือซึ่งคิดว่าจะมีใครแต่งไว้อย่างฝรั่ง แต่ก็ผิดอีก ธรรมเนียมไทยไม่มีใครแต่ง ตำรามีก็มีแต่สิ่งซึ่งจะจำไม่ได้ เช่นตำรายาเปนต้น แม้ผู้ถือตำราจะตาย ก็เอาตำราไปด้วยไม่ได้ ตำราจะต้องเหลือให้ปรากฏอยู่สืบไปไม่มีสูญ
๑๘. บายศรีที่เปนชั้น เขาเรียกรวมว่า บายศรีใหญ่ เปนของคู่กับบายศรีปากชาม บายศรีใหญ่ตามที่ทำใช้กันอยู่เปนพื้นก็ ๕ ชั้น ถ้ามี ๓ ชั้น ๗ ชั้น ก็อาจทำเปนพิเศษ แต่ ๙ ชั้น เชื่อว่าไม่มีแน่ บายศรีใหญ่มีชั้นเดียว ได้เคยเหนในงานออกร้านที่วัดเบญจมบพิตรไม่มีคันรองรับ สนมพลเรือนทำขายให้บูชาพระ เชื่อว่าสนมคิดทำขึ้นสำหรับงานนั้นโดยจำเพาะ เพื่อให้ขายได้ด้วยราคาเล็กน้อย อันไข่ขวัญยอดบายศรีปากชามนั้น เขาไม่ใช้ไข่ไก่เพราะไม่ใช่ของธรรมดาเท่ากับจะใช้ไข่นกกะสา นกกะทุ
งอะไรพวกนั้น ทั้งกรวยก็กรวย นมแมวก็นมแมว ไม่ใช่กรวยคือนมแมว ทำกันคนละอย่างผิดกันเปนไหนๆ ทางเมืองชวาเขาจัดบายศรีมีตัวผู้ตัวเมีย ที่ใช้กล้วยใช้แตงกวานั้นเปนตัวผู้ ถ้าเปนตัวเมียก็ใช้ขนมแบน ๆ เช่นงาตัดเปนต้น บายศรีตัวผู้สำหรับบูชาเจ้าพ่อ บายศรีตัวเมียสำหรับบูชาเจ้าแม่ บายศรีของเขาไม่ได้ทำอย่างบายศรีของเรา ใช้ของกินจัดใส่ถาดประดับให้พูนสูงขึ้นไปเท่านั้นเอง แข่งขันเอาดีเอาชั่วกันด้วยการจัดประดับ
๑๙. ตามที่กล่าวถึงวิธีทำขวัญ (ในหน้า ๙๒) ว่า ตักน้ำมะพร้าวมาวนๆ ที่บายศรีแล้วป้อนให้เด็กกิน นั้น ผิดกับการที่ทำจริง และต่างกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้นด้วย ควรจะแก้เสียให้เปนว่า ตักอากาศข้างบายศรีใส่ลงในลูกมะพร้าว แล้วตักน้ำมะพร้าวป้อนให้เด็กกิน (คำว่า ใส่ มีพระราชบัญญัติห้ามใช้คำ ใส่ ที่มีรูป ด้วยถือว่าเปนคำหยาบ จึ่งยักย้ายเอาคำอื่นมา​ใช้กันแทน แต่ก็ขัดด้วยผิดภาษาจึ่งคงใช้ตามภาษาจะแก้เอาคำอื่นใช้แทนก็ตามใจ)
๒๐. ในการทำขวัญแบบหลวงมีหลายวิธี แต่จะบอกดีไม่ได้ เพราะไม่ได้สังเกตจำไว้ถ้วนถี่พอที่จะบอกได้จริงจัง แต่จะพยายามบอกเท่าที่สังเกตเหน อันบายศรีของหลวงนั้นมีอยู่ ๓ ชะนิด คือ ๑. บายศรีสำรับเล็ก มีชั้นแก้วกับพานทองเงินซ้อนกันห้า
ชั้น แต่เปนขนาดเล็ก ตั้งบายศรีแก้วไว้กลาง ทองขวา เงินซ้าย ของผู้รับทำขวัญ สำหรับทำขวัญในการอันเล็กน้อย ๒. บายศรีสำรับใหญ่ มีลักษณะเหมือนกัน แต่เปนขนาดใหญ่ สำหรับทำขวัญในการอย่างใหญ่ ๓. บายศรีตองลองทองขาว เช่นเคยบอกมาแต่ก่อนแล้ว ดูเหมือนเปนเจ็ดชั้น มีคู่หนึ่งแต่ใช้อย่างไรบอกไม่ถูก ใช้เติมกับบายศรีสำรับใหญ่ก็มี แต่ตั้งไว้ต่างหากไม่ได้เข้าแถวกัน เครื่องประกอบบายศรีมี ก.-ขันปักแว่นสามใบ เปนแก้วทองเงินเรียกว่า ขันเหม ใส่ข้าวสารมีแว่นปักข้างละ๕ แว่น .
