6 ก.ย. เวลา 12:29 • ธุรกิจ

เครื่องมือที่ดีไม่มีค่า ถ้าคนไม่กล้าเปลี่ยนวิธีทำงาน

สรุป 10 วิธีคิดและกลยุทธ์ เปลี่ยน "ผู้ตาม" ให้เป็น "ผู้นำ" เพื่อสร้างอนาคตยุค AI จากงาน TDA NEXT 2025
พลิกเกมธุรกิจด้วย AI สรุปวิธีคิดและกลยุทธ์ที่จะเปลี่ยน "ผู้ตาม" ให้เป็น "ผู้นำ" ในยุคดิจิทัล จากงาน TDA NEXT 2025
⭐ คุณศิเวก สัจเดว, Co-Founder, ServiceMind Asia Co.,Ltd. ใน Session: From Hype to Impact: AI in Action ได้ชวนมองภาพปัจจุบันว่า แม้เราจะเห็น AI ที่ใช้งานได้จริงแล้วอย่าง ChatGPT หรือ Nano Banana ของ Google แต่ทุกวันนี้ยังถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น (Early Stage) เท่านั้น
ในอนาคต AI จะเก่งและเร็วขึ้น กลายเป็น Personal Use มากขึ้น เปรียบเสมือน "เลขาที่รู้ใจ" ของเรา โดย Impact หลัก ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วคือการเขียน Code, การนำไปใช้ในองค์กร (Enterprise Adoption) และการนำมาช่วยงานในชีวิตประจำวัน (Everyday Task)
🤔 อนาคตของ AI จะไปทางไหนต่อ?
- 1-2 ปีข้างหน้า: จะเกิด Personal AI Agents ที่เป็นเหมือนเพื่อนและผู้ช่วยในคนเดียวกัน (Companion-Like Assistant)
- ระยะกลางถึงยาว: AI จะสามารถค้นพบองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ, มี Model ที่สามารถใช้เหตุผล (Reasoning) ได้ และอาจนำไปสู่การค้นพบครั้งสำคัญทางการแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ
- การพัฒนาอื่น ๆ: เราจะได้เห็นหุ่นยนต์ Humanoid, การเติบโตของการเขียนโค้ด (Coding Explosion) และการขยายตัวของ Hardware รวมไปถึง Data Centers
🤔 แล้วด้านมืดของ AI ล่ะ?
- ความเสี่ยงระยะสั้น: การใช้ในทางที่ผิด เช่น Scam, Fraud, การสร้าง Bioweapons, Virus Engineering หรือ Cyberattack
- ความเสี่ยงระยะยาว: Superintelligence ที่อาจเป็นเหมือนในหนัง Sci-fi ซึ่งต้องเริ่มวางแผนรับมือผ่านธรรมาภิบาล (Governance) ที่ดี
ดังนั้นหัวใจสำคัญคือการมองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เราต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง แล้วเราจะเลือกเครื่องมืออย่างไรไม่ให้เรา "ห่วยลง"?
⭐ คุณต่อ พุทธศักดิ์ ตันติสุทธิเวท, Head of Innovation Advocacy, TISCO ใน Session: AI Explorer: เลือกเครื่องมือ AI อย่างไร ไม่ให้เราเป็นคนที่ห่วยลง ได้ให้กฎ 3 ข้อเพื่อเอาตัวรอดในยุคที่เครื่องมือ AI ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
กฎข้อที่ 1: Don’t Just Chase Tools - อย่าบ้าเครื่องมือ แต่ให้ Focus on how you apply them ต้องเข้าใจโจทย์ของตัวเองก่อน
กฎข้อที่ 2: Focus on Fundamentals - เน้นที่พื้นฐาน เพราะ Tool Change, Fundamental Remain ให้พิจารณาพื้นฐานของเครื่องมือ เช่น
1. Input: รับข้อมูลแบบไหน (เช่น อยากได้ข้อมูลล่าสุดจากเน็ต Gemini อาจจะดีกว่า)
2. Capability: เพดานความสามารถของมันคืออะไร
3. Output: สร้างผลลัพธ์เป็นอะไรได้บ้าง
4. Integration: เชื่อมต่อกับอะไรได้บ้าง (เช่น Gemini เชื่อมต่อกับ Google Drive)
กฎข้อที่ 3: Practice and Learn - เพราะการเรียนรู้อย่างเดียวไม่ช่วยให้เชี่ยวชาญ (Learning alone won’t built mastery) การ "ทำ" ไม่ได้เท่ากับ "ฝึก"
🤔 เราจะทำงานร่วมกับ AI อย่างไรดี?
