4 ก.ย. เวลา 22:14 • ปรัชญา

ประวัติ ธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ ๓

[พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์)]
จาก
บันทึกประวัติจากความทรงจำ โดย ตริ จินตยานนท์
โดยที่เจ้าคุณพี่ถือว่าคุณแม่เป็นที่เคารพสูงสุด ตั้งแต่เริ่มทำงาน เงินเดือนที่ได้รับจะนำมามอบให้คุณแม่ครบจำนวนทุกเดือน แล้วขอไปใช้ส่วนตัวเท่าที่จำเป็น จะทำบุญทำทานอะไรก็มอบภาระความเป็นใหญ่ในเรื่องการเงินทั้งหมดไว้กับคุณแม่ สุดแต่จะเห็นสมควร ตลอดระยะเวลาที่รับราชการจนออกจากราชการกระทั่งมาบวช
สำหรับผู้มีอุปการคุณแต่เด็กๆ มีคุณยาย คุณน้าชุ่ม (น้าผู้หญิง) คุณน้าขุนบริรักษ์พิมาน เมื่อทำงานมีเงินเดือนก็อุปการะโดยสม่ำเสมอผ่านทางคุณแม่ มีอยู่รายหนึ่งชื่อหม่อมปราง (ดูเหมือนจะเป็นหม่อมละครเจ้าพระยามหินทร์ ฯ) เรียกกันตามปกติทั่วไปที่บ้านข้าพเจ้าว่า หม่อมยาย บวชเป็นชีอยู่ข้างบ้าน เคยเลี้ยงดูเจ้าคุณพี่มาแต่
เล็กตลอดมาจนถึงข้าพเจ้า โดยมาช่วยคุณแม่เลี้ยงทุกวันจนเย็นค่ำ พอเจ้าคุณพี่เริ่มทำงานได้เงินเดือนก็ขอให้คุณแม่จ่ายเงินเดือนให้หม่อมยายเดือนละ ๔ บาท ตลอดมา จำได้ว่าเช้าๆ ข้าพเจ้าจะต้องเป็นคนเอากับข้าวไปให้หม่อมยายทุกวันเป็นประจำ จนกระทั่งท่านถึงแก่กรรมด้วยความชรา นี่เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีส่วนหนึ่งของเจ้าคุณพี่
เรื่องเกี่ยวกับของหลวง ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นของหลวงมีในบ้านแม้แต่ชิ้นเดียว เจ้าคุณพี่กำชับเด็กรับใช้ที่อยู่ด้วยในวังเป็นหนักหนา มิให้นำอะไรติดมือมาบ้านเลย ตอนหลังเมื่อในหลวงสวรรคตแล้ว พบช้อนกาแฟมีตรา ร.ร. ๖ อยู่ที่บ้าน ๑ อัน เจ้าคุณพี่ถึงกับสอบสวนหาคนที่เอามาและให้รีบเอาไปคืนทันที
นึกขึ้นได้อีก เจ้าคุณพี่ติดบุหรี่มาแต่เด็ก เพราะได้รับการควบคุมน้อย ห่างพ่อห่างแม่ก็ถลำสูบจนติด สมัยนั้นสูบบุหรี่ตรานกอินทรีย์ สูบเรื่อยมาจนกระทั่งไปทำงานในวังจึงได้พยายามอด ก็อดยากเพราะสูบมานาน ต้องใช้วิธีขบเม็ดแตงโมแข่งกัน คือซื้อเม็ดแตงดมมาไว้มากๆ พออยากสูบบุหรี่ก็เรียกเด็กๆ คนใช้ในวังของตนเองบ้าง ของคนอื่นบ้าง มาขบเม็ดแตงโมแข่งกันว่าใครจะขบได้กองโตกว่ากัน พอให้ลืมอยาก
บุหรี่ ทำอย่างนี้อยู่ไม่นานจึงอดบุหรี่ได้ เรื่องการอดบุหรี่นี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าไม่ต้องการให้ได้ชื่อว่า ทำงานในวังสูบบุหรี่ของหลวง เพราะบุหรี่ที่ในหลวงทรงนั้นมีมากมายหลายอย่าง มีบริษัทบุหรี่ชื่อ ชีปาปายาโนบูโร๊ส ตั้งอยู่ที่ถนนสี่พระยา เป็นผู้สั่งผ่านเข้ามา บุหรี่ซิกาแรตตัวแบนๆ ก้นหุ้มแพรสีแดง จำชื่อได้ชนิดหนึ่ง ชื่อ “ชวนชื่น” ส่วนบุหรี่ซิการ์ ก็มีปลอกตราครุฑ ตรามงกุฎ และตราคิงยอร์ช เคยเห็นเด็กเก็บ