ติดเทียนแว่นละ ๓ เล่ม แว่นนั้นเปนแก้วทองเงินตามขัน เว้นแต่ขันแก้วนั้นเปนแว่นแก้วแต่ ๓ เปนแว่นทองอีก ๒ แสดงให้เหนว่าเติมเข้าทีหลัง แต่ก่อนมี ๓ แว่นเท่านั้น ข.-มีเทียน ๑ เล่มบักบนเชิงแก้วทองเงิน เรียกว่าเทียนชัย ค.-มีน้ำมันหอมใส่ภาชน ๑ เปนแก้วทองเงิน สำหรับคากับป้ายไส้เทียนที่แว่น ฆ.-พาน ๓ ใบใส่ใบพลูเรียงซ้อน แต่จะซ้อนกี่ใบไม่ทราบ กับตลับแป้งเจิมอยู่ในนั้นด้วย เปนพานและตลับแก้วทองเงินตามบายศรี ง.-ด้ายผูกมือหลายเส้น รวมใส่ไว้ในพานรองใบพลู แต่ใส่ไว้พาน
เดียวเท่านั้น เหนจะมีแต่ทำขวัญคน จ.-มพร้าวอ่อนปอกเปลือกเฉาะปากรองพานมีช้อน มีที่เดียวเหนจะมีแต่ทำขวัญคนเหมือนกัน ฉ.-เป็ดปั้นด้วยแป้งมีผักชีโรยอยู่บนหลังรองพาน แต่จะมีคู่หนึ่ง หรือเท่าไร จำไม่ได้ ก่อนนี้มีเปนประจำ แต่เดี๋ยวนี้หายไปเสียแล้ว ผู้ใหญ่ว่ามีไข่อยู่ในนั้น นอกจากนี้ก็มีเพิ่มเติมเปนอติเรก ลางทีก็มีหัวหมูด้วยอีกคู่หนึ่ง ลางทีก็มีโต๊ะเงินเครื่องอาหารด้วยอีกหลายโต๊ะ แต่จะเติมเข้าในการชนิดไรให้การไม่ถูก
​ทางปฏิบัติพิธีมีพราหมณ์เข้าประจำบายศรี ๓ คน ผู้ใหญ่อยู่กลางประจำบายศรีแก้ว ผู้รองอยู่ข้างซ้ายประจำบายศรีทอง (ขวาของคนหรือสิ่งซึ่งรับทำขวัญ) ผู้น้อยอยู่ข้างขวาประจำบายศรีเงิน (ซ้ายของคนหรือสิ่งซึ่งรับทำขวัญ) หลังไปมีพราหมณ์ถือสังข์ จะเปนสามคนเท่าผู้เบิกแว่นหรือสี่คนก็ไม่ได้สังเกตนับ หลังพราหมณ์ถือสังข์ไปมี
พนักงานถือบัณเฑาะว์ เท่ากับพราหมณ์ถือสังข์ ถ้าเปนในพระที่นั่งกรมวังปูผ้าแดงตามทางเวียนเทียนกันขี้ผึ้งหยดลงพรม แล้วเชิญข้าราชการเข้ายืนประจำริมทางลาดผ้าแดงด้านนอกคอยรับแว่น เริ่มแรกพราหมณ์ผู้เบิกแว่นควักน้ำมันหอมป้ายไส้เทียนก่อน แล้วจุดเทียนชัย แล้วเอาเทียนชัยเปนเทียนชะนวนจุดเทียนที่แว่น พราหมณ์คนกลางเบิกแว่นก่อน แล้วก็คนซ้าย แล้วก็คนขวาส่งแว่นรับกันต่อไปทางซ้าย (คือ
เวียนขวา) ในเวลาลงมือจุดเทียนที่แว่นนั้น สังข์เป่าบัณเฑาะว์ไกว ปี่พาทย์มีอยู่ที่ไหนก็ประโคมโดยสังเกตเอาเสียงสังข์ เมื่อส่งแว่นไปหมดแล้วหยุดเป่าสังข์ ต่อเมื่อแว่นมาบัญจบรอบจึงเป่าอีก เปนที่สังเกตนับรอบที่เป่าสังข์ แต่บัณเฑาะว์ไกวอยู่เสมอ และปี่พาทย์ก็ประโคมอยู่เสมอจนสุดการสมโภชน์ วิธีเวียนเทียนมีอยู่สองอย่าง อย่างใหญ่เวียน ๕ รอบ อย่างน้อยเวียน ๓ รอบ อย่าง ๓ รอบไม่มีคลุมบายศรี อย่าง ๕ รอบคลุมบายศรีใช้ใบตอง ๓ ใบคลุมชั้นใน แล้วเอาผ้าคลุมคลุมชั้นนอก ผ้านั้นใช้
