Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มินิซีรี่ย์
•
ติดตาม
6 ก.ย. เวลา 22:36 • ประวัติศาสตร์
สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓
๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
มีหนังสือฉะบับหนึ่ง จ่าหน้าต้นฉะบับว่า สมเด็จพระบรมศพ กล่าวถึงเชิญพระศพออกพระเมรุ ในแผ่นดินสมเด็จพระเพธราชา ดูเหมือนเปนพระศพกรมหลวงโยธาทิพย์ ซึ่งทรงผนวชเปนรูปชีอยู่วัดพุทไธสวรรย์ ฉันได้อ่านแต่ต้นฉะบับ เข้าใจว่าได้ตีพิมพ์แล้ว ขอท่านช่วยตรวจตด้วย ถ้าได้ตีพิมพ์แล้วโปรดตรวจบอกให้ทราบด้วย ว่าที่ตีพิมพ์นั้นให้ชื่อเรื่องเรียกว่าอะไร จดจ่าหน้าเรื่องไปให้ทราบด้วยจะขอบใจมาก ด้วยจะต้องเขียนบันทึกข้างถึงหนังสือนั้นไปให้เขา
หนังสือของท่าน ลงวันที่ ๒๒ กับที่ ๒๖ กรกฎาคม ได้รับแล้ว แต่คำตอบจะส่งมาให้ก็อ่อย ๆ มีอะไรที่เร่งร้อนมาก็ทำให้เขาไปก่อน ตอบหนังสือท่านโดยมากเปนเรื่องต้องคิดจึงต้องช้า แต่ช้าก็ไม่เสียผลอะไรไป
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ยส
กรมศิลปากร
วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๘ โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าจดจ่าหน้า เรื่องสมเด็จพระบรมศพ ว่าที่ตีพิมพ์ไว้ให้ชื่อเรื่องว่าอย่างไร พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
๑. ข้าพระพุทธเจ้าได้ตรวจดูแล้ว ในใบจ่าหน้าให้ชื่อว่า “เรื่องสมเด็จพระบรมศพ คือจดหมายเหตุงานพระเมรุครั้งกรุงเก่ากับพระราชวิจารณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พิมพ์แจกในงานศพพระยาทวาราวดีภิบาล (แจ่ม โรจนวิภาค) จางวางกรุงเก่า โรงพิมพ์โสภณพิพัฒนากร พ.ศ. ๒๔๕๙” ในตัวเรื่องว่า เป็นงานเมรุพระศพกรมหลวงโยธาเทพย์ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
๒. นกจีโจ้ นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นนกขมิ้น ซึ่งเป็นนกขนาดเขื่องกว่านกกระจอก ตัวลายท้องเหลือง คนละตระกูลกับนกขมิ้นเหลืองอ่อน มีผู้บอกข้าพระพุทธเจ้าว่า จิงโจ้ เป็นชื่อเครื่องเรือนด้วยอีกอย่างหนึ่ง แต่ข้าพระพุทธเจ้าสอบถามไม่ได้ความ เป็นแต่บอกว่าเคยได้ยินชื่อเท่านั้น
๓. ข้าพระพุทธเจ้าเขียนเรื่องแต่งงาน ถึงตอนเปิดเตียบ นึกถึงรูปร่างเตียบ ไม่ออก เพราะได้เคยเห็นหนเดียวนานมาแล้ว จึงวานช่างเขียนให้เขียนรูปให้ดู พร้อมทั้งรูปโต๊ะ โตก และ ตั่งด้วย เขาเขียนเตียบเป็นภาชนะอย่างเจียดที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ตั่ง