ปลอกมาให้ดู โดยที่เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดพระยุคลบาท ถ้าจะซื้อสูบของตนเอง ตามชนิดที่ชอบในท้องตลาดก็คงป้องกันการครหานินทาไม่ได้ว่าสูบบุหรี่ของหลวง เจ้าคุณพี่จึงเลิกสูบแต่นั้นมา เจ้าคุณพี่เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์มั่นคง ไม่ยอมเห็นประโยชน์ส่วนตัว อุทิศชีวิตเพื่อราชการ ภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตลอดมา มิได้หาความสุขส่วนตัวเป็นใหญ่ ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ขึ้นเสวยราชย์ ทรงพิจารณาเห็นว่า พระยานรรัตนราชมานิตเป็นผู้ที่
ซื่อสัตย์มั่นคงทั้งสูงด้วยความกตัญญูกตเวที ทั้งมีความรู้สูงสมควรเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย จึงได้ทรงแต่งตั้งให้เข้ารับราชการ ดังที่ข้าพเจ้าได้อัญเชิญบางตอนในสัญญาบัตรตอนหนึ่งมีใจความว่า “ขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวงฤๅผู้หนึ่งผู้ใด ซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ ให้ทราบว่า เราได้ตั้งให้ จางวางตรีพระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ป.ม., ท.จ., ว.ม.ล., ว.ป.ร. ๓ ซึ่งเป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของเรา เป็นองคมนตรี รับปรึกษาราชการในตัวเรา เพิ่มศักดินาเพิ่มขึ้นอีก ๑,๐๐๐ เพื่อจะ
ได้ช่วยเรา คิดทะนุบำรุงแผ่นดิน ให้เป็นคุณประโยชน์มีความเจริญสมบูรณ์ ฯลฯ” แต่เจ้าคุณพี่ยึดมั่นในทางสัจธรรมหลัดพระพุทธศาสนา อุทิศถวายตัวถวายชีวิตแก่ทางศาสนาเสียแล้ว จึงไม่ได้ยินดีลาภยศสรรเสริญในทางโลก แม้จะใหญ่โตเพียงใด ก็ยังต้องอยู่ในกองทุกข์ หนีไม่พ้น นอกจากทางหลักสัจธรรม มี ศีล สมาธิ ปัญญา ที่สามารถจะหลุดพ้นความทุกข์ไปได้ เพราะตัดขาดทางโลก ไม่ยินดี ยินร้ายในสิ่งใด จึงไม่ได้รับตำแหน่งตามพระราชประสงค์ที่ทรงพระกรุณาแต่งตั้งตามสัญญาบัตร
เจ้าคุณพี่มีนิสัยมัธยัสถ์ โดยเฉพาะสำหรับตนเองแล้ว ไม่ยอมให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เคยสอนว่า การกินข้าวต้องกินให้หมด ไม่ให้เหลือติดช้อนชามแม้แต่เมล็ดเดียว สำหรับมื้อหนึ่ง ถ้าทุกคนเห็นว่าเล็กน้อย ถ้ามากคนลองคิดดู อาหารก็เหมือน
กัน ทำให้เหมาะกับคนกิน อย่ามากอย่าน้อย อย่าต้องทิ้งให้สิ้นหมดเปลืองไปเพราะเรากินทิ้งกินขว้าง ต้องทำพอกินให้หมดอย่าเหลือทิ้ง เป็นเศษอาหาร อย่างน้อยก็ให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้อื่น แม้แต่สัตว์ก็ยังดี หากคนทั้งชาติไม่ประหยัด ทำอย่างเดียวกัน นานเข้าเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี จะเพิ่มปริมาณเป็นทวีคูณ ลองคิดดูว่า จะ
เป็นจำนวนเท่าใด เจ้าคุณพี่เมื่อบวชแล้ว ก็ทำตัวอย่างให้ญาติพี่น้องเห็นการปฏิบัติในเรื่องประหยัด เช่นของที่ส่งไปกับอาหาร มีไม้กลัด ใบตอง เชือกกล้วย เป็นต้น ไม้กลัดก็ส่งกลับไปและชี้แจงว่า ไม้กลัดมีปลายแหลม ใช้กลัดได้ ๒ ทาง ถ้ายังไม่ทู่ ก็ขอให้ใช้เรื่อยไป จนกว่าจะแทงไม่เข้า ส่วนเชือกกล้วยนั้น ถ้ากรอบ ชุบน้ำก็จะเหนียวขึ้น ใช้ผูกต่อไปจนกว่าจะเปื่อย สำหรับใบตองที่ล้างส่งกลับ ถ้ายังไม่แตกถึงกับแห้งกรอบ ก็ให้ใช้ห่อส่งกลับมาได้อีก สิ่งเหล่านี้จะเห็นว่าท่านปฏิบัติอย่างเห็นประโยชน์