🤖สิ่งที่เราไม่เก่งแล้วให้ AI ทำ: ต้องเข้าใจว่า AI เอาข้อมูลมาจากไหน มีลิมิตอะไร และอาจเกิดข้อผิดพลาดอะไรได้บ้าง
🤖สิ่งที่เราเก่งแล้วโยนให้ AI ทำ: ต้องเข้าใจเพดานความสามารถของ AI รู้ว่ามนุษย์อยู่ตรงไหน และต้องเอาเวลาที่ได้คืนมาไปสร้าง Value อื่น ๆ
สุดท้ายคุณต่อชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า
"AI ดูงง หรือเราเองที่บรีฟไม่เป็น?"
"AI ผิด หรือเราเองที่ไม่ได้ตรวจ?"
พร้อมทิ้งท้ายว่า “AI ควรช่วยเราล้างจานเพื่อให้เรามีเวลาไปเขียนโค้ด แต่กลายเป็นว่า AI มาช่วยเราเขียนโค้ดแล้วเราต้องไปล้างจานแทน”
เมื่อเข้าใจการใช้เครื่องมือส่วนตัวแล้ว ก็ถึงเวลาขยายสเกลไปสู่การนำพาธุรกิจบ้าน ๆ ทะยานสู่ระดับโลก
⭐ คุณโอห์ม ดิศรา อุดมเดช, CEO & Founder, Yell Worldwide ใน Session: From local to global ได้แชร์สถิติที่น่าสนใจว่า ธุรกิจกว่า 23.2% ล้มเหลวในปีแรก, 48% ใน 5 ปี และ 65.3% ใน 10 ปี การอยู่เฉย ๆ จึงเท่ากับรอวันถูกแทนที่
🤔 อยากไปตลาดโลกต้องรู้อะไร?
อุปสรรคสำคัญคือ Culture Understanding, การมองข้ามคู่แข่งท้องถิ่น (Ignoring Local Competition), กฎข้อบังคับ (Local Regulations) และการวางแผนการเงินที่ไม่ดีพอ แต่ในวิกฤตก็มีโอกาส
✨ Market Size: ตลาดโฆษณาใน SEA มีมูลค่าถึง 24.59 พันล้านเหรียญสหรัฐ
✨ Market Opportunity: แบรนด์จีนกำลังขยายตัวมายัง SEA, Ad spend ในภูมิภาคกำลังเติบโต และไทยมีศักยภาพในการเป็น Creative Hub (มูลค่าส่งออก 265,349 ล้านเหรียญสหรัฐ)
🔥3 บทเรียนสำคัญในการทำธุรกิจกับคนจีน
1. Timing (รู้เวลา): เราจะมีคุณค่าในเวลาที่เขาต้องการ
2. Location (รู้ที่แข่ง): ต้องเลือกแข่งขันในพื้นที่ที่เราถนัดและเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง
3. People (รู้ใจคน): สิ่งที่สำคัญที่สุด การสร้างทีมและวัฒนธรรมองค์กรที่ดีจะพาธุรกิจไปได้ไกลกว่าการทำคนเดียว
และ "คน" นี่เองที่เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งการจะเข้าใจคนได้นั้น ต้องเริ่มจากการหา ‘Why’ ให้เจอ
⭐ คุณเอง บังอร สุวรรณมงคล, CEO of Hummingbirds Consulting ใน Session: Innovation Secret Sauce: The Power of Why ได้ตอกย้ำว่านวัตกรรมที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการถามว่า "จะทำอะไร" (What) แต่เกิดจากการถามว่า "ทำไม" (Why)
“Insight is not what you see. It’s what makes people move.”