ก็เขียนเป็นรูปพานมีเท้าสอบอย่างเท้าคู่ ส่วนโต๊ะ กับโตกก็เขียนเป็นรูปอย่างเดียวกัน ผิดกันที่ โตก พื้นลึก ส่วน โต๊ะ พื้นไม่ลึก ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยจึงไปขอดูที่พระยาเทวา ฯ คงปรากฏว่า เตียบ ก็อย่างตะลุ่มนั่นเอง แต่มีฝาเป็นอย่างฝาชีและปากกว้างกว่าตะลุ่ม ส่วน ตั่ง ก็เป็นม้านั่งเตี้ย ๆ ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้า ฯ ว่า เครื่องภาชนะที่
มีชื่อต่าง ๆ เหล่านี้ จะเป็นของที่เปลี่ยนแปลงยักย้ายรูปร่างให้เป็นต่าง ๆ คนจึงเรียกชื่อสับสน เตียบจะเป็นของใส่อาหารกินจึ่งต้องมีฝาครอบ ส่วนตะลุ่มสำหรับใส่ของแห้ง จึงไม่ต้องมีฝาครอบ ผู้รู้ภาษาเขมรว่า ตะลุ่มนั้นเขมรเรียกว่า เตียบ มลายูมีคำว่า ตาลำ แปลว่า ภาชนะที่เป็นกระบะหรือถาดสำหรับใส่ของ สำรับทองเหลือง มีฝาเตี้ย ๆ ไม่มีเชิง ทางจันทบุรีก็เรียกว่า เตียบ ส่วน โต๊ะ และ โตก จะเป็นคำเดียวกัน เพราะ โตก ถ้าออกเสียงกร่อนไปก็เป็น โต๊ะ จะเพี้ยนเสียงเพื่อให้มีความหมายต่างกัน คือถ้า
เป็น โต๊ะ ใช้สำหรับวางของ ถ้าเป็น โตก สำหรับใช้เป็นสำรับของกิน ส่วน ตั่ง มีอยู่ในภาษาไทยทุกถิ่น แปลว่าม้านั่งรูปเตี้ยๆ ส่วนภาชนะที่มีเท้าคู่ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นในราชพิพิธภัณฑ์เรียกว่า พาน ในภาษากวางตุ้งมีคำว่า ผ่าน แปลว่าภาชนะใส่ของกิน แต้จิ๋วออกเสียงเพี้ยนเป็น ปั๊ว ชามใส่ก๊วยเตี๋ยวก็เรียกว่า ปั๊ว เคยมีคำพูดรวมว่า โต๊ะโตกโพงพาน ข้าพระพุทธเจ้าค้นหาโพง ก็ไม่พบ มีแต่ในอีศานเรียกกระปุกเหล้าว่า โพง เครื่องดองเหล้าเรียกว่า แพ่ง และในหนังสือเรื่อง พระราชพิธี ๑๒ เดือน มีคำว่า
พาน พะโอง ไม่ทราบเกล้าฯ ว่าเป็นพานชะนิดไร ขอประทานทราบเกล้า ฯ ด้วย ในภาษาไทยถิ่นต่าง ๆ เรียกถ้วยว่า จอก เรียกชามว่า ถ้วย และเรียกจานว่า ชาม เคลื่อนที่กันหมด ส่วน จาน ไม่พบ ในมลายูมีคำว่า สลัป หรือ เตลับ แปลว่า ภาชนะทำด้วยโลหะ ขนาดเล็กสำหรับใส่หมากพลูติดตัวไป ส่วน ผะอบ และโถ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นในราชพิพิธภัณฑ์มีรูปเหมือนกัน ผิดแต่โถปากแคบ ผะอบปากกก้าง แต่ทางอีศานเรียกโถว่าผะอบ
๔. เรื่องจัดขันหมาก มีหมาก ๘ ผล พลู ๔ เรียง พ้องกันหลายตำรา ที่เป็นจำนวนอื่นก็มีบ้าง พลูนั้นตามที่ซื้อขายกันเรียง ๘ ใบ เป็นเรื่อง ๑ สอบถามว่าทำไมเรียง ๑ จึงไม่ใช้ ๑๐ ใบ ก็ไม่มีใครทราบ แต่จำนวน ๘ นี้แปลก เงินชั่งหนึ่งก็ใช้ ๘๐ บาท ตำลึงหนึ่งก็ ๔ บาท คือครึ่งหนึ่งของ ๘ เฟื้องหนึ่งก็ ๘ อัฐ ตลอดจนจำนวน ๑๐๘ ก็ต้องมี ๘ ห้อยท้าย
๕. อาวุธของพระนารายน์ ถือ สังข์ จักร คทา ตรี ตรีเป็นของพระอิศวรไม่ควรเป็นของพระนารายน์ ในอินเดียเปน สังข์ จักร คทา และ ดอกบัว เจ้าพระยาภาศกรวงศ์เคยอธิบายให้ข้าพระพุทธเจ้าว่า ดอกบัวหมายถึงแผ่นดิน นายกี อยู่โพธิ์ เจ้าหน้าที่ในหอพระสมุด ค้นได้ข้อความในหนังสือเก่า คือ
ลิลิตโองการแช่งน้ำ สี่มือถือสังขจักรคธาธรณี