ของความประหยัด ไม่ควรเสียก็อย่าให้เสีย ของขบฉันที่ส่งไปถวายที่กำหนดไปให้พอดีไม่ให้เหลือทิ้ง ท่านบอกว่าอาหารที่ท่านฉันบางอย่างเหลือให้หมายังไม่กิน เพราะฉะนั้นให้ทำไปเท่าที่สั่งไปพอดี อย่าต้องให้เหลือทิ้งสิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ ตัวอย่างนี้ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าทุกคนได้ปฏิบัติก็จะมีคุณค่าช่วยประเทศชาติได้มากมาย ซึ่งมนุษย์ในยุคนี้การกินอยู่อย่างสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายในสิ่งไม่จำเป็น เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของชาติ
นิสัยมานะอดทนพยายามของเจ้าคุณพี่มีมาก ทำอะไรจริงไม่ท้อถอย ร่างกายอ่อนแอ ผอมก็พยายามปรับปรุงให้แข็งแรงตามต้องการ ไม่เคยเป็นหมอนวดก็หัดนวดจนเก่ง สมารถถวายการนวดแก่ล้นเกล้า ฯ จนเป็นที่โปรดปราน หัดเป็นหมอดูจนเก่งเป็นที่เลื่องลือกันทั่วไปในสมัยนั้น เว้นแต่บวชแล้วก็งดไม่ดูให้ใครเลย ตอนข้าพเจ้าบวชเจ้าคุณพี่ให้ท่องปาฏิโมกข์ ข้าพเจ้าท่องไปได้หน่อยเดียวไม่ทันจบก็สึก ต่อมาระยะ
หนึ่งข้าพเจ้าไปฟังเทศน์วันอาทิตย์ที่โบสถ์วัดเทพศิรินทราวาสได้พบเจ้าคุณพี่ ท่านบอกว่าฉันท่องแทนให้เรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระอุปัชฌาย์ประทานไตรแพรให้ ๑ ไตรถวายพระอื่นไปแล้ว สำหรับการท่องสวดมนต์จนแตกฉาน (สวดมนต์ ๑๒ ตำนาน) ประกอบการเพ่งจิต ซึ่งเจ้าคุณพี่ฝึกจากตำราโยคี เมื่อเจ้าคุณพี่ไปเผาศพคุณยายที่วัดมกุฎกษัตริยาราม ในงานศพคราวนี้ได้ถวายเงินวัดไป ๕๐๐ บาท ท่านเจ้าคุณพระ
ศาสนโสภณ (แจ่ม) เจ้าอาวาสถวายหนังสือสวดมนต์แปล ซึ่งท่านจัดแปลและพิมพ์ขึ้นเองให้มา ๑ เล่ม เจ้าคุณพี่เริ่มท่องจนจบ เมื่อจบแล้วก็ส่งหนังสือไปเก็บที่บ้าน โดยบอกว่า “หนังสือสวดมนต์ที่เจ้าคุณศาสนโสภณประทานมาให้ พยายามท่องบ่นจนจบทุกตัวอักษรเก็บไว้ในสมองแล้ว จึงส่งมาเก็บไว้ในตู้พระไตรปิฎก” การท่องทบทวนในเวลากลางคืนโดยที่ในกุฏิไม่ได้ใช้ไฟฟ้า ถ้าเกิดท่องผิดตอนใดก็จุดเทียนดู เมื่อดูแล้วก็ดับเทียนท่องทบทวนต่อไป นับว่าเป็นความพยายามที่ทำได้ไม่ง่ายนัก
แต่เจ้าคุณพี่ท่านจำเก่งแม่นและลืมยากการฉันอาหารซ้ำซากไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากงดอาหารเจต่อมา ๒๕ ปี เท่าที่ข้าพเจ้าทำ นำไปถวายตลอดมา เจ้าคุณพี่บอกว่ายังต้องใช้ความพยายามถึง ๓ เดือน จึงสำเร็จ เพราะร่างกายกับจิตใจทะเลาะกัน ใจจะกลืนแต่ความรู้สึกทางร่างกายไม่ยอมรับ ต้องพยายามทำใจให้เข้มแข็งตลอดเวลา ไม่ยอมอ่อยแอให้ความรู้สึกเอาชนะทางร่างกายภายใน โดยการพิจารณาตามหลักพุทธศาสนา จนทางร่างกายกับจิตใจเข้ากันได้สำเร็จ จึงฉันได้เป็นปกติเรื่อยตลอด
มา จากนั้นมา ท่านได้ถวายพระราชกุศลคือ ในวันสำคัญทางพุทะศาสนา ท่านจะงดเว้นไม่ฉันอาหารตลอดวัน คือในวันมาฆบูชา วิสาขบูชา และวันถวายเพลิงพุทธสรีระ ตัดกังวลเรื่องกินในวันนั้น มุ่งจิตให้บริสุทธิ์และนั่งฟังเทศน์อยู่ในอุโบสถตลอดคืน โดยนั่งอยู่ท่าเดียวไม่เปลี่ยนอิริยาบถจนรุ่งแจ้งวันใหม่ จึงฉันอาหาร สำหรับวันพระต่อมาท่านฉันแต่กล้วยน้ำว้าสุกอย่างเดียว ไม่ฉันอาหารอื่น บอกว่าต้องการเพื่อล้างท้องในระยะ ๗ วันต่อครั้ง