(Insight ไม่ใช่สิ่งที่คุณเห็น แต่มันคือสิ่งที่ขับเคลื่อนผู้คน)
คุณเองได้ยกตัวอย่างเคส LINE Sticker ที่แก้ปัญหาจากการเข้าใจ Insight ของลูกค้า
💗 Insight: คนที่ซื้อสติกเกอร์เป็นประจำรู้สึกว่าไม่มีอะไรว้าว
✨ Solution: ให้เติมชื่อบนสติกเกอร์ได้
💗 Insight: ลูกหลานต้องคอยโหลดสติกเกอร์ฟรีให้ผู้ใหญ่ เพราะท่านทำไม่เป็น
✨ Solution: แลกสติกเกอร์จากตู้เติมเงิน หรือจาก Verified Seller
นวัตกรรมที่จะชนะได้ ต้อง ชนะใจลูกค้า (ตอบโจทย์ Pain Point) และชนะคู่แข่งได้ด้วย
การเข้าใจ ‘Why’ ของลูกค้าคือกุญแจสู่นวัตกรรม และนอกจากนี้ การที่จะสรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ได้ก็ต้องเข้าใจ ‘Passion’ ของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้อย่างยั่งยืน
พาไปเจาะลึกการเติบโตของ Creator Economy พร้อมเคล็ดลับในการเปลี่ยน Passion ให้กลายเป็นอาชีพที่ยั่งยืนใน Session: From Passion to Profession โดย คุณแบงค์ ปิยวัฒน์​ปิยวัชรวิจิตร, เจ้าของช่อง YouTube “Bank PII” คุณเต๋า พัฐวร ผ่องแผ้ว, Head of product and technology department, True ID และ ดร.เล็ก ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์, CEO, EGG Digital,Ltd.
🤔 เส้นทาง Creator Economy โตแค่ไหน?
👉 คุณเต๋า เผยว่า โครงการ TrueID Creator โตขึ้นถึง 1,000% ตั้งแต่ปี 2019 จนถึงปัจจุบันมี Creator กว่า 20,000 คน และคอนเทนต์ก็หลากหลายขึ้นมาก
👉 ดร.เล็ก ในมุมมองแบรนด์ ชี้ให้เห็นว่าตอนนี้แบรนด์ลงทุนใน Content Creator มากขึ้น และ Creator เหล่านี้ที่สามารถนำไลฟ์สไตล์มาแชร์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม เมื่อคนเห็นแล้วอยากมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ตลาด Influencer จึงเติบโตมาก ๆ
👉 คุณแบงค์ ในมุมมองครีเอเตอร์ เสริมว่า ทุกวันนี้ทุกคนสามารถสร้างคอนเทนต์เป็นของตัวเองได้ การสร้างคอนเทนต์สามารถเป็นได้ทั้งงานอดิเรกและหารายได้ไปพร้อมกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมี Mindset ในการทำคอนเทนต์จึงจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
🤔 จะเปลี่ยน Passion เป็นอาชีพได้อย่างไร?
👉 คุณแบงค์ ย้ำว่ายุคนี้แค่ Passion อย่างเดียวไม่พอ เพราะอาจจะ Burnout ได้ง่าย แต่ต้องมี Mindset ของการเป็น Creator คือ ต้องมีการวางแผน, Storytelling, Branding, การวิเคราะห์หลังบ้าน และใช้ AI เป็นผู้ช่วยคิดไอเดียกว้าง ๆ ในวันที่ตัน แต่อย่าลืมใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป หัวใจสำคัญคือ “คนที่รอดและโตในตลาดนี้ได้ ไม่ใช่คนที่ทำคลิปไวรัล แต่คือคนที่ทำคลิปสม่ำเสมอและพัฒนาอยู่ตลอด”
👉 คุณเต๋า เสริมว่า แพลตฟอร์มมีส่วนสำคัญในการสนับสนุน Creator ผ่าน 3 สิ่ง คือ
1. Development Program ฝึกทักษะการใช้เครื่องมือและ AI
2. Loyalty Program ดู Progress บน Dashboard
3. Monetization สร้างรายได้จาก Reward, แคมเปญ, และ Ad revenue
👉 ดร.เล็ก เน้นว่า Personality คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะนี่คือ Brand Asset ที่จะทำให้เรามีกลุ่มเป้าหมายที่แข็งแกร่ง พร้อมแนะนำแพลตฟอร์มอย่าง Influematch.AI ที่ช่วยจับคู่อินฟลูเอนเซอร์ และ Admatch.AI ที่เป็นที่ปรึกษาการยิง Ads ให้ง่ายขึ้น
เมื่อมีแรงบันดาลใจอยากเป็น Content Creator แล้วจะเริ่มต้นสร้างทักษะได้อย่างไร?