ตาดต่างสีกัน บายศรีแก้วใช้ตาดขาว บายศรีทองใช้ตาดเหลือง บายศรีเงินใช้ตาดเขียว เมื่อเวียนเทียนไปได้ ๓ รอบ พราหมณ์เปิดคลุม เอาผ้าห่อใบตองไปให้ผู้รับทำขวัญถือไว้ ถ้าผู้รับทำขวัญคนเดียวก็เอาห่อผ้าสุมให้ทั้ง ๓ ห่อ ถ้าหลายคนก็ทอดเฉลี่ยให้ได้ถือทั่วกัน ทำขวัญอย่างเวียนเทียน ๕ รอบที่ไม่ใช่คน ไม่เคยเหนว่าทำกันอย่างไร แต่การเวียนเทียน ๕ รอบนั้นทำน้อยนัก เมื่อครบรอบแล้วก็ส่งเข้าไปให้พราหมณ์ซึ่งประจำบายศรีคนกลางทำกิจก่อนคือปักแว่นอันแรกลงในเหม ส่วนอันที่
๒ ถึงที่ ๕ นั้นปลดเอาแต่เทียนรวมติดในแว่นอันเดียวนั้น เมื่อคนกลางทำแล้วคนซ้ายก็ทำ เมื่อคนซ้ายทำแล้วคนขวาก็ทำ เมื่อทำเสร็จทั้ง ๓ คนแล้วก็ดับไฟที่แว่นด้วยใบพลูซ้อนซึ่งทากระแจะใบใน โบกควันให้แก่ผู้รับทำขวัญ ต่อนั้นไป​พราหมณ์ทั้ง ๓ คนก็ทำน่าที่ คนหนึ่งเอาเทียนชัยกับด้ายเข้าไปที่คนรับทำขวัญ เอาด้ายเส้นหนึ่งปัดออกเปนการฟาดเคราะห์ เอาเผาไฟที่เทียนชัยนั้น แล้วเอาอีกเส้นหนึ่งปัดเข้าผูกมือให้ ส่วนอีกคนหนึ่งตักลมข้างบายศรีใส่ในลูกมพร้าว เหนคนเก่าทำลางทีก็ตัก
เอาขนมที่ไม่กำเริบ มีทองหยิบเปนต้น ใส่ลงไปในลูกมพร้าวจริงๆด้วย แล้วตักเอาน้ำมพร้าวป้อนให้คนซึ่งรับทำขวัญดื่ม อีกคนหนึ่งเอาโถกระแจะไปเติมให้แก่ผู้รับทำขวัญ ถ้าเปนทำขวัญสิ่งซึ่งไม่มีชีวิตแล้วมีแต่การเจิมอย่างเดียว พิธีของพราหมณ์สิ้นเท่านี้ แล้วมีพิธีของสมเด็จพระมหากษัตริย์ต่อไปอีก มีการทรงรดน้ำสังข์และทรงเจิม สังข์นั้นมีเปลี่ยน ถ้าเปนผู้อยู่ในพระราชวงศ์ใช้พระสังข์ทักษิณาวัฏรัชชกาลที่ ๔ ถ้าเปนผู้อยู่นอกพระราชวงศ์ใช้พระสังข์เดิมอุตราวัฏแห่งรัชชกาลที่ ๑ ในการ