ระยะหนึ่งที่กรามข้างแก้มบวมเป็นแผลในปาก เจ้าคุณพี่บอกอาจเป็นมะเร็ง เพราะคุณย่าเป็นมะเร็งกรามช้าง เป็นกรรมพันธุ์ แต่ก็ไม่ขาดลงโบสถ์ไหว้พระสวดมนต์เลย ระหว่างกลัดหนองยังไม่แตก มีอาการทรมานมาก พูดสวดมนต์ลำบากอ้าปากไม่ขึ้น เวลาสวดมนต์กว่าจะอ้าปากเป็นเสียงออกมาได้ก็กินเวลานาน แต่ก็พยายามโดยไม่ขาดลงโบสถ์เลย เมื่อแผลแตก มีหนองออก อาหารที่ส่งไปถวายก็ให้เอากลับไม่ฉันหลายวัน ๕-๗ วัน โดยสั่งว่าหนองแตกแล้ว ถ้าฉันอาหารก็จะพาเอาหนองลงไปในกระเพาะอาจเกิดโทษ ต้องงดฉัน แต่ก็ให้นำอาหารไปทุกวัน เพราะไม่รู้ว่าหนองจะ
แห้งเมื่อใดในระยะที่แผลแตกมีหนองไหลนี้ นอนไม่ได้ต้องนั่งหลับโดยเอาหมอนกองสูงถึงอก ก้มหน้าหนุนบนหมอน อ้าปากให้หนองไหลลงกระโถน พอรีดดูหนองแห้ง จึงรับอาหารไว้ฉัน บอกว่าหนองแห้งหมดแล้ว เมื่อหายแล้วยังปรากฏแผลเป็นที่แก้มเป็นรอยบุ๋มเห็นชัด เจ้าคุณพี่มีความอดทนต่อเวทนาที่เจ็บปวดแสนสาหัส แม้อดอาหารก็ไม่ยอมขาดการลงโบสถ์ไหว้พระสวดมนต์เลย ไม่ได้อาศัยหยูกยาเป็นเครื่องช่วย
เมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับปากและฟันแล้ว ก็ขอเล่าเรื่องฟันไว้ด้วย คือฟันที่เจ้าคุณพี่ส่งกลับไปบ้านทุกซี่ไม่มีรอยผุเป็นแมงเลย หลุดออกมาเฉยๆ เข้าใจว่าเหงือกไม่ดี เพราะผลจากการเล่นมวยวัยหนุ่ม ถูกนวมต่อยจนเหงือกกับฟันเกาะกันไม่แน่น เมื่อฟันหลุดออกมาเมื่อใด เจ้าคุณพี่จะใส่กลักไม้ขีดไฟส่งไปบ้านโดยเขียนหนังสือกำกับไปว่า “ฟันซี่นี้หลุดออกมาเมื่อเวลา.....น. วันที่.......เดือน.........พ.ศ.............ส่งมาให้ดูเพื่อระลึกปลงสังขารว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ชำรุดทรุดโทรม และจะดับไปในที่สุด”
สำหรับเรื่องถูกงูกัด สมเด็จพระอุปัชฌาย์อนุญาตให้งดการลวโบสถ์ ๑ วัน ในวันนั้นท่านเล่าว่า ค่ำวันหนึ่งท่านไปสรงน้ำหลังกุฏิ เพราะมืดแลไม่เห็น จึงไปเหยียบงูๆ กัดท่าน เรื่องคางคกโขก รายละเอียดในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบจากท่านพระครูปัญญา
ภรณ์โศภน (พระมหาอำพัน บุญ-หลง) ท่านเจ้าคุณพี่ได้เล่าให้ท่านอาจารย์ฟังว่า เย็นวันหนึ่งท่านเดินจะไปลงโบสถ์ ได้เห็นต้นไม้ในกระถางต้นหนึ่งรู้สึกว่าเฉาเหี่ยว ท่านนึกว่าก่อนจะสรงน้ำภายหลังลงโบสถ์แล้ว ท่านจะเอาน้ำมารดต้นไม้ในกระถางนั้น เมื่อถึงเวลาจะสรงน้ำท่านได้เอาน้ำมารดต้นไม้ในกระถางนั้น ในขณะที่รดรู้สึกว่าถูก
สัตว์กัดบนหลังเท้า ๔ เขี้ยว ท่านนึกว่าคงเป็นงู เมื่อผู้ที่อยู่ข้างเคียงกับท่านเอาไฟฉายมาส่อง เห็นมีคางคกอยู่ข้างกระถางตัวหนึ่ง ท่านนึกว่า “คางคกกัดกันได้” เมื่อถูกกัดมีอาการปวดมาก ท่านได้ไปเรียนให้ท่านเจ้าคุณธรรมไตรโลกาจารย์ทราบว่า ท่านถูกคางคกกัด ท่านเจ้าคุณธรรมไตรโลกาจารย์เรียนท่านว่าจะบอกให้อาตมา (พระมหาอำพัน) ทราบ ท่านห้ามไม่ให้บอก เพราะเกรงว่าอาตมา (พระมหาอำพัน) จะเอาหมอมาฉีดยาท่านท่านได้ไปถามนายชิตคนรักษาโบสถ์ว่า คางคกกัดเป็นอย่างไร