⭐ คุณเน็ท ชัดชนัญญ์ คงเดชะกุล, Growth Lead, True Digital Academy ได้เปิดตัว Career Spark แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์รูปแบบใหม่ใน Session: Career Spark: New Online Learning Platform First Look
โดยได้แชร์สถิติว่า อัตราการว่างงานของเด็กจบใหม่สูงถึง 1.84% ใน Q1/2025 และ 1 ใน 2 ของงาน White Collar อาจถูก AI ล้างบางใน 5 ปีข้างหน้า
จะเห็นได้ว่าการที่จะสร้าง Talent ได้นั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่คุณเน็ทได้แชร์ว่า Career Spark คือแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาตอบโจทย์สิ่งนี้ได้ และพัฒนาให้คนมี Skill ในยุค AI ได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง
โดย Career Spark จะมี Career Tracks อย่าง Content Creator และ AI Project Manager พร้อมพื้นที่โชว์เคสผลงาน และเชื่อมต่อโอกาสการทำงานจริง (Career Partner)
นอกจากนี้ การเข้ามาของ AI ทำให้ทุกคนต้องหันมาตามเทรนด์และอัปเดตความรู้กันมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ AI กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของคนนั่นก็คือ การค้นหา (Search)
⭐คุณไอซ์ ศิริพงษ์ กลิ่นจร, CEO & Co-Founder, NerdOptimize ได้อัปเดตการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน Session: Age of AI Search ว่าการมาของ AI Overview และ AI Mode ทำให้การค้นหาเป็นลักษณะบทสนทนาที่ยาวและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น (Conversational Search)
โดยเวลาเข้าไปที่ Google และค้นหา มักจะเจอ AI Overview ที่คอยตอบคำถามแทนโดยที่ไม่ต้องเข้าไปกดลิงก์เว็บไซต์เพื่อหาคำตอบ และการเข้ามาของ AI Mode ที่นำ Gemini มาไว้ในหน้าค้นหาของ Google ก็ทำให้พฤติกรรมการค้นหาของผู้คนกลายเป็นยาวมากขึ้น เช่น ที่เที่ยวโตเกียวด้วยตัวเอง 1 วัน สำหรับครอบครัวที่มีเด็กผู้ชายอายุ 3 ขวบ
🤔 นักการตลาดและเจ้าของเว็บไซต์ต้องปรับตัวอย่างไร?
1. ปรับปรุงเว็บไซต์: ต้องพร้อมสำหรับ LLMs Bot Coding และตั้งค่า Robots.txt ให้เหมาะสม
2. The Great Content Shift: ต้องสร้าง Structured Data, ให้ความสำคัญกับ Context และทำ Query Fanout Analysis เพื่ออัปเดตคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์การค้นหาที่หลากหลาย
3. Branding Transformation: การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งกลายเป็นหัวใจสำคัญ
✨ 3 ปัจจัยหลักที่มีผลต่อ AI Result
1. Brand Web Mentions: การถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์
2. Branded Anchors: การมีลิงก์กลับมาที่เว็บด้วยชื่อแบรนด์
3. Branded Search Volume: การที่คนค้นหาแบรนด์ของเราโดยตรง
🔥 3 Step ในการทำ AI Search
1. เตรียมความพร้อมของเว็บไซต์
พื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือการทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์มีความพร้อมทางเทคนิค (Technical SEO) เพื่อให้ AI สามารถเข้ามาเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และเข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2.สร้างสรรค์เนื้อหาที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล (Hyper-personalized Content)
ในยุคที่ผู้คนค้นหาด้วยรูปแบบบทสนทนาที่ยาวและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เนื้อหาบนเว็บไซต์ต้องถูกออกแบบมาเพื่อตอบคำถามและแก้ปัญหาของผู้ใช้งานแต่ละกลุ่มได้อย่างลึกซึ้งและตรงจุดที่สุด
3. สร้างตัวตนของแบรนด์ให้แข็งแกร่งในทุกช่องทาง (Brand Omnichannel Presence)
ความน่าเชื่อถือของแบรนด์กลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง AI จะให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ปรากฏตัวและเป็นที่รู้จักในหลากหลายช่องทาง (Omnichannel), ถูกพูดถึงในเชิงบวก (Brand Mention), มีการอ้างอิงหรือลิงก์เข้ามา (Link), และมีปริมาณการค้นหาชื่อแบรนด์โดยตรง (Branded Search Volume) สูง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการเป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือในวงกว้าง
นอกจาก AI จะเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการเสิร์ชของผู้คนแล้ว ก็ยังมาเสริมประสิทธิภาพให้กับระดับองค์กรได้อย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย
⭐ ดร.ออฟ ทุตานนท์ สินธุประสิทธิ์, Head of Research and Development, SCBX ได้มาขยายภาพการนำ AI ไปใช้ในระดับองค์กรใน Session: From AI Hype to Business Moat
🤔 ทำไมองค์กรส่วนใหญ่ถึงยังไปไม่ถึงฝันในการใช้ AI?