สมโภชน์โสกันต์อย่างใหญ่ มักโปรดให้พระบรมวงศ์กับข้าราชการผู้ใหญ่เข้าถวายเจิมด้วย ตรัศเรียกเจาะเอาจำเพาะตัว ผู้เจิมใช้แป้งเจิมของพราหมณ์ พระบรมวงศ์ทรงเจิมที่ฝ่าพระหัตถ์ ข้าราชการเจิมที่หลังพระบาท ส่วนสมเด็จพระมหากษัตริย์นั้นทรงเจิมที่พระพักตร์ด้วยแป้งเจิมซึ่งจัดมาโดยจำเพาะ การเป่าสังข์นั้นเป๋าตั้งแต่เมื่อเวียนเทียนครบรอบไปจุดสุดพิธีทั้งปวงจึงหยุด เมื่อสังข์หยุดแล้วบัณเฑาะว์และปี่พาทย์ก็หยุดไปด้วยกันหมด เปนอันสิ้นพิธีสมโภชน์เพียงเท่านั้น
๒๒. ทีนี้จะบอกถึงเจ้านายประสูติ แต่ท่านต้องให้อภัยที่ไม่ครบถ้วนเพราะความไม่รู้ ด้วยก่อนนี้ก็ไม่เอื้อที่จะรู้ มาภายหลังก็เหิรเห่อเกินกว่าที่จะรู้ได้ไปเสียสิ้น จึงเปนอันขาดตกบกพร่องไปตามที การประสูติของเจ้านายนั้นมีงานเปน ๓ ตอน คือ ประสูติตอนหนึ่ง สมโภชน์ ๓ วัน ตอนหนึ่ง กับสมโภชน์เดือนอีกตอนหนึ่ง
ก.-การประสูติ นั้นมีปี่พาทย์ประโคมมีที่สังเกตได้อยู่ที่ว่า ถ้าเปนพระองค์ชายแล้วตีฆ้องชัย ถ้าเปนพระองค์หญิงแล้วไม่มีตีฆ้องชัย การประโคมนั้นเข้าใจว่าใช้ปี่พาทย์ผู้หญิง อันปี่พาทย์ผู้หญิงนั้นมีแตรสังข์อยู่ด้วยเสร็จ แต่ไม่มีฆ้องชัยจะเอาฆ้องชัยผู้ชายเข้าไปคอยตีหรืออย่างไรไม่​ทราบ และถ้าเอาฆ้องชัยผู้ชายเข้าไป แตรสังข์จะเปนผู้ชายด้วย หรือใช้แตรสังข์ผู้หญิงก็ไม่ทราบ ถ้าเปนเจ้าฟ้ามีเพิ่มแตรวงทหารเข้าประโคมที่ประตูสนามราชกิจด้วย แต่เหนจะเปนเติมเข้าใหม่เมื่อแตรวงทหารจัดให้มี
ขึ้นฟุ่มเฟือยแล้ว กรมทหารในมีหน้าที่ต้องทำพระแท่นประสูติกับเตียงอยู่ไฟ พระแท่นประสูตินั้นถ้าเปนพระองค์เจ้าก็เปนเตียงขาคู้ทาสีเขียว ถ้าเปนเจ้าฟ้าก็เปนพระแท่นแว่นฟ้า มีเพดานและม่านใช้ผูกกระโจมในนั้น การผูกพระกระโจมใช้ผู้มีศักดิ์ใหญ่ กระดานไฟเปนเตียงเล็กๆ ได้ยินเรียกกันว่า พระแท่นประทมเพลิง แต่คำนั้นดูเปนสำหรับพระมารดาที่เปนเจ้า เจ้าจอมมารดาสามัญเรียกอย่างไรไม่ทราบ ลางทีกรมทหารในจะต้องทำเตาสำหรับอยู่ไฟด้วย แต่ไม่ได้ทราบในเรื่องนั้น
ข.-สมโภชน์สามวัน จะตกในวันไรครบสามวันก็ทำจริง ๆ เวลาเย็นเสด็จลงตั้งบายศรีแก้วทองเงินสำรับเล็ก พราหมณ์ทำการเบิกแว่น เจ้านายผู้หญิงเวียนเทียนในห้องตำหนัก เจ้านายผู้ชายไปนั่งอยู่ข้างนอก ผู้ซึ่งอุ้มเจ้านายซึ่งประสูติใหม่ใช้ผู้ใหญ่ในพระราชวงศ์ที่สูงศักดิ์