นายชิตตอบว่า ตายครับ ท่านเลยบอกนายชิตว่า ถ้าพรุ่งนี้ท่านไม่ลงมาจากกุฏิ ท่านก็ตายนะ ภายหลังนั้นท่านก็สรงน้ำ ขึ้นไปข้างบนกุฏิ แล้วเอาผ้ารัดเข่าซ้ายแน่น แล้วก็ใช้วิธี Inhibiting Pain ขับไล่ความปวด ท่านได้ปฏิบัติต่อสู้จนรุ่งสว่างจึงหายปวด ส่วนขาข้างซ้ายใต้เข่าลงมายังบวมอยู่ ท่านคงปฏิบัติต่อไป บวมลดลงมาทางปลายเท้าจนแห้งหายเป็นปกติ วิธีบำบัดโดยทางโยคะ Inhibiting Pain นี้แจ้งอยู่ในตำรา The Hindu-Yogi “Science of Breath” by Yogi Ramacharaka หน้า ๕๗
อีกครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เล่าว่า วันหนึ่ง ท่านพระภิกษุ พระยานรรัตนราชมานิตเล่าให้ท่านฟังว่า หลังจากฟังเทศน์ในวันพระ เมื่อท่านเดินกลับกุฏิ กำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปห้องชั้นบน รู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายของท่านหมดแรง คล้ายจะเป็นอัมพาตไปแถบหนึ่ง ทรงตัวต่อไปไม่ได้ ท่านมีสติ จึงทรุดลงนั่ง ท่านเอามือข้างขวาคลำตรงหัวใจ และ
ตรวจดูชีพจรก็ยังเต้นดี ท่านจึงใช้ Directing of Circulation มายังซีกซ้าย ต่อมารู้สึกค่อยๆ ร้อนขึ้นจากปลายนิ้ว และร่างกายทางซีกซ้ายก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นเป็นปกติ แล้วก็ขึ้นไปห้องชั้นบนได้ ท่านบอกว่า ตอนบ่ายกลับจากลงโบสถ์ก็มีอาการอย่างเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง และตอนค่ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ท่านใช้วิธีเดียวกันก็หายได้ผลเป็นปกติ นับแต่นั้นมาก็ไม่ปรากฏว่าเป็นอีก
วิธี “Directing of Circulation” มีแจ้งอยู่ใน “Science of Breath” หน้า ๕๗
ในยุคนี้มีฝรั่งชาวต่างประเทศสนใจในพระพุทธศาสนา และบางท่านก็ได้เข้าบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ส่วนมากเป็นชั้นปัญญาชน บางท่านก็มีปริญญาและเป็นผู้ดีมีฐานะมั่งคั่งและได้พิจารณา เกิดเลื่อมใสในหลักธรรมทางพุทธศาสนา เพราะมีหลักปฏิบัติทางจิตใจไปสู่ความสงบอันแท้จริง ห่างไกลจากกิเลสตัณหา ส่วนมากท่านได้ปฏิบัติไปอยู่ห่างไกลจากชุมชน ไปหาความวิเวกตามป่าเพื่อ
หาความสงบทำสมาธิ หากมีเรื่องขัดข้องยังไม่รู้จะปฏิบัติอย่างใด ท่านก็มักจะนึกถึง “ท่าน ธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ “ มาขอความเห็นความรู้เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ทางปฏิบัติให้ปลอดโปร่ง เพราะรู้ว่าท่านเป็นผู้ปราดเปรื่องในภาษาตะวันตก สามารถจะชี้แจงในหลักธรรมที่ละเอียดอ่อนในภาษาตะวันตกให้เข้าใจได้ดี ทั้งท่านก็เป็นพระฝรั่งรู้ภาษาไทยไม่มากนัก จึงจำเป็นที่จะต้องหาผู้ชำนาญทางภาษาตะวันตก และมีความรู้ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น มีความสามารถแก้ปัญหาธรรมได้ ได้ทราบจากท่านอาจารย์
