6 ก.ย. เวลา 15:42 • ความคิดเห็น
ขอเล่าเรื่องคนตาบอดคลำช้างแล้วกันนะครับ
ณ อาศรมแห่งนึงนักปราชญ์ท่านหนึ่ง ท่านต้องการสอนให้ผู้คนเข้าใจถึงธรรมชาติของ "ความจริง" ที่แต่ละคนรับรู้ได้เพียงบางส่วน จึงได้เชิญผู้พิการทางสายตาแต่กำเนิด 6 คน ผู้ซึ่งมีปัญญาและช่างสังเกต มาทำความรู้จักกับสัตว์ที่ไม่เคยมีใครเล่าให้พวกเขาฟังมาก่อน นั่นคือ "ช้าง"
นักปราชญ์ได้นำทางแต่ละคนให้ไปสัมผัสส่วนต่างๆ ของช้างอย่างตั้งใจ
คนแรก ได้รับมอบหมายให้สำรวจ สีข้างและแผ่นหลัง อันใหญ่โตของช้าง
คนที่สอง ได้ไปสัมผัส งา ที่มีลักษณะแข็งและโค้งมน
คนที่สาม ได้จับที่ งวง ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวและพ่นลมได้
คนที่สี่ ได้คลำที่ ขา ซึ่งใหญ่และตั้งตรงเหมือนเสา
คนที่ห้า ได้สัมผัส ใบหู ที่ใหญ่และแบน สามารถพัดกระพือได้
คนที่หก ได้จับที่ หาง ซึ่งเป็นเส้นยาวๆ และมีพู่ขนที่ปลาย
หลังจากที่ทุกคนได้ใช้เวลาสำรวจอย่างถี่ถ้วนแล้ว นักปราชญ์จึงถามว่า "จากประสบการณ์ของพวกท่าน สิ่งนี้คืออะไร?"
แต่ละคนต่างครุ่นคิดและตอบตามหลักเหตุผลจากสิ่งที่ตนสัมผัส:
คนที่คลำ สีข้างและแผ่นหลัง ตอบว่า: "จากการสัมผัสพื้นผิวที่กว้างใหญ่ หยาบกระด้าง และมั่นคงไม่ขยับเขยื้อน ข้าพเจ้าขอสรุปตามหลักเหตุผลว่า ช้างคือผนังหรือกำแพงดินที่มีชีวิต"
คนที่คลำ งา ตอบว่า: "สิ่งที่ข้าสัมผัสมีลักษณะแข็งมาก เรียบ ลื่น และมีปลายแหลมคม ข้าไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตใดมีลักษณะเช่นนี้ แต่จากรูปทรงของมัน ข้าพเจ้าอนุมานได้ว่า ช้างคือหอกหรือศาสตราวุธชนิดหนึ่ง"
คนที่คลำ งวง ตอบว่า: "สิ่งที่ข้าจับนั้นแปลกประหลาดมาก มันเป็นท่อยาวที่ยืดหยุ่น เคลื่อนไหวได้เอง แถมยังสามารถพ่นลมและน้ำได้อีกด้วย ด้วยคุณสมบัติพิเศษนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า ช้างคืออสรพิษหรือพญานาคขนาดใหญ่"
คนที่คลำ ขา ตอบว่า: "ข้าได้โอบรอบสิ่งที่ข้าสัมผัส มันมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกขนาดใหญ่ ตั้งตรงและแข็งแรงจากพื้นดินขึ้นไป ทำให้ข้าสรุปได้อย่างเดียวว่า ช้างคือเสาของต้นไม้ใหญ่ที่มีชีวิต"
คนที่คลำ ใบหู ตอบว่า: "สิ่งที่ข้าสัมผัสมีขนาดใหญ่ เป็นแผ่นบางๆ แต่เหนียว และขยับไหวไปมาทำให้เกิดลมได้ตลอดเวลา จากการทำงานของมัน ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ช้างคือพัดใบใหญ่หรือเครื่องโบกลมชนิดหนึ่ง"
คนที่คลำ หาง ตอบว่า: "ข้าได้จับเส้นสายที่ห้อยลงมา มันมีขนาดเล็ก ยาว และที่ปลายสุดมีขนเป็นพู่ สามารถสะบัดไปมาได้ ลักษณะเช่นนี้เหมือนกับสิ่งที่ข้ารู้จักเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่า ช้างคือเชือกป่านเส้นใหญ่ที่มีไม้กวาดติดอยู่ที่ปลาย"
เมื่อทุกคนนำเสนอ "ความจริง" ของตนตามหลักตรรกะที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว แต่กลับไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้เลย การถกเถียงจึงเกิดขึ้น เพราะไม่มีใครผิดในมุมของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครถูกทั้งหมดเช่นกัน
ข้อคิดเชิงตรรกะ
นักปราชญ์จึงสรุปว่า:
"พวกท่านทุกคนล้วนใช้เหตุผลและตรรกะอย่างถูกต้องในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ท่านได้รับ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลตั้งต้น ของพวกท่านมันไม่สมบูรณ์"
"ในโลกแห่งความเป็นจริงก็เช่นกัน บ่อยครั้งที่ความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากใครไร้เหตุผล แต่เกิดจาก การที่แต่ละฝ่ายทำงานอยู่บนชุดข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์เหมือนกัน แล้วใช้ตรรกะที่สมบูรณ์แบบของตนเองสร้างข้อสรุปขึ้นมา การจะเข้าถึง 'ความจริงทั้งหมด' (ช้างทั้งตัว) ได้นั้น จำเป็นต้องนำข้อมูลของทุกคนมารวมกันและยอมรับว่ามุมมองของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพที่ใหญ่กว่าเท่านั้น"
1
โฆษณา