สมุทโฆษคำฉันท์ ผู้ทรงจักรคทาธริ-ษตรี
คำพากย์รามเกียรติ์ สี่มือถือทาย สังข์จักรคทาธารตรี
คำว่า ธรณี แผลงเป็น ธริษตรี แล้ว เป็น ธารตรี ในที่สุดจะเพี้ยนมาเป็น ตรี ในคำว่า อันนารายน์นั้นสี่หัตถา ทรงตรีคทาจักรสังข์
๖. อนึ่ง นายกี อยู่โพธิ์ ได้ค้นหาที่มาของคำว่า ยานี สุรางคนางค์ และ ฉะบัง มาให้ข้าพระพุทธเจ้า เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่าค้นได้หมดจดดี ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอประทานถวายมาด้วย ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานทราบเกล้า ฯ ว่า ยานี เป็นชื่อกาพย์ กับ ยานี ที่เป็นชื่อเพลง จะมีเค้ามาด้วยกันทางเดียวหรือไม่ ยังชื่อเพลง แขกวรเชษฐ ภายหลัง
เปลี่ยนเป็น แขกบรเทศ ข้าพระพุทธเจ้าพบในรายการพระราชพิธีลงสรงปิจออัฐศก ซึ่งสมเด็จพระราชปิตุลาทรงนิพนธ์ไว้ เป็นหนังสือขนาดใหญ่ยังไม่เตยตีพิมพ์ แห่งหนึ่งกล่าวว่า อาษาใหม่กรมท่าถือเสโล่หวายแต่งตัวอย่างแขกวรเชษฐ ดั่งนี้ วรเชษฐ จะต้องเป็นแขกพวกหนึ่งที่รู้จักกันดีในสมัยนั้น จึงไม่ได้อธิบายลักษณะเครื่องแต่งตัวไว้ ขอพระบารมีเป็นที่พึ่งเพื่อทราบเกล้า ฯ ด้วย
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
----------------------------
กาพย์สุรางคนางค์
กาพย์ที่ชื่อว่า สุรางคนางค์ นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกใน พระนลคำหลวง ว่า สุรางคณา ปทานุกรมกระทรวงธรรมการเรียกว่า สุรางคนางค์ และให้อธิบายเป็นเชิงแปลศัพท์ว่า สุรางคนา ส.น. นางสวรรค์ สุรางคนางค์ น. องค์นางฟ้า เป็นชื่อกาพย์ชะนิดหนึ่งมี ๒๘ คำ คือมี ๗ วรรค วรรคละ ๔ คำ
แต่พบในหนังสือจินดามณี ของพระโหราธิบดีครั้งกรุงเก่า เรียกว่า สุรางคณา กาพย์ชะนิดบี้มีบทละ ๗ วรรคๆละ ๔ คำ รวมเป็น ๒๘ จึงเรียกตามจำนวนอีกอย่างหนึ่งว่า กาพย์ ๒๘ ทำไมจึงเรียกว่า สุรางคณา เข้าใจว่าเรียกตามวรรคต้นของตัวอย่างภาษามคธที่ให้ไว้ เพราะในจินดามณี นั้นมีตัวอย่างเป็นภาษามคธว่า
สุราคณา สุโสภณา รปิรโก๑ สมานสิ ภิวนฺทโน สเรนโก รตฺตนฺทิวา
แต่กาพย์ตัวอย่างภาษาบาลีนี้ บัดนี้ยังค้นคว้าไม่พบว่า แต่งขึ้นใหม่ในหนังสือจินดามณี หรืออ้างมาจากหนังสือใด ทั้งแปลก็ไม่ได้ความ แต่บอกไว้ว่าชื่อวิสาลวิกฉันท์ ใน กาพย์สารวิสาลินี มิได้กำหนดครุลหุ กำหนดแต่กลอน นับกันโดยนิยมดังนี้
สรวมชีพขอถวาย ฯ ล ฯ
แล้วชักตัวอย่างใน กาพย์สารวิสาลินี มาลงไว้ว่า
สุสารโท มหิทฺธิโก ฯ ล ฯ
ตอนสุดท้ายบอกว่า ๒๘ สุราคณา ปทุมฉันท์กลอน ๔ ฉันท์ชื่อ ปทุมฉันท์ ก็ดี ชื่อ วิสาลวิกฉันท์ ก็ดี หาได้มีอยู่ใน คัมภีร์วุตโตทัย ไม่ เวลานี้ยังทราบไม่ได้ว่าจะคัดลอกชื่อกันมาผิดเพี้ยน ซึ่งที่ถูกจะเป็นอย่างไรและอยูในตำราใด อันเป็นเรื่องที่นักศึกษาจะต้องค้นคว้ากันต่อไปอีก