พระครูปัญญาภรณ์โศภณ (มหาอำพัน บุญ-หลง) ท่านเล่าว่าครั้งหนึ่ง ท่านพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตทำวัตรในโบสถ์เรียบร้อย ก็มีพระฝรั่งรูปหนึ่งคอยเวลาหาโอกาสที่จะเข้าพบสนทนากับท่าน เมื่อเห็นว่าท่านได้สวดมนต์ไหว้พระทำวัตรเรียบร้อยแล้ว พระฝรั่งรูปนั้นคอยเวลาอยู่แล้วก็เข้าไปก้มลงกราบท่านพระภิกษุพระยานรรัตน ฯ แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “ท่านอยากจะได้ความรู้ในการปฏิบัติ ระงับกามวิตก เพื่อจิตสงบ ท่านเองได้เข้าไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่า หาความสงบแล้ว
แต่ก็ยังมีกามวิตกเข้าไปรบกวน ก่อความไม่สงบ เป็นนิวรณ์แก่สมาธิ จึงได้มาขอความกรุณา ขอให้ท่านพระภิกษุ เจ้าคุณนรรัตน ฯ บอกวิธีกำจัดเพื่อระงับการก่อกวนของกามวิตกนั้น เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมด้วยความสงบต่อไป” ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ ก็ได้ให้โอวาทในเรื่อง “หน่ายกาม” และได้อธิบายบอกวิธีปฏิบัติเป็นภาษาอังกฤษ จนเป็นที่เข้าใจของพระฝรั่งองค์นั้นแล้ว พระฝรั่งองค์นั้นกราบนมัสการลาท่านไปด้วยความปีติ
เมื่อจากท่านอาจารย์พระครูปัญญาภรณ์โศภณ (มหาอำพัน บุญ-หลง) ได้ฟัง ท่านชอบเรื่องหน่ายกามนี้มาก จึงขอร้องให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ เป็นผู้บอก ท่านอาจารย์เป็นผู้เขียนจดเป็นภาษาอังกฤษ และขอให้ท่านบอกเป็นภาษาไทยด้วย เพื่อบันทึกไว้ควบคู่กันไป จะได้เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชน ท่านอาจารย์บอกว่า เป็นครั้ง
แรกที่ท่านให้โอวาทเรื่องหน่ายกามแก่พระฝรั่ง ท่านบอกให้จด แล้วก็ขอร้องกำชับให้ท่านอาจารย์ นำข้อความภาษาไทยนี้ไปให้ท่านเจ้าคุณพระธรรมไตรโลกาจารย์ตรวจก่อน หากจะมีการจัดพิมพ์ขึ้นภายหลัง ท่านอาจารย์ก็มอบเรื่องหน่ายกามมาให้ทั้งภาษาอังกฤษและแปลเป็นไทยเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้ (ดูภาคผนวก)
เจ้าคุณพี่ มีนิสัยไม่ชอบการทำบาปมาแต่ไหนแต่ไร เพราะได้เห็นตัวอย่างจากคุณยายและคุณแม่ซึ่งไม่ประกอบปาณาติบาตเลย ซื้อปลาที่ยังไม่ตายดีมาต้องแช่นำไว้ก่อนถ้าไม่ตายก็ปล่อยไปไม่ต้องทำกิน เมื่อรู้สึกว่าตนได้ประกอบกรรมไว้ กรรมนั้นก็เกาะกินจิตใจอยู่ เจ้าคุณพี่ เล่าว่าเมื่อเด็กๆ ครั้งหนึ่งไปหัวเมืองกับคุณพ่อ ด้วยความซนทำให้ลิงซึ่งเลี้ยงผูกไว้ที่ชานเรือนห้อยคอแขวนทิ้งไว้ ลิงไม่สามารถจะช่วย
ตนเองได้ พอไปวิ่งเล่นเพลิน นึกขึ้นได้ก็วิ่งกลับมาดู ปรากฏว่าลิงตัวนั้นตาย เพราะหายใจไม่ออกด้วยถูกโซ่รัดหลอดลม เหตุที่ซุกซนจนเป็นเหตุให้ลิงตายโดยไม่เจตนานี้เป็นนิวรณ์กินใจอยู่เรื่อยๆ ประกอบกับเรียนหมอดูลายมือทำให้ห่วงว่าจะต้องตายด้วยอุบัติเหตุ เจ้าคุณพี่บอกว่า ไม่ว่าทำบุญอะไรต้องอุทิศกุศลให้ลิงตัวนั้นเสมอไม่มีเวลาลืมได้เลย นี่เป็นบาปเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าทราบมา
เหตุที่เจ้าคุณพี่มาบวชถวายพระราชกุศลที่วัดเทพศิรินทร ฯ สำหรับความตั้งใจเดิมที่จะบวชถวายในสันพระราชทานเพลิงนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบละเอียด ทราบมาว่า ตามปกติการทำบุญถวายพระราชกุศลพระบรมศพล้นเกล้า ฯ นั้น มีการถวายสลากภัต โดยกำหนดให้ข้าราชบริพารชั้นพระยาพานทองสายสะพาย รับเป็นผู้จับสลากถวาย