ดร.ออฟ ชี้ให้เห็นถึง The Enterprise AI Inflection Point ว่า 80% ของผู้นำธุรกิจมองว่า GenAI คืออนาคต แต่มีไม่ถึง 25% ขององค์กรทั่วโลกที่สามารถ Scale AI ได้สำเร็จ
🔥 SCBX จึงตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่า
1. 75% ของรายได้ต้องมาจาก AI
2. 75% ของ Process จะต้องถูก Automate โดย AI
3. 15% ของพนักงานต้องใช้งาน AI ได้
โดยได้มีการพัฒนาโมเดลภาษาไทยอย่าง Typhoon LLM และนำไปใช้จริงในโซลูชันต่าง ๆ เช่น Market Conduct Detection, Agentic AI Financial Advisory Platform และ Digital RM Training
🍀 4 ขั้นตอนสำคัญสู่การ Scale AI ให้สำเร็จในองค์กร
1. ตั้ง Vision ให้ชัด และสร้างเป้าหมายที่วัดผลได้ (และต้องสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจ)
2. หาคนที่ใช่ (และให้อำนาจในการตัดสินใจ - Authority)
3. สร้างวัฒนธรรมแห่งการทดลอง (ให้รางวัลกับ Small Win และเรียนรู้จากความผิดพลาด)
4. มุ่งเน้นชัยชนะในระยะยาว (แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีความผันผวน)
หลังจากได้เห็นภาพใหญ่ของการวางกลยุทธ์และ Scale AI ในระดับองค์กรจาก SCBX เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจแล้ว คำถามสำคัญต่อมาคือ แล้วจะนำพลังของ AI นั้น มาสร้างความได้เปรียบในการ ‘มัดใจลูกค้า’ ได้อย่างไร? ซึ่งจะนำไปสู่กลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ นั่นคือ Hyper-Personalization
⭐ คุณบี สโรจ เลาหศิริ, Marketing Transformation Consultant เจ้าของเพจสโรจขบคิดการตลาด ใน Session: Road to Hyper Personalization โดยได้เน้นว่าการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษคือสิ่งสำคัญที่ยุคนี้ต้องทำ
🤔 ลูกค้าจะได้อะไรจากการทำ Personalization?