กาพย์ยานี
กาพย์ที่ชื่อว่า ยานี นั้น ใน ปทานุกรมกระทรวงธรรมการ อธิบายว่า ชื่อกาพย์ชะนิดหนึ่งมี ๑๑ พยางค์ จัดเป็น ๒ วรรค ๆ ต้น ๕ พยางค์ วรรคหลัง ๖ พยางค์ ในตำราฉันท์ลักษณ ของกระทรวงธรรมการกล่าวว่า กาพย์ ๑๑ เทียมอินทรวิเชียรฉันท์ เรียกว่า กาพย์ยานี ทำไมจึงเรียกว่า กาพย์ยานี ทั้งนี้ก็คือ เรียกตามคำที่เป็นตัวอย่างใน
พยางค์ต้นๆ ของกาพย์ชะนิดนี้ เพราะกาพย์ชะนิดนี้ก็ดำเนินสัมผัสกลอนอย่างเดียวกับอินทรวิเชียรฉันท์ ต่างกันแต่ว่า กาพย์ชะนิดนี้ไม่นิขมครุลหุตามแบบฉันท์ คำบาลีที่ใช้เป็นตัวอย่างของอินทรวิเชียรฉันท์ ปรากฏในหนังสือจินดามณี ของพระโหราธิบดี ใช้ในกรณียเมตตสูตร ซึ่งขึ้นต้นว่า
ยานีธ ภูตานิ สมาคตานิ
ภุมฺมานิ วายานิว อนฺตสิกฺเข
เพราะฉะนั้น คำที่เราเรียกกาพย์ชะนิดนี้ว่า ยานี ก็คือหยิบเอาคำ ๒ พยางค์ต้นในตัวอย่างนั้นมาเรียกนั่นเอง เช่นเดียวกับเราเรียกบทสวดมนต์บางบทแต่เพียงพยางค์ต้นๆ เช่น พาหุํ แทนที่จะเรียกว่า ถวายพรพระ หรืออย่างที่เรียกกันเต็มชื่อว่า อัฏฐชยมังคลคาถา หรือถ้าไปเรียกว่า อัฏฐชยมังคลคาถา เข้าบางทีจะไม่มีคนรู้จักเลย แม้ผู้ที่ได้รับการศึกษาในทางวัด แต่ถ้าเรียกว่า พาหุํ ย่อมมีผู้รู้จักดีเป็นส่วนมาก กาพย์ยานีนี้เหมือน พรหมดีติ ในกาพย์ สารวิสาละนี และกาพย์ชื่อ ตรังคนที หรือ วชิราวดี ในกาพย์คันถะ
กาพย์ฉะบัง
ส่วนกาพย์ฉะบังนั้น มีจำนวนคำ ๑๖ เท่ากับวาณินีฉันท์ ในคัมภีร์วุตโตทัย และมีลักษณะสัมผัสกลอนเหมือนกับวาณินีฉันท์ ในตำราฉันท์วรรณพฤติ ของสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ต่างแต่การแบ่งวรรค คือในวาณินีฉันท์แบ่งวรรคต้น ๓ คำ วรรคกลาง ๔ คำ และวรรคหลัง ๕ คำ ส่วนในกาพย์ฉะบัง แบ่งวรรคต้น ๖ คำ วรรคกลาง ๔ คำ และวรรคหลัง ๖ คำ รวม ๑๒ เหมือนกัน
เหตุใดกาพย์ (๑๖) นี้จึงได้นามว่า กาพย์ฉะบัง โบราณเขียนเป็นฉะบำ ก็มี ยังหาเหตุผลไม่ได้ถนัด แต่คำว่า ฉะบัง นั้น เมื่อแยกพยางค์ออกไปฉะเพาะ มีคำบาลีว่า ฉะ แปลว่า หก อยู่ข้างต้น และบังเอิญจำนวนคำของกาพย์ชะนิดนี้ก็แยกเป็นวรรคต้นและวรรคสุดท้ายวรรคละ ๖ คำ แต่ก็มีวรรคกลาง ๔ คำแซกเข้ามา ได้ลองสืบหาคำว่า บัง หรือคำที่มีเสียงใกล้กับ บัง (บงง) เช่น บม บัน บง หรือเขียนเป็น บํ ก็ไม่มีคำในภาษาใดเท่าที่หาได้ อันจะแปลว่า ๔ หรือ ๑๐ มีผู้ให้ความเห็นว่า บัง ก็แปลว่า บัง-ปิด-กัน
นั่นเอง คือ หมายความว่ากาพย์ชะนิดนี้มี ๑๖ คำ วรรคหน้า ๖ วรรค หลัง ๖ ถูกกั้นด้วยวรรคกลาง ๔ อีกอย่างหนึ่ง ให้ความเห็นว่า บัง คือ บั้ง ได้แก่ ท่อน หรือ ตอน หมายความว่ากาพย์ชะนิดนี้แบ่งเป็นท่อนหรือตอน ละ ๖ คำ ก็คือวรรคนั่นเอง แต่ความเห็นทั้งสองอย่างนี้ก็ขัดแย้งอยู่บ้าง เพราะความเห็นที่ว่า บัง คือ กั้น ก็แย้งกับโบราณที่บางทีก็เขียนว่า ฉบำ และความเห็นที่ว่า บัง คือ บั้ง ก็ขัดกับที่มีวรรคกลางเป็น ๔ คำ