คนละองค์ เจ้าคุณพี่ จับสลากถูกสมเด็จพระอุปัชฌาย์สมัยยังเป็นพระศาสนโสภณ พอใจเกิดศรัทธาในบุคลิกลักษณะของสมเด็จพระอุปัชฌาย์ พอเสร็จพิธีวันนั้นก็ตามไปวัดและขอบวชในวันถวายพระเพลิงล้นเกล้า ฯ และสั่งทางบ้านให้จัดการเครื่องอัฐบริขารในเรื่องอุปสมบทจนเรียบร้อย
เมื่อบวชแล้วมีแขกเหรื่อมารบกวนมาก บางคนก็นำเอาอาหารและสิ่งของอื่นมาถวาย บางคนก็มาขอร้องให้ดูดวงชะตา บางคนก็มาปรับทุกข์เรื่องต่าง ๆ เจ้าคุณพี่ ก็บอกให้นำของที่นำมาถวายท่านนั้นไปถวายพระข้างกุฏิองค์อื่น โดยบอกว่าท่านมีพอแล้ว ถวายองค์อื่นก็ได้บุญพอ ๆ กัน เพราะถือศีล ๒๒๗ ข้อเหมือนกัน เรื่องนี้เป็นเหตุให้บางคนนำเรื่องไม่ยอมรับแขกนี้ไปฟ้องสมเด็จพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระอุปัชฌาย์ถึงกับต่อว่าเจ้าคุณพี่ที่ในพระอุโบสถว่า มีคนมาต่อว่า ว่าทำไมไม่รับแขกและไม่รับของ
ถวายที่มีผู้ศรัทธา เจ้าคุณพี่ กราบเรียนว่า การที่มาบวชนี้ก็เพื่อถวายพระราชกุศลล้นเกล้า ฯ และศึกษาหลักสัจธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการส่วนตัว และยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงแตกฉานในธรรมะซึ่งเป็นสิ่งละเอียดอ่อน ต้องการความสงบเวลาศึกษาพิจารณาให้ถึงแก่นแท้ เพื่อให้เข้าถึงเมื่อได้ปฏิบัติ ถ้าหากมัวแต่รับแขกมากมาย ก็หาเวลาจะทำกิจที่ควรปฏิบัติไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีแต่เรื่องยุ่ง ๆ ทั้งนั้น มีทั้งหญิงและชาย ขอให้ดูหมอบ้าง เล่าเรื่องยุ่ง ๆ ให้ฟังบ้าง เป็นเรื่องส่วนตัว
ส่วนมากทางโลก ทางมัวเมาตัณหา ที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ทั้งเสียเวลาในการที่จะศึกษาธรรมด้วย ตนเองก็ยังปฏิบัติไม่ได้ผลอะไร จึงกราบเรียนของดการรับแขก มุ่งปฏิบัติเพื่อส่วนตัว สมกับที่มุ่งเข้ามาบวช เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ล้นเกล้า ฯ สมเด็จพระอุปัชฌาย์ทราบเหตุผลที่กราบเรียนแล้วก็เห็นใจ จึงไม่ฝืนใจเจ้าคุณพี่ ตอนที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ด้วย กุฏิโล่งเตียน มีเพียงหนังสือ จีวร ที่จำวัด โลงศพ โครงกระดูกมนุษย์เท่านั้น
ในกุฏิของเจ้าคุณพี่ไม่มีของอะไรที่มีค่า ท่านมักจะอยู่แต่ในกุฏิและลงกลอนไม่รับแขก จะพบท่านได้ก็ตอนลงโบสถ์ สวดมนต์เสร็จเรียบร้อย มีเวลาสนทนาบ้าง หรือบางท่านที่ศรัทธา ก็คอยเวลาที่ท่านผ่าน เมื่อมีของมาถวายท่าน ก็รับไว้อย่างไม่ขัดศรัทธา แล้วท่านก็คืนให้ บอกว่าอาตมาฝากให้ไปถวายพระองค์อื่น ฉะนั้นในกุฏิของท่านจึงไม่มีอะไร นอกจากของจำเป็นใช้ และไม่ยอมรับสิ่งใดเช้าในกุฏิ เรื่องโครง