✅ Goals: ช่วยเพิ่มมูลค่าตลอดชีวิตของลูกค้า (Customer Lifetime Value - CLV)
✅ Relation: ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจ และพวกเขาเป็นคนพิเศษ
✅ Efficiency: ช่วยประหยัดเวลาและแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ตรงจุด
✅ Experience: สร้างประสบการณ์โดยรวมที่น่าประทับใจ
🔥 หัวใจสำคัญคือการใช้ Data 4 ประเภท
1. Demographic based: ชื่อ, ที่อยู่, วันเกิด, รายได้
2. Behavioral Based: พฤติกรรมการซื้อ, Customer Journey, กิจกรรม Online/Offline
3. Predictive based: ทำนายพฤติกรรมและความต้องการในอนาคต
4. Context based: บริบท ณ เวลานั้น ๆ
ตัวอย่างแคมเปญที่มีการทำ Hyper-Personalization
👉🏻 Pedigree: ทำแคมเปญโฆษณาสุนัขจรจัด โดยยิงโฆษณาสุนัขตัวใหญ่ไปยังพื้นที่ที่คนมีบ้านพร้อมที่จะเลี้ยง เพื่อเพิ่มโอกาสการรับเลี้ยง
👉🏻 L’Oreal Dose: ให้ลูกค้าตรวจสุขภาพผิวและผลิตสกินแคร์สูตรเฉพาะสำหรับคนคนนั้นเท่านั้น ถือเป็นการตลาดแบบ 1 ต่อ 1 อย่างแท้จริง
🚀 เส้นทางสู่การเป็นเจ้าแห่ง Hyper-Personalization (Maturity Model)
คุณบีชี้ว่าองค์กรต้องค่อย ๆ พัฒนาศักยภาพตามลำดับขั้น ตั้งแต่การเก็บข้อมูลพื้นฐานไปจนถึงการใช้ AI เต็มรูปแบบ (Basic Data Collection > Rule-based > Behavior Patterns > Behavioral Predictions > AI)
โดยต้องเริ่มจากการสร้างรากฐานของ Data & Analytics ที่ดีก่อน จึงจะสามารถสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลในระดับ Scale ใหญ่ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ในที่สุด
เมื่อได้เห็นสุดยอดกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ Data และ AI อย่าง Hyper-Personalization แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะกลับมามองที่รากฐานสำคัญที่สุดที่ขับเคลื่อนทุกสิ่ง นั่นคือ 'วิธีคิด' ของเรานั่นเอง
⭐ คุณทอย กษิดิศ สตางค์มงคล, ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data เจ้าของเพจ DataRockie ได้ชวนกลับมามองที่แก่นใน Session: How to Survive? The First Principles
🤔 มองโลกผ่านหลักการพื้นฐาน (First Principles)
คุณทอยชี้ว่าถ้าเราเข้าใจระบบพื้นฐานของโลก เราจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้เสมอ เหมือนกับหลักการง่าย ๆ อย่าง
👉🏻 Inflow > Stock > Outflow
👉🏻 Birth > Population > Die
👉🏻 Earn > Money > Spend
🌲 ทฤษฎีป่ามืด (Dark Forest Theory) และการอยู่รอด
คุณทอยได้ยกตัวอย่าง Fermi Paradox ที่ถามว่า "ทำไมเราไม่เคยเจอเอเลี่ยน?" และคำตอบจากทฤษฎีป่ามืดคือ ทุกอารยธรรมมีเป้าหมายคือการอยู่รอด และเพราะความไม่ไว้วางใจ การหลบซ่อนหรือทำลายจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด นี่คือภาพสะท้อนของการแข่งขันที่เข้มข้นในโลกปัจจุบัน
🧠 ‘ภาษา’ คือเครื่องมือสร้างสมองและโอกาส
คุณทอยย้ำว่า "ภาษาสร้างสมอง" คนที่รู้คำศัพท์ 1,000 คำ ย่อมมีโอกาสก้าวหน้ากว่าคนที่รู้แค่ 5 คำ แต่สถานการณ์ปัจจุบันน่าเป็นห่วง เพราะคนทั่วโลกให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยลง (เช่น 40% ของคนอังกฤษไม่แตะหนังสือเลย)
ในขณะที่มนุษย์อ่านน้อยลง AI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสู้กับคนระดับโลก และเริ่มเอาชนะมนุษย์ได้แทบทุกครั้ง
ทางรอดเดียว คือ ‘Work harder on yourself’ คุณทอยทิ้งท้ายว่า เรามีทางเลือกระหว่าง "ทำงานให้คนอื่น" กับ "ทำงานเพื่อตัวเอง" และถ้าจะทำงานหนัก ก็ควรทำงานหนักกับตัวเอง "Work harder on yourself" เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีและอยู่รอดในการแข่งขันยุคใหม่ได้
เมื่อได้หลักการคิดพื้นฐานและปลุกพลังให้เรา ‘Work harder on yourself’ เพื่อความอยู่รอดแล้ว คำถามสำคัญคือ แล้วเราจะนำหลักการคิดและพลังนี้ไปปรับใช้กับการทำงานในยุค AI ได้อย่างไร?
⭐ คุณอาร์ท อภิรัตน์ หวานชะเอม, Head of True X, True Digital Group ได้มอบ Framework: Human.AI ที่มีหัวใจสำคัญว่า AI ไม่ได้มาเพื่อแทนที่ แต่มาเพื่อเพิ่มพลัง (Empower) ให้กับมนุษย์
🤔 เราจะทำงานร่วมกับ AI อย่างไร?