ผู้รู้ภาษาเขมรให้ความเห็นว่า มีคำที่ใกล้กับเสียง ฉะบัง อยู่คำหนึ่ง คือ จบัง เป็นกิริยา แปลว่าแข่งขัน เอาชัยชำนะด้วยศาสตราวุธ ฝึกทรมานก็ได้ เช่น จบังจิตต์-ทรมานใจ สั่งสอนใจ ถ้าเป็นนามยืดเสียงเป็น จำบัง แปลว่าสงคราม การรบศึก และให้ความเห็นว่า บางทีกาพย์ชะนิดนี้แต่เดิมกวีจะใช้แต่งบทกลอนว่าด้วยการรบก็ได้ แต่กาพย์ฉะบังที่เราพบเห็นอยู่ในเวลานี้ก็หาได้มีกล่าวแต่การรบกันเท่านั้นไม่ ย่อมกล่าวความอื่น
ทั่วๆ ไป แต่ประหลาดที่ในคำพากย์รามเกียรติ์เก่า ๆ หรือคำฉันท์กล่อมช้างของเก่า มักดำเนินความด้วยกาพย์ฉะบัง และในคำพากย์รามเกียรติ์นั้น ถ้าถึงตอนโศก เช่น พระรามรำพรรณในเมื่อพระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ หรือต้องศรพรหมาสตร์ เป็นต้น ก็แต่งเป็นกาพย์ยานี และถ้าจะสนับสมุนความข้อนี้ก็มีในตำราพิชัยสงครามคำกลอน อีกพอเป็นเลาๆ กล่าวไว้ว่า
อันทหารดุจใจนักเลง พอใจทำเพลง
ดีดสีตีเป่าขับรำ
ทวยหารแกล้วกล้าจงจำ เรียนเป็นลำนำ
สิบหกจงตามตำรา
แต่กลอนใน ตำราพิชัยสงคราม ที่ว่านี้ ก็หาได้มีแต่ฉะเพาะลำนำ ๑๖ (กาพย์ฉะบัง) เท่านั้นไม่ คือมีทั้งยานีและสุรางคนางค์ เป็นอันว่าเรายังไม่ไห้หลักฐานที่แน่นอนในเหตุผลของชื่อกาพย์ชะนิดนี้
๑. เป็น รปิรโก สมฺมนสิ สุเรกโณ รตฺตินฺทิวํ ก็มี ↩
๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือลงวันที่ ๒๒ และวันที่ ๒๖ กรกฎาคม บอกอะไรต่าง ๆ ไปให้ทราบนั้น ได้รับแล้ว ขอบใจเปนอันมาก
เรื่องจำเลขจำไม่ได้นั้นไม่ใช่แต่ชั้นเรา คนโบราณก็จำไม่ได้เหมือนกัน จนมีเกณฑ์ลบพุทธศักราชเปนจุลศักราชเรียกกันว่า กหํปายา อธิบายว่าเปลี่ยนเลขเปนตัวหนังสือให้เปนคำเพื่อจำได้ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจ ถ้ามีใครอธิบายให้เข้าใจต่อไปอีกก็จะขอบใจมาก
เหนช้างเท่าหมู คำนี้ฉันก็รู้ แต่เพ่งเลงไปทางว่าหมายถึงไกลเท่านั้น หาได้เพ่งเลงว่าช้างกับหมูเปนสัตว์มีรูปร่างอย่างเดียวกัน ควรเปรียบกันนั้นไม่
ที่ท่านบอกให้ทราบ ว่าจีนเรียกควายว่างัวน้ำนั้นดีมาก เปนหลักให้รู้ได้ว่าทำไมปีฉลูลางพวกงัวจึงกลายเปนควายไป ที่ท่านบอกว่าไทยลางถิ่นเรียกควายว่า คายวาย ทำให้คิดถึงลูกหญิงปลื้มจิตร แกฝึกเด็กที่บ้านให้เรียกควายว่า ค่าวาย เพราะเด็กคนนั้นเรียกว่า ฟาย ให้เรียก ควาย ก็เรียกไม่ได้ จึ่งสอนให้เรียก ค่าวาย ไปก่อน เมื่อพูดเร็วเข้าก็กลายเปน ควาย ไปเอง คำ ค่าวาย นั้น คล้ายกับคำ คายวาย ขอให้ท่านสังเกตว่าเสียงที่ถูกเอกเปนเสียงเบา เสียงที่ถูกโท (ข้างสูง) เปนเสียงหนัก เปนแอกเซนต์เท่านั้น
