6 ก.ย. เวลา 05:22 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

เฉิงกุยอัน ไอ้ยักษ์ใจดี

สี่มหาวายร้ายแห่งฮ่องกง: ตัวร้ายบนจอ แต่หัวใจยิ่งใหญ่ในชีวิตจริง
ในยุคทองของภาพยนตร์มาเฟีบฮ่องกงช่วงยุค 80-90 มีนักแสดงสมทบกลุ่มหนึ่งที่สร้างความทรงจำไม่รู้ลืมให้ผู้ชมด้วยบทบาทตัวร้าย ดุร้าย และน่ากลัว จนแฟนหนังเรียกพวกเขาว่า “สี่มหาวายร้ายแห่งฮ่องกง” ซึ่งแต่ละคนต่างมีเรื่องราวชีวิตจริงที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยบทเรียนแห่งการต่อสู้ เริ่มต้นใหม่ และความเสียสละ
เรื่องราวของเราในวันนี้ก็มีถึงยอดมหาวายร้ายอันดับสอง เฉิงกุยอัน ผู้มีฉายาว่าไอ้ยักษ์ใจดี
เฉิงกุยอันเกิดในครอบครัวฐานะยากจน มีพี่น้องจำนวนมาก เขาต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 13 ปีเพื่อช่วยครอบครัว ช่วงเด็กเขาต้องทนทุกข์มาก บางครั้งพี่น้องหลายคนต้องนอนรวมกันในผ้าห่มผืนเดียว และยังต้องสวมกางเกงตัวเดียวกันเพราะกางเกงมีไม่พอจำนวนคน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวทำให้หลังออกจากโรงเรียน เขาได้เข้าไปทำงานเป็นแรงงานให้กับโรงถ่ายหนังชอว์บราเดอร์ส แต่ด้วยวัยยังน้อย เขาไม่สามารถทนงานหนักได้ จึงลาออกและออกมาเร่ร่อนบนถนน
#ชีวิตที่หลงผิด
ต่อมาเฉิงกุยอันพยายามหางานที่รายได้ดีขึ้น จึงไปรับงานเป็นลูกน้องของเจ้าพ่อมาเฟียในพื้นที่ ทำหน้าที่เก็บค่าคุ้มครอง จนทำให้ถูกหมาต๋าจับและทำให้เขาต้องเข้าคุกเป็นเวลา 1 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัว เขาต้องดิ้นรนในสังคมเป็นเวลานาน แต่ก็ยังหางานทำไม่ได้ วันหนึ่งบรูซ เหลียงหรือหลียงเสี่ยวหลง เพื่อนสนิทของพี่ชายเขามาเยี่ยมบ้าน จากการพูดคุย เขาได้รู้ว่าเหลียงเสี่ยวหลงทำงานเป็นครูสอนศิลปะการต่อสู้ที่สถานีโทรทัศน์เอเชียหรือ ATV
เมื่อเหลียงเสี่ยวหลงเห็นว่าอีกฝ่ายยังลำบากอยู่ ไม่มีอะไรทำ จึงถามว่าสนใจจะร่วมฝึกศิลปะการต่อสู้กับเขาไหม ยิ่งกว่านั้นยังบอกว่าฝึกกับเขาสามารถหางานได้
“จริงเหรอ พี่เหลียงผมเพิ่งโดนจับเข้าคุกและเพิ่งได้รับการปล่อยตัวไม่นานนี่เอง จะมีใครกล้าจ้างทำงาน ”
เหลียงเสี่ยวหลงพยายามทำให้เขาเลิกคิดว่าติดคุกแล้วจะไม่มีใครจ้างทำงาน เขาจึงพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ถ้าฉันบอกว่าเธอทำได้ ก็ไม่เป็นไร เชื่อคำฉันที่มองเห็นพรสวรรค์ แล้ววันหนึ่งจะมีสิ่งที่ลงตัวพอดี”
เหลียงเสี่ยวหลงสร้างโอกาสให้กับเฉิงกุยอัน แต่ที่ดียิ่งกว่านั้นยังได้ดึงเขากลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ผลักดันการต่อสู้อันขมขื่น ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ของเขา เหลียงเสี่ยวหลงจึงเลือกเขามาเป็น “หัวหน้าแก๊งมาเฟียย้อนยุค" ในตอนแรกเป็นเพียงแค่ฉากไม่กี่ฉาก แต่เฉิงกุยอันพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้พี่เหลียงผิดหวัง จนได้รับคำยกย่องผลงาน “หัวหน้าแก๊งมาเฟีย” ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