มุมมองใหม่คือ AI จะเข้ามาดูแล 'HOW' & 'WHAT' (การลงมือทำ) ซึ่งเป็นงานที่ต้องการความแม่นยำ, ความเร็ว และการทำงานตลอด 24/7 ส่วนมนุษย์จะยกระดับตัวเองไปดูแล 'WHY' & 'WHEN' (เป้าหมายและจังหวะเวลา) ซึ่งต้องอาศัยวิจารณญาณ, บริบททางอารมณ์, ความคิดสร้างสรรค์ และการตั้งคำถามที่ดีกว่าเดิม
🍀 Human.AI Design Patterns 3 รูปแบบความร่วมมือระหว่างคนกับ AI
1. Augment
ในงานที่เป็น Routine ชัดเจน AI สามารถเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ในส่วนที่เป็นกฎเกณฑ์และทำซ้ำ ๆ ได้เต็มตัว โดยมนุษย์จะถอยออกมา
👉🏻 ทักษะที่ต้องการ: ความน่าเชื่อถือ (Reliability), มีวินัย (Discipline), การบริหารเวลา, และความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ
2. Collaborate
ในงานที่ต้องการการวิเคราะห์และตัดสินใจ มนุษย์จะทำหน้าที่กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ โดยมี AI ช่วยวิเคราะห์และลงมือทำบางส่วน
👉🏻 ทักษะที่ต้องการ: การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical thinking), การสื่อสาร, การตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน และการวิเคราะห์ข้อมูล
3. Assist
ในงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ มนุษย์จะเป็นผู้นำ โดยมี AI เป็นผู้ช่วย (Co-pilot) คอยให้ข้อมูล, สร้างแรงบันดาลใจ หรือทดสอบไอเดีย
👉🏻 ทักษะที่ต้องการ: การเล่าเรื่อง (Storytelling), Empathy, การร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ และการใช้เครื่องมือ Generative AI
🔥 3 ขั้นตอนสำคัญในการนำ AI ไปปรับใช้
1. REFLECT: ทบทวนและจำแนกประเภทงานในองค์กร (Classify Job Roles) เพื่อทำความเข้าใจว่า AI จะเข้ามาสนับสนุนได้อย่างไร
2. REFRAME: ออกแบบโครงสร้างทีมและความรับผิดชอบ (Redesign R&R) ใหม่ โดยมี AI เป็นส่วนหนึ่งของทีม และกำหนดทักษะใหม่ ๆ ที่ต้องพัฒนา
3. REINVENT: สร้างโปรไฟล์งานสำหรับอนาคต (Design Human.AI Job Profiles) และทำให้การนำ AI มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้านบุคลากร
AI ไม่ได้เข้ามาเพื่อ 'แทนที่' แต่มันเข้ามาเพื่อ 'ท้าทาย' ให้เรานิยามคำว่า 'งาน' ใหม่อีกครั้ง โดยปล่อยให้ AI ดูแลในส่วนของ 'How' & 'What' และยกระดับศักยภาพของมนุษย์ให้ไปโฟกัสกับสิ่งที่ทรงคุณค่ากว่าอย่าง 'Why' & 'When' ซึ่งต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์, การวางกลยุทธ์, และความเข้าใจในมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
ดังนั้นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในวันนี้ คือ การลงทุนในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทักษะพื้นฐานให้แข็งแกร่ง การเปิดใจเรียนรู้เครื่องมือใหม่ ๆ หรือการเปลี่ยน Passion ให้กลายเป็นอาชีพที่ยั่งยืน
สุดท้ายนี้ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้รอใคร และ Framework ที่ดีที่สุดอาจจจะไม่มีความหมายหากไม่เริ่มต้นลงมือทำ ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดอาจเป็นการกลับไปตอบคำถามง่ายๆ ที่ว่า
“องค์กรและตัวเราจะนำ AI มาช่วยทำอะไร?”
เมื่อตั้งต้นได้ถูกทางแล้ว การนำแรงบันดาลใจและองค์ความรู้ทั้งหมดจากงานนี้ไปใช้จริง ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการ #PromptYourFuture
โฆษณา