ท่านบอกคำใช้เรียกชื่อปีทางพายัพอีศานซึ่งเปนสองพยางค์ให้เข้าใจนั้น ขอบใจเปนอันมาก ทางพายัพอีศาน จะมีเอกศกโทศกก็ควรอยู่ แต่ทางจีนมีด้วยนั้นทำให้นึกสงสัยมาก มีคนหลายคนที่เข้าใจว่าเอกศกโทศกเปนสิ่งสำหรับนับปี แต่ฉันเห็นเป็นเลขท้ายจุลศักราชเอามานับผสมเข้ากับชื่อปี เพื่อให้รู้ว่าปีไรจุลศักราชเท่าไร ถ้าใช้พุทธศักราชหรือมหาศักราชก็ไม่มีตัวเลขที่ต้องกับเอกศกโทศกเลย ถ้าไม่เกี่ยวกับจุลศักราชทำไมต้องมีจำนวนถึงสัมฤทธิศก จะมีเพียงสัปตศกแล้วตั้งเอกศกใหม่ไม่
ได้หรือ จะดีขึ้นที่ยาวออกไปถึง ๘๔ ปี จึ่งซ้ำ แทน ๖๐ ปี อีกประการหนึ่งชื่อปีก็ไม่ต้องยืนว่าปีใดเปนเลขคู่เลขคี่ด้วย ปีชวดเปนปีต้น ควรจะนับเอกศก ซึ่งเปนเลขคี่แต่กลับเปนเลขคู่ ซึ่งมาทีหลังเลขคี่ไป ส่อตัวเองอยู่ว่าชื่อปีมีมาก่อนแล้ว ตกพ้องด้วยเลขท้ายจุลศักราชเท่าไรก็เปนไปอย่างนั้น แม้ศิลาจารึกเก่าก็ไม่เห็นมีเอกศกโทศก จึงกลัวจะเปนคิดขึ้นใหม่ในพวกและในชั้นที่ใช้จุลศักราชกัน จีนเขาไม่ได้จุลศักราชแต่ทำไมมีเอกศก โทศก สงสัยว่าจะเปนของใหม่ คิดขึ้นใช้ตามพวกที่ใช้จุลศักราช
เรื่องแต่งงาน ฉันรู้น้อยเต็มที เพราะเปนเจ้า เจ้าแต่ก่อนมีเมียตามชอบใจไม่แต่งงานเลย มามีแต่งงานเจ้าขึ้นในรัชชกาลที่ ๕ ดูเหมือนจะเปนกรมหลวงราชบุรีกับหญิงอรพัทธ์เปนประเดิม (แต่ท่านไม่ควรเอาชื่อใส่ลงไปในหนังสือที่ท่านแต่ง เปนแต่บอก
ชื่อให้ท่านทราบเท่านั้น เพื่อว่าถ้าต้องการละเอียดจะได้ค้นหาปี) แล้วจึงทำการแต่งงานเจ้าต่อมา คำ เศกสมรส นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าทรงบัญญัติขึ้น ใช้สำหรับแต่งงานเจ้า คนสามัญก็ใช้ตาม แต่เขาตัดคำ เศก ออกเสีย ด้วยเขาเห็นต่ำสูง ดูเหมือนเขาใช้ว่าแต่งงานสมรส ซึ่งแนบเนียนดี เพราะเรียกแต่ว่า แต่งงาน นั้นไม่
ได้ความ ฉันคิดว่าเปนคำบอดเพราะถูกเรียกตัด เดิมคงเรียกว่า แต่งงานบ่าวสาว เพราะคำเรียกผู้ชายว่า เจ้าบ่าว เรียกผู้หญิงว่า เจ้าสาว ใช้อยู่แต่ในการแต่งงานเท่านั้น ฉันได้ไปพบเขาแต่งงานกันเข้าโดยบังเอิญที่เมืองสุพรรณ เขามีสวดมนต์ด้วย เมื่อสวดจบแล้ว เห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งที่นอกชาลพร้อมด้วยเพื่อนบ่าวสาว ผู้เปนพิธีสวามียกบาตรน้ำมนต์ใบหนึ่งไปรดให้ แล้วญาติผู้ใหญ่ก็ยกบาตรน้ำมนต์ใบที่สองที่สามตามไปรดให้ เข้าใจว่าประเพณีนั้นเอง พาให้เชิญแขกไปรดน้ำในการ
แต่งงานทุกวันนี้ การสรวมมงคลแฝด ควรจะล่ามสายสิญจน์ไปหาพระตั้งแต่เวลาสวดมนต์ อย่างฟังสวดโกนจุก แต่ที่แต่งงานกันเดี๋ยวนี้สรวมมงคลแฝดเปล่าๆ ออกจะไม่มีมูล คำ อาวาหมงคล ค้นพจนานุกรมทางบาลีและสังสกฤตไม่พบ พบแต่ วิวาห ทางสังสกฤตบอกธาตุ วิวห๎ ไว้ว่าแย่ง ทำให้นึกถึงเรื่องแต่งงานซึ่งท่านแต่ง ระบุว่าการแต่งงานมีกี่อย่าง หนังสือพิมพ์เขาเอาไปลงพิมพ์ อ่านชอบใจเต็มที ท่านแต่งเรื่องแต่งงานไม่ควรทิ้งคำซึ่งเตยกล่าวมาแล้วนั้น