#อาชีพการแสดงของเฉิงกุ่ยอัน
รูปร่างหน้าตาของเฉิงกุยอันไปเข้าตาของหลี่ซิ่วเชียน อดีตดาราชอว์ที่เริ่มผันตัวมาสร้างหนัง และได้รับเชิญให้เล่นบทสมทบในภาพยนตร์ หลี่ซิ่วเชียนเข้มงวดกับเฉิงกุยอันมาก ในเวลานั้นเฉิงกุยอันยังไม่ได้เข้าใกล้เส้นทางสู่นักแสดงมืออาชีพ จึงถูกหลี่ซิวเซี่ยนดุและสั่งสอนบ่อยครั้งเรื่องการเคลื่อนไหวร่างกายที่ไม่ดีระหว่างการถ่ายทำ พร้อมพยายามปรับปรุงข้อบกพร่องด้านนี้ให้
แต่ความล้มเหลวคือต้นเหตุของความสำเร็จ หลังจากล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ค่อย ๆ ฝึกฝนความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่น ซึ่งผลักดันให้เขากลายเป็นนักแสดงมืออาชีพ
ในปี 1985 เฉิงกุยอันได้แสดงเป็น “ต้าหม่า” ในภาพยนตร์ Chase a Fortune, 1985 เป็นหนังตลก เล่าเรื่องนักข่าวกีฬากับนักมวยชื่อดังแล้วถูกชักชวนให้แกล้งพิการเพื่อโกงเงินประกัน เฉิงกุยอัน เล่นเป็นนักเลงใช้ชื่อบทว่า “ต้าหม่า” ที่แปลได้ว่าไอ้ยักษ์ทึ่ม ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่จดจำในวงการ และฉายา “ต้าหม่า” ก็ติดตัวเขามาตลอดอาชีพ
พอในปี 1987 เฉิงกุยอันได้รับบทในเดือด 2 เดือด Prison on Fire ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพ เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงสมทบชั้นยอด และมีชื่อเสียงติดตัวไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะในเรื่องนี้เขาแสดงเป็นลูกน้องของยอดมหาวายร้ายหนังมาเฟียฮ่องกงอันดับ 1 คือ เหอเจียจู จนเป็นภาพจำว่าถ้าเรื่องไหนที่ทั้งคู่แสดงด้วยกัน เบอร์ 1 มักจะเป็นเจ้านาย ส่วนเบอร์ 2 ก็จะเป็นลูกน้องอยู่เสมอ นอกจากนี้เขายังแสดงในหนัง โหด เลว ดี 2 A Better Tomorrow II และร่วมงานกับดาราแถวหน้ามากมาย
ตลอดชีวิตการแสดง เขามีผลงานภาพยนตร์มากกว่า 350 เรื่อง และอยู่ในซีรีส์มากกว่า 600 ตอน ทั้งหมดเป็นบทตัวประกอบหรือตัวร้ายที่สร้างความทรงจำให้กับผู้ชม
ชื่อเสียงของเฉิงกุยอันแผ่ขยายออกไป เขาได้รับเชิญจากผู้กำกับมากมาย ทักษะการแสดงและภาพจำอันโดดเด่นของเขาทำให้เขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และถูกมอบหมายให้มีบทบาทต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งมีข่าวลือว่าเขาสามารถทำเงินได้มากกว่า 500,000 ดอลลาร์ฮ่องกงภายในวันเดียว