ค.-สมโภชน์เดือน ชื่อแต่ว่าเดือน ที่จริงแล้วแต่โหรเขาจะหาฤกษ์ได้ เดือนหนึ่งล่วงแล้วไปเปนได้กัน เวลาเย็นเสด็จลง มีเจ้านายผู้ชายเล็กๆเชิญหีบพระสังข์ตามเสด็จด้วย (สมโภชน์สามวันดูเหมือนจะไม่มีหีบพระสังข์ตามเสด็จ) การสมโภชน์นั้นทำเหมือนสมโภชน์สามวัน มีการเพิ่มขึ้นแต่พระราชทานน้ำสังข์และทรงเจิมแก่พระเจ้า
ลูกเธอ ซึ่งประสูติใหม่ ในเมื่อพราหมณ์ทำกิจเสร็จแล้วและทรงถือพระสังข์กับแป้งเจิม เสด็จเข้าไปในห้องในด้วย เข้าใจว่าจะพระราชทานน้ำสังข์และทรงเจิมให้แก่เจ้าจอมมารดา เสด็จกลับออกมาก็ประกอบการขึ้นพระอู่ต่อไป มีการตั้งพระอู่เพิ่มขึ้นในการสมโภชน์เดือนนั้นด้วย เชิญเสด็จพระเจ้าลูกเธอลงพระอู่ เหนทรงวางทองลิ่มกับใบพระราชทานชื่ิอลงในพระอู่แล้วมีพราหมณ์สองคนไกวพระอู่กล่อม คำที่กล่อมนั้น
เมื่อไปดูพราหมณ์ทำพิธีในคราวโล้ชิงช้า ก็ปรากฏว่าใช้คำสรรเสริญพระเปนเจ้าในเวลากล่อมหงส์นั้นเอง แมวและ​ถุงถั่วงาจะมีหรือไม่ก็ไม่เห็น พระอู่นั้นสานด้วยไม้ไผ่ตันรอบตัวหุ้มผ้าขาว ตามยาวแห่งปากพระอู่นั้นมีไม้คานหัวเม็ดปิดทองขนาบอยู่สองข้างตามยาวเปนที่ผูกเชือกแขวนกับเสาพระอู่ เชือกนั้นหุ้มผ้าขาวเหมือนกัน เสาพระอู่ทำเหมือนเชิงลับแลทาเขียวหัวเม็ดปิดทอง เข้าใจว่าเปนหน้าที่กรมทหารในทำเหมือนกัน
นอกจากนี้ควรจะมีการเจริญพระเกษา อย่างที่ชาวบ้านเขาทำกัน เรียกว่าโกนผมไฟนั้นในเวลาเช้าด้วย แต่ไม่ได้เหน เหนแต่เขาทำกับพวกหม่อมเจ้า เข้าใจว่าถ่ายถอนเอาแบบในวังมาทำเหมือนกัน มีการสวดมนต์เย็นวันหนึ่งก่อน ใช้พระสงฆ์ ๕ รูปถึง ๗ รูป รุ่งขึ้นเวลาฤกษโกนผมไฟ ทำเหมือนตัดจุก แต่โกนผมเอาไว้เท่าจุกไม่โกนหมด แล้วเอาลงอาบน้ำในขันเชิงใบใหญ่ ซึ่งตั้งล้อมไว้ด้วยราชวัดฉัตรกระดาษเล็ก ๆ ใน
ราชวัตนั้นมีกรงอย่างกรงนกเสียบกุ้งเงินอันทำขึ้นไว้ที่บนคอนใบหนึ่ง กับเสียบปลาทองอันทำขึ้นไว้บนคอนอีกใบหนึ่ง กับลูกมพร้าวงอกปิดกระดาษเงินใบหนึ่ง ปิดกระดาษทองใบหนึ่ง ก่อนที่จะเอาเด็กลงอาบน้ำในขัน เอาของทั้งนั้นชุบน้ำในขันก่อน การที่ทำกุ้งเงินปลาทองเสียบคอนต่างนกนั้น ผิดมนุษม้วย เข้าใจว่าหลงเอาพิธีลงท่าซึ่งทำกรงคือรั้วกันสัตว์ร้ายเข้ามาปน แต่เข้าใจว่า กรง นั้นผิดไปเปนกรงนก เพราะฉนั้นกุ้งเงินปลาทองก็ต้องเกาะคอนดุจนก มพร้าวงอกนั้นเปนเรื่องฝั่งรก ไม่จำ