ขอบใจท่านที่ช่วยค้นคำ โล้ ให้ เปนอันเข้าใจดีแล้ว ยิ่งกว่าเข้าใจไปเสียอีก ทำให้รู้ด้วยว่าข้างจีนก็มีรถผูกโล่ข้าง ๆ แล้วซ้ำทำให้เข้าใจต่อไปอีกว่าเครื่องบังอาวุธที่เรียก โล่ นั่นเปนภาษาจีน คือ โล้ ที่เขียนเปน โล่ห์ นั้นเอาภาษามคธมาใส่เหลว โล่ ทำด้วยโลหะทางเราไม่มี เราทำด้วยหนังต่างหาก ที่คำว่า โล้ เข้าใจผิดเปนโย้โยกไปนั้นเห็นว่าผิดเพราะพูดผิดที่ ร้องว่า จิงโจ้มาโย้สำเภา นั้นเอง
ท่านให้คำกลอน จิงโจ้จับจิงจ้อแล้วส่งเสียง นั้นดีเต็มที ทำให้แปลออกว่าเพราะจิงโจ้เปนนก ช่างเขียนเขาจึงเขียนเปนรูปคนครึ่งนกครึ่ง เพราะในคำร้องจิงโจ้เปนที่ว่าเจ๊กอยู่ด้วย ถูกตามความเห็นของท่านนั้นแล้ว ฉันเคยพบคำเขมร ลางทีคำ จิ้ง ของเราเขาเปน กิ้ง สับกันไปก็มี นักปราชญ์ฝรั่งว่าอักษร ก กับ จ เปนตัวเดียวกันมี ดูก็เข้ากัน
ไปได้ แต่ฉันก็ไม่แลเห็น จิงโจ้ที่ทำแขวนเปลเด็กนั้น ตั้งใจจะทำเปนจิงโจ้ชะนิดแมงมุมหลังน้ำ เขาทำด้วยไม้ไผ่จัก ส่วนกระจับนั้นทำด้วยเศษผ้าซึ่งมีอยู่ในเรือน ที่จริง จิงโจ้ก็จิงโจ้ กระจับก็กระจับ ที่ท่านเห็นห้อยกลางเปนจิงโจ้ ห้อยริมเปนกระจับนั้น เขาทำปนกันเสียแล้ว จิงโจ้จักด้วยไม้ไผ่จะต้องเปนของมาก่อน เพราะทำด้วยของป่า กระจับมาทีหลัง เพราะทำด้วยเศษผ้าแสดงว่าจำเริญขึ้นแล้ว ชื่ออะไรต่างๆ
ต่างถิ่นไปก็เรียกไปคนละอย่างเปนธรรมดา หมอที่ใช้ตำรายาหลายอย่างก็ต้องพิจารณาให้รู้ว่าเปนตำราทางเหนือทางใต้หรือทางเรา เพราะชื่อพันธุ์ไม้เครื่องยาต่างกันไปมาก ชื่อนกซึ่งท่านว่าชื่อมันเปนไปตามเสียงร้องของมันโดยมากนั้นถูกแล้ว ฉันให้นึกประหลาดใจนายสุดเปนอย่างยิ่ง บอกอะไรได้หลายทาง เปนประโยชน์มาก ต้องเปนคนเอาใจใส่ในอะไรต่ออะไรอยู่มาก ถ้าเปนคนสามัญ จะบอกอะไรได้บ้างก็น้อย
เรื่องหนังสือ ถ้าจะไม่คิดแล้วก็อดไม่ได้ แต่เมื่อคิดเห็นก็ต้องบอกให้ท่านทราบด้วย พยัญชนของเราที่แก้จากโครงสังสกฤตมี ๙ ตัว (นับขอหยักคอหยักซึ่งเราตัตทิ้งเสียแล้วด้วย) วิธีแก้มีห้าอย่าง หยักหัวอย่างหนึ่ง หยักหลังอย่างหนึ่ง หยักตีนอย่างหนึ่ง ต่อหางอย่างหนึ่ง ขีดไส้อย่างหนึ่ง (ขีดไส้นี้หมายถึงตัว ฮ เพราะเห็นหนังสือเก่าเขา
เขียนขมวดหางอ้อมลงมาใต้หัว จึ่งเข้าใจว่าเดิมทีเขาคิดจะขีดไส้ตัว อ) แม้จะแก้ตัวใดก็เคียงไว้กับตัวเดิม โดยตั้งใจจะให้ใช้แยกกับตัวเดิมไปเล็กน้อย เปนต้นว่า ต ไม่หยักหลังเขาให้อ่านเปนเสียง ดอ ต หยักหลังเขาให้อ่านเป็นเสียง ตอ แต่ทั้งสองตัวก็นับว่าเปนตัวเดียวกัน ที่ไม่ได้ออกเสียงใช้ปะปนกันอยู่ก็มี ตัวที่แก้ไม่ใช่แก้เพื่อให้เปนอักษรสูงกลางต่ำ อักษรสูงกลางต่ำเห็นว่าคิดจัดขึ้นทีหลังการแก้เติม ถ้าแก้เติมเพื่อ