เฉิงกุยอันรู้สึกขอบคุณหลี่ซิวเซี่ยนมากที่ช่วยพัฒนาตัวตนของเขา และรำลึกในบุญคุณมาตลอด ในตอนที่หลี่ซิวเซี่ยนขัดแย้งกับโจวชิงฉือเขาถึงกับปฏิเสธคำชวนของโจวชิงฉือไปเล่นหนังด้วย
#บุคลิกและชีวิตจริง
แม้หน้าตาและบุคลิกของเขาจะดุดัน แต่หัวใจของเฉิงกุยอันเต็มไปด้วยความดี เขาให้ความช่วยเหลือเพื่อนอย่างสุดกำลัง ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ กรณีของหลานเจี๋ยอิงนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียง(และเธอสวยมาก) แต่กลับอาภัพในชีวิตส่วนตัว เธอประสบปัญหาส่วนตัว สูญเสียคนในครอบครัว คนรักตายจาก และถูกกลั่นแกล้งหลายครั้งจนชีวิตล้มเหลว กลายเป็นโรคซึมเศร้า เธอไม่มีเงินแม้แต่จะซื้ออาหาร เฉิงกุยอันซึ่งอาศัยในย่านใกล้ๆกัน รู้ว่าเธอลำบาก เคยเห็นเธอไปขออาหารจากร้านค้า
เฉิงกุยอันถึงกับไปขอร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตในย่านที่เธออยู่ แจ้งกับเจ้าของร้านว่า “หลานเจี๋ยอิงน่าสงสารมาก ถ้าเธอมาขออาหาร หรือซื้อของ ช่วยให้เธอกินและซื้อของนะ แล้วผมจะมาจ่ายเงินให้ทีหลัง” เขาแสดงถึงน้ำใจและความปรารถนาที่จะช่วยเพื่อนเท่าที่ทำได้อย่างแท้จริง
#การเจ็บป่วยและการจากไป
ในปี 2004 เฉิงกุยอันเข้ารับการตรวจร่างกายและพบว่าป่วยเป็นมะเร็งจมูกและคอในระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ที่อินเดีย เขาอาเจียนเป็นเลือดและเมื่อกลับมาตรวจที่ฮ่องกงก็พบว่าเป็นโรคระยะลุกลามแล้ว เขาต่อสู้กับโรคนี้อย่างเข้มแข็งและมีกำลังใจ แม้จะทราบว่ามะเร็งของเขาเป็นระยะที่สองและลุกลาม เขาก็ไม่เคยท้อแท้หรือสิ้นหวัง โดยเคยเปรียบเทียบอาการว่า “เหมือนมีก้อนเนื้อขนาดเท่าฟองไข่เป็ดอยู่ที่คอ”
สุดท้าย ในวันที่ 27 สิงหาคม 2009 เฉิงกุยอันเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ลุกลาม การจากไปของเขาสร้างความเศร้าเสียใจให้เพื่อนร่วมวงการและแฟนหนัง งานศพของเขาจัดขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ มีเพียงเพื่อนและญาติไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเชิญไปร่วมงานศพ เขาเลือกสถานที่ที่เขาเกิดและเติบโตมา นั่นคือหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาเป็นที่ฝังศพ ร่างของเขาถูกฝังไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านแห่งนี้ เฉิงกุยอัน เคยกล่าวไว้ว่า “ผู้คนควรกลับไปยังที่ที่มาจากมา” และยังกล่าวอีกว่า เขาจะอยู่ที่นั่น เมื่อนั้นเขาจึงจะได้พักผ่อนอย่างสงบ
เฉิงกุยอันอาจจะถูกจดจำในฐานะ “วายร้ายบนจอเงิน” แต่สำหรับเพื่อน ๆ ในวงการและคนที่รู้จัก เขาคือพี่ใหญ่ผู้โอบอ้อมอารี เรื่องราวของเขาย้ำให้เรารู้ว่า “อย่าตัดสินใครจากภายนอก” เพราะบางครั้ง คนที่ดูน่ากลัวที่สุด อาจมีหัวใจที่อบอุ่นที่สุด หัวใจสามารถงดงามและยิ่งใหญ่ได้เสมอ
โฆษณา