6 ก.ย. เวลา 03:11 • การเมือง
อ่านก่อนเน้อ อย่าเพิ่งด่าเปิ้นเน้อ ปี้ Eing คนงามครับ
1
สำหรับผมนะ ผมไม่สงสัยหรือมีข้อกังขาในคุณสมบัติของคุณอนุทิน เชื่อว่ามีความสามารถนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้แน่ๆครับ แต่ว่าคุณอนุทินได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกติกาที่ลักลั่นทางการเมือง และระบบโครงสร้างที่บีบบังคับครับ กติกาค่อนข้างซับซ้อนและมีเงื่อนไข และเสริมด้วยความผิดพลาดของเพื่อไทยในจรรยาบรรณของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครับ
1
พรรคการเมืองไทยกับความจริงของการต่อสู้เชิงโครงสร้าง
1
ผมออกตัวก่อนเลย แม้ว่าปัจจุบันผมยังคงเชื่อและเข้าใจในอุดมการณ์ของพรรคส้ม (ก้าวไกล) แต่การเมืองไทยเต็มไปด้วยข้อจำกัด การตัดสินใจเลือกแคนดิเดตจากพรรคน้ำเงิน จึงเป็น “ทางเลือกจำเป็น” ในบางสถานการณ์ เพราะหากเลือกพรรคแดง ก็ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะเราก็เห็นกันอยู่ว่าตลอดระยะเวลาของพรรคแดงที่มีอำนาจบริหารเป็นยังไง
1
ความจริงที่ต้องยอมรับคือ คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจการเมืองอย่างลึกซึ้ง มักเลือกโจมตีไปทุกทิศทาง ส้มอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับทางกติกาให้เลือก จะเลือกน้ำเงินก็โดนด่า จะเลือกแดงก็ยิ่งโดนด่าไปใหญ่ มีแต่เรื่องอื้อฉาวที่เห็นชัดเจนในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา หรือบางส่วนเลือกที่จะ “ไม่เลือก” ซึ่งยิ่งไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลง โอกาสโดนแทรกแซงจากอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนแต่งตั้งนายกคนนอกเข้ามาอีก กินระยะเวลานานหลายเดือน เป็นการแช่แข็งระบบเข้าไปอีก
พรรคส้มจึงเลือกที่จะทำ “ดีล” กับพรรคน้ำเงินในบางเงื่อนไข เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ และการยอมรับให้มีการยุบสภาในอนาคต โดยการแก้รัฐธรรมนูญนั้น จำเป็นต้องมีเสียงจากวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งพรรคส้มและพรรคแดงไม่มี แต่พรรคน้ำเงินมีครับ
ศัตรูที่แท้จริงของส้ม คือ โครงสร้างการเมือง
1
ศัตรูของพรรคส้มไม่ใช่พรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยที่มีเงินทุนมหาศาล หรือพรรคภูมิใจไทย แต่คือ “โครงสร้าง” ที่บิดเบี้ยวและเป็นอุปสรรค พรรคส้มไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล สิ่งเดียวที่ต้องการคือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ให้ระบบการเมืองมีเสถียรภาพและเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมีอำนาจบริหาร แม้พรรคส้มได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่ง แต่ด้วยกติกาและกลไกของรัฐธรรมนูญ ทำให้เสียงประชาชนไม่สามารถแปรผันตรงไปสู่อำนาจบริหารได้ ผลลัพธ์จึงราวกับว่าเราเลือกตั้ง “ฝ่ายค้าน” มากกว่ารัฐบาล
ความจริงของการเมืองไทย ดำมืด
ศาสตร์แห่งการ “ดีล”
การเมืองไทยคือการเจรจาต่อรอง ทั้งดีลลับและดีลเปิดเผย ทุกพรรคการเมืองไม่เว้นพรรคไหน ต้องอาศัยการต่อรอง ผลประโยชน์ และยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอด
ทุกพรรคต่างใช้วิธีการโจมตีคู่แข่ง ขุดคุ้ยประวัติ ดิสเครดิต เพื่อสร้างเงื่อนไขต่อรองและช่วงชิงความนิยมจากประชาชน แม้ในช่วงหาเสียง พรรคการเมืองหลายพรรคต่างประกาศอย่างชัดเจนว่า “จะไม่ร่วมกับพรรคใด” หรือ “เลือกเราแล้วนโยบายนี้ทำได้ทันที” แต่สุดท้ายก็มักมีการกลับคำ หรือ “กลืนน้ำลายตัวเอง” เพราะกติกาการเมืองไทยบีบบังคับให้ต้องยอมโอนอ่อนครับ
ความแปลกพิสดารของกติกาไทย
กติกาการเมืองไทย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ ถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจผ่านกลไกของ ส.ว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีอาจไม่ได้สะท้อนเจตจำนงของเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ความพลิกแพลงนี้ทำให้การเมืองไทยไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยสากล
เหตุการณ์ที่เราเห็นพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคที่เคยประกาศไม่ร่วมรัฐบาลด้วยอย่างเต็มเปา ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึง “ธาตุแท้” ของการเมืองแบบไทยๆ ที่ผลักดันด้วยผลประโยชน์ มากกว่าคำมั่นสัญญาในช่วงเลือกตั้ง
ธาตุแท้ในการเมืองไทย
ผมยังเชื่อว่า การเมืองไทยจะเผยธาตุแท้ให้เห็นอีกมาก โดยเฉพาะเมื่อคำสโลแกน “เลือกก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” กำลังถูกทดสอบว่าจริงหรือไม่
ส่วนตัวแล้ว ผมพร้อมที่จะเปลี่ยนไปสนับสนุนพรรคอื่น หากพรรคนั้นสามารถยืนหยัดต่อสู้กับ “โครงสร้าง” ได้จริง แต่ในวันนี้ พรรคส้มยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความหวังในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างการเมืองไทยครับ
1
การเมืองสำหรับประเทศไทย
มันไม่เคยเดินไปตามกลไกของมันจริงๆเลยสักทีครับ อย่างที่เราเห็นนะครับถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ยุบสภา ขนาดกติกามันประหลาดแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมรับในการตัดสินใจในการมอบคะแนนเสียงให้กับพรรคใดพรรคหนึ่ง ฝ่ายที่ไม่ได้อำนาจก็พยายามกีดขวางสร้างอุปสรรคอย่างเต็มที่ พรรคแดงไม่ยอมรับในสิ่งที่พรรคส้มตัดสินใจ ทั้งๆที่มันเป็นสิทธิ์ของพรรคส้มเป็นกติกาที่บีบบังคับ แทนที่พรรคแดงจะปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไก แต่ไม่เลย
การอภิปรายของพรรคแดง เต็มไปด้วยกันตำหนิพรรคส้ม แต่ไม่เคยพิจารณาในคำตะบัดสัตย์ที่ประกาศก่อนหน้านี้ของตัวเอง
สิ่งที่สะท้อนว่าการเมืองไทย ยังมีเนื้อหาและเจตนารมณ์ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง แต่เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ หรือข้อต่อรองในการดีลกัน คดีทางการเมืองบางอย่างจึงไม่คืบหน้า
เมื่อเป็นฝ่ายค้าน = ฝ่ายแค้น
พรรคการเมืองบางพรรค ตั้งหน้าตั้งตาค้านซะทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีประโยชน์มากกว่าโทษ ก็ยังค้าน
สิ่งที่เหลือเชื่อในสังคมไทย คือ
อะไรก็ตามที่ออกมาจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
= ผิดหมด