กระดูกมนุษย์ ข้าพเจ้าทราบดีจากที่มาว่า ด่อนอุปสมบท เจ้าคุณพี่รู้จักกับนักเรียนแพทย์คนหนึ่ง เรียนแขนงสรีระวิทยา จึงสั่งไว้ว่าเมื่อเรียนสำเร็จแล้วขอให้จัดทำโครงกระดูกให้สักโครงหนึ่ง เพื่อเป็นการทดลองความสามารถที่ได้ร่ำเรียนมา เมื่อเสร็จแล้วขอให้แจ้งให้ทราบ ต่อมาราวปี ๒๔๗๓ ข้าพเจ้าสึกแล้ว และออกมารับราชการ นักเรียนแพทย์ผู้นั้นเรียนสำเร็จ ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลศิริราช นมัสการไปให้เจ้าคุณพี่ทราบว่า ได้ประกอบโครงกระดูกให้เรียบร้อยแล้ว นัดให้ไปรับได้ที่โรงพยาบาล
ศิริราช ข้าพเจ้าก็ไปตามนัด ขึ้นไปตึกชั้น ๓ ผ่านห้องเรียนสรีระวิทยา มีเครื่องมือการทดลอง ผ่ากะโหลก เลื่อยกระดูก มีอ่างน้ำประจำเป็นที่ ๆ สำหรับนักเรียน ขณะที่ข้าพเจ้าไปเป็นเวลาเที่ยงวัน จึงไม่มีนักเรียน คงพบแต่แพทย์ผู้นั้น และโครงกระดูกส่วนต่าง ๆ เต็มไปหมด แพทย์ผู้นั้นพาไปห้องทำงานและเปิดม่านสีดำออก ก็เห็นโครงกระดูกสำเร็จร่างทั้งตัว ห้อยอยู่กับไม้แขวนแกว่งดังก๊อกแก๊ก แพทย์ผู้นั้นชี้แจงให้มานมัสการให้เจ้าคุณพี่ทราบว่า เหตุที่ล่าช้าเพราะหาคนรูปร่างใหญ่ๆ อุทิศร่าง
บริจาคให้โรงพยาบาลยากเต็มที กว่าจะได้ศพขนาดที่ต้องการก็กินเวลาเป็นปี เมื่อได้แล้วกว่าจะประกอบเสร็จก็เสียเวลามาก เพราะสมัยนั้นยังจะต้องเอาศพหมกทรายไว้จนเน่าเปื่อย และหมั่นคุ้ยพลิกกลับไปกลับมาเป็นเวลานาน จนกว่าเนื้อหนังจะล่อนเหลือแต่กระดูก แล้วยังต้องเอามาต้มด้วยน้ำยาให้สะอาด ขัดถูให้เรียบร้อย จึงเอามาประกอบเป็นโครง และจัดทำส่วนที่ขาดหายไปด้วยไม้ก๊อกจนคราทุกชิ้น โดยเฉพาะกระดูกนิ้วมือ นิ้วเท้า และกระดูกซี่โครง ต้องทำเพิ่มเติมหลายชิ้น ถึงกระนั้นก็ยังไม่ดี
เท่าของนอก เพราะเขามีเครื่องมือดี และมีโรงงานประกอบโครงกระดูกโยเฉพาะ ของเขาสะอาดเป็นเงาเลยทีเดียว ส่วนของเราสีเทา ๆ น้ำยากัดก็ไม่มีอย่างดี ข้าพเจ้าจำได้ว่าดูเหมือนทางโรงพยาบาลคิดราคา ๓๐๐ บาท เวลาเอามาก็ถอดจากขอแขวนกองลงใส่ไปในกล่องใส่หมวก ปิดฝากล่องผูกเรียบร้อย ส่วนไม้แขวนก็ถือมาต่างหาก นำไปถวายเจ้าคุณพี่เป็นเสร็จการ และแขวนอยู่ที่กุฏิชั้นล่างเป็นอสุภกรรมฐานของเจ้าคุณพี่ตลอดมา
พูดถึงโครงกระดูก ก็เลยพูดถึงเรื่องหัวกะโหลก ตามปกติเจ้าคุณพี่มีหัวกะโหลกคน ไว้ที่กุฏิ ๑ หัว ไม่ทราบที่มา เมื่อข้าพเจ้าบวช เจ้าคุณพี่อยากได้อีกจึงสั่งให้หา ลูกชายคุณน้าขุนบริรักษ์ ฯ ชื่อสมัย ไปหาได้จากวัดที่เผาศพของโรงพยาบาลศิริราช ๓ หัว เอามาถวาย เจ้าคุณพี่ให้ใส่ปีบไว้ในตู้หลังกุฏิ เอาน้ำใส่จนท่วมทั้ง ๓ หัว เอาโซดาใส่ลงไป เมื่อฉันเพลแล้วก็ให้ข้าพเจ้าและพระพร ช่วยกันติดไฟต้มเพื่อให้เนื้อหนังหลุด ปรากฏว่า น้ำที่ต้มกระเด็นถูกมือ สบง อังสะ และตามตัว เพราะต้มไปก็ต้อง
เขี่ยพลิกกลับ เมื่อน้ำกระเด็นมาถูกก็เหม็น อาบน้ำถูสบู่อย่างไรก็ไม่หมดกลิ่น เล่นเอาข้าพเจ้าฉันอาหารไม่ลงไปหลายวัน ถึงกับคุณโยมทางบ้านทักว่า ทำไมผอมหน้าตาซีดเซียว ข้าพเจ้าก็บอกว่า ฉันอาหารไม่ลงเหม็นกลิ่นหัวกะโหลกอยู่เรื่อย เจ้าคุณพี่รู้เข้าเลยให้เลิกต้ม ให้เอากลับไปไว้ที่เดิม แต่ปรากฏว่าสมัยเอาไปทิ้งไว้โคนต้นโพธิ์ข้างโบสถ์วัดแคนางเลิ้ง เด็ก ๆ แถวนั้นที่ซน ๆ เอาก้อนอิฐขว้างปาล้อเลียน จนถึงกับลือกันว่า ผีหัวกะโหลกหลอกหลอนคนอยู่เป็นเวลานาน
โฆษณา