เปนจะต้องเอาลงชุบน้ำ หากแต่การชุบกรงกุ้งเงินปลาทองนั้นนำไป เมื่ออาบน้ำเด็กเสร็จแล้วก็ทำขวัญติดไปทีเดียว จัดเอาพานมาซ้อนๆ กันเปนบายศรี โดยมากเปนพานถม มีบายศรีปากชามต่างหาก นอกจากนั้นก็มีขันถมรองพานใส่ข้าวสารปักแว่นติดเทียน จะเปน ๓ แว่นหรือ ๕ แว่น ก็ตามแต่จะจัดได้ กับมีมพร้าวอ่อนปอกเปลือกเฉาะปากมีช้อนรองพานด้วยตามเคย ในการเบิกแว่นนั้นถ้าอย่างดีก็พราหมณ์เบิก ถ้าอย่างเลวก็ผู้เปนครูคร่ำเบิก แล้วญาติที่ไปช่วยงานนั้นทั้งผู้หญิงผู้ชายช่วยกันเวียน
เทียน การผูกมือมักนำเอาเด็กไปให้พระผูก เสร็จแล้วก็เอาลงเปล มีแมวมีถุงถั่วงา ถ้าอย่างดีก็พราหมณ์ไกวเปล แต่ไม่มีคำกล่อม ถ้าอย่างเลว​ใคร ๆ ก็ได้ เปลนั้นทำไม่มีกำหนดกฎชาอะไร แต่สายชักไกวนั้นเปนสร้อยทองคำมีที่เดียวรวมอยู่ในพานอันใดอันหนึ่ง วิธีทำการเปนสองอย่าง อย่างใหญ่เวียนเทียน ๕ รอบ อย่างน้อยเวียนเทียน ๓ รอบ อย่างใหญ่มีคุมบายศรีแก้วเงินทอง ใช้ใบกล้วยหุ้มบายศรีทั้ง ๓ สำรับละ ๓ ใบ เปนชั้นใน แล้วห่อด้วยผ้าตาดชั้นนอก บายศรีแก้วใช้ตาดขาว บายศรีทองใช้ตาด
เหลือง บายศรีเงินใช้ตาดสีเขียวแก่ เรียกว่า คลุม อย่างน้อยไม่มีคลุม แต่อย่างมีคลุมดูเหมือนจะมีแต่การทำขวัญคน พราหมณ์ผู้ทำการนั้นใช้ ๓ คน ผู้ใหญ่อยู่กลางประคำบายศรีแก้ว ผู้รองอยู่ซ้ายมือประคำบายศรีทอง ผู้น้อยอยู่ขวามือประจำบายศรีเงิน ก่อนที่ท่านทั้ง ๓ จะจุดไฟนั้นควักน้ำมัน (หอม) ทาไส้เทียนที่แว่นก่อน แล้วจึงจุดเทียนชะนวนเอาเทียนชะนวนจุดเทียนที่แว่น เสร็จแล้วคนกลางเบิกแว่นวนแต่ล่างขึ้นมาบน ๓ หน จึ่งโบกควันแล้วส่งให้ผู้ที่ประจำหน้าที่ทางซ้ายมือแต่ทีละแว่น เมื่อ
สิ้นขันกลางแล้ว พราหมณ์ซึ่งประจำขันขวามือจึ่งทำเหมือนกัน ส่งให้คนกลาง คนกลางส่งให้คนซ้ายมือ คนซ้ายมือจึงส่งให้คนอื่นต่อไป เมื่อคนขวาทำสิ้นแล้วคนซ้ายจึ่งทำ ส่งให้ผู้เวียนไปทีเดียวไม่ต้องผ่านคนกลางคนขวา ข้างหลังผู้เบิกแว่นนั้นมีพราหมณ์เป่าสังข์อีก ๓ คน เวลาเบิกแว่นนั้นเป่าเบิกแล้วหยุด เป่าอีกต่อเมื่อแว่นเวียนมาบรรจบรอบ เปนที่หมายว่าเวียนได้กี่รอบแล้ว ถ้าบายศรีมีคลุม เมื่อเวียนได้ ๓ รอบ ดูเหมือนท่านที่อยู่
[พบแต่ต้นร่างลายพระหัตถ์ ซึ่งมิได้ลงพระนาม]
โฆษณา