มันเป็นไปได้ยังไง
อย่างเช่น เรื่องกัญชา มันยังมีข้อดีในมุมมองอื่น เพราะเรื่องเทาๆบางอย่างเราก็ต้องยอมรับนะครับว่ามันก็มีอยู่ในสังคมไทยอยู่แล้ว แม้ว่าเราปิดกั้น ไม่ยอมรับ ไม่พูดถึงมัน มันก็ยังดำเนินขับเคลื่อนใต้ดินไปเรื่อยๆ แต่การที่เราหยิบมาทำประโยชน์ ใช้ข้อดีของมันช่วยเศรษฐกิจ หรือทำที่เกิดประโยชน์ในด้านอื่น มันก็ย่อมดีกว่าถูกไหมครับ ทุกอย่างก็มีข้อดีและข้อเสียเหมือนกันทั้งนั้น คำถามก็คือมันอยู่ที่การจัดการและการควบคุมมากกว่า ถูกไหมครับ
จริงๆแล้วผมไม่อยากจะวิจารณ์เรื่องการเมืองสักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเครียด ย่อยยาก มีความลึกซึ้งซับซ้อนละเอียดอ่อนหลายๆด้าน เป็นสิ่งที่ยากต่อการเข้าใจ ถึงแม้จะพยายามทำความเข้าใจให้เป็นกลาง ก็ยังไม่สามารถทำลาย"อคติ"ได้ แต่มันกลับเต็มไปด้วยการ เย้ยหยัน แขวะ ซึ่งมันทำให้เราไม่ก้าวไปข้างหน้า ก็เลยไม่อยากจะคุยเรื่องนี้เท่าไหร่
ซึ่งมันทำให้ ภาพจำของผม ชัดขึ้นไปอีก
จากที่มันจะค่อยๆลบเลือนไป
แต่บางอย่าง มันก็ต้องคุย เพราะบางคนก็ไม่เข้าใจ หรือเลือกรับความจริงแค่ ครึ่งเดียว หรือ ด้านเดียว ซึ่งมันจะทำให้เกิดการไม่ตั้งคำถาม หรือไม่พิสูจน์ หรือปลงใจเชื่อโดยไม่ตรวจสอบ หรือไม่ยอมมองในมุมที่กว้างขึ้น ภาพรวมของการเมืองภายใต้เงื่อนไข เขาจะมองไม่เห็นเลย
ซึ่งมันเป็นการอิงกับอำนาจเกินไป เมื่ออำนาจสร้างเงื่อนไขหรือวินิจฉัยบางอย่างว่าถูกต้อง เขาก็บอกว่าถูกต้องชอบธรรม แต่เขาไม่นำมาผูกกับมโนธรรมสำนึก และคุณธรรมที่เป็นสากล ครับ
ซึ่งมันจะทำให้บ้านเมืองเต็มไปด้วยความไม่ชอบธรรมหลายๆอย่าง เป็นผลสะท้อนจากการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงสร้างโครงสร้างที่จับต้องได้ครับ เป็นข้อเสียของอำนาจนิยมครับ
ผมจะบอกให้นะครับว่า ข้อเสียวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่พรรคส้มพยายามจะล้ม ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเลยนะครับ กรณีที่เป็นข่าวล่าสุด เด็กหญิงอายุ 12 ปี ถูกเพื่อน 19 คนรุมทำร้ายและถ่ายคลิปประจาน จนเลือดคั่งในตา เหตุเป็นเพราะไม่พอใจที่ไปส่องดูโปรไฟล์ tiktok
พ่อแม่เหยื่อเข้าแจ้งความ แต่ไม่เดินเรื่อง
เพราะผู้ก่อเหตุมีพ่อเป็นตำรวจ
นี่คือตัวอย่างง่ายๆนะครับของอำนาจนิยมที่เรื่องต่างๆมันมักจะไปถึงทางตันเพราะเกรงกลัวและไม่กล้าก้าวล่วงกับอำนาจครับ ระบบเหล่านี้เป็นอำนาจนิยมเป็นวัฒนธรรมเดียวกันกับคอมมิวนิสต์ครับ คนตัวเล็กจะทำอะไรไม่ได้เลยหากเกิดเรื่องราวที่เจ็บปวด ความขมขื่นในใจ ที่จะต้องทนอยู่ในสังคมแบบนั้น
พรรคส้ม พยายามแก้ไข ให้เกิดความเสถียรภาพ การทำงานแบบภาคเอกชน เพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าพนักงานร้อยเวร ที่ต้องรับบทหนักจนเกิดภาวะเครียด หรืองานล้นมือจนทำไม่ทัน ทำให้เกิดการละเลย หรือโดนเส้นสายบีบบังคับ พรรคส้มก็เลยจะพยายามเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าพนักงานร้อยเวร เพิ่มจำนวน เพิ่มรายได้ เพิ่มวันพักร้อน เกษียณเร็วเพราะเป็นอาชีพที่เครียด เป็นนโยบายที่พยายามจะคืนตำรวจให้กับประชาชน นี่คือตัวอย่างครับ
โฆษณา