ให้เปนอักษรสูงต่ำ ทำไมไม่เอาไว้กับคู่สูงต่ำ จะคิดอย่างง่าย ๆ เรามี ส ถึงสามตัว ถ้าจะจัดเอาตัวหนึ่งเปนอักษรต่ำเสียไม่ดีหรือ ไม่ต้องเติมตัว ซ ขึ้นให้เป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องจำเพิ่มขึ้นอีกเปล่าๆ พูดถึง ส สาม แม้เรามีตามแบบสังสกฤตก็สังเกตว่า เราไม่ได้ใช้ตามแบบสังสกฤต ย่อมใช้เปรอะปรึงไป แต่ดูเหมือนจะมีทางตั้งใจอยู่อย่างหนึ่ง จะเอา ศ เปนตัวสกด ษ เปน ตัวการันต์ ส เปนตัวใช้ในเนื้อคำทั่วไป
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ยส
กรมศิลปากร
วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๑ ไว้แล้ว พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานถวายเรื่อง กหํปายา ซึ่งพระสารประเสริฐแต่งลงในหนังสือมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มาพร้อมกับหนังสือฉะบับนี้ฉะบับ ๑
ที่ตรัสเล่าถึงวิธีสอนให้ออกเสียงพยัญชนะควบเช่น ควาย เป็น ค่าวาย กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้าได้ความรู้อีกเปลาะหนึ่ง การแยกเสียงพยัญชนะควบโดยวิธีเพิ่มเสียงสระอย่างนี้ เข้าหลัก สวรภักดิ์ ถ้าออกเสียงให้เร็วก็อาจฟังเป็นเสียงพยัญชนะควบได้ ที่ตรัสถึงเรื่องเอกเซนต์ก็เป็นแนวให้เห็นคำเช่น ขวาง-ว่าง กว้าง-ว้าง แคว้น-แว่น กวัด-วัด คงเป็นเพราะเน้นเสียงพยัญชนะควบตัวหลังหนักไป เสียงตัวหน้าก็หายไป ลางคำเอาเสียงสระเข้าช่วย (สวรภักดิ์) ขวาง ก็เป็น ขวง กวัด ก็เป็น กวด ไป เสียง
ชาวชนบทที่เรียกกันว่าเหน่อ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่าจะเกิดจากเอกเซนต์เหมือนกัน เอกเซนต์เป็นเหตุให้เสียงสระกลายได้ เช่น อะ-อี ถ้าเน้นที่อี ก็เกิดเป็น ไอ ถ้าเน้นที่ อะ ก็เกิดเป็นเสียง เอ (ย) อะ-โอ เน้นที่ โอ เป็น เอา ถ้าเน้นที่ อะ เป็น โอ (ว) ในภาษาฝรั่ง คำว่า bé กับ bay หรือ lo กับ low จึงผสมผิดกัน เพราะเน้นคนละที่ เสียงจึงไม่เหมือนกันทีเดียว สํสกฤต มี ไอ เอา เป็นสระสังโยค แต่บาลีเป็น เอ (ย) และ โอ (ว)
เลยทำให้นักบาลีเข้าใจผิดว่า เสียง เอ และ โอ ในภาษาไทย ซึ่งเป็นสระเดี่ยว เป็นเสียงเดียวกับ เอ (ย) และ โอ (ว) ในภาษาบาลี แล้วอธิบายสระเอ และ โอ ในเสียงภาษาไทยว่าเป็นสระสังโยค คำว่า อัยยการ โบราณเขียน ย เดียว แก้เป็นสอง ย เพราะเห็นว่าพ้องกับอัยการ ที่แปลว่า ช่างเหล็ก เพิ่ม ย อีกตัวหนึ่งเป็น อัยยการ ว่าแผลงมาจาก อริย คิดด้วยเกล้า ฯ ว่าคำนี้จะมาจาก อาญาการ เมื่อออกเสียง อา-อิ คือเสียง ญ และเน้นเสียงที่ อิ เสียงนั้นก็เพี้ยนเป็น ไอ ไป
เรื่องเรียกชื่อปีเป็นสองพยางค์ ฝรั่งว่าเป็นวิธีของจีนมาแต่ดึกดำบรรพ์ จีนว่าพระเจ้าอึ่งเต้ในเรื่อง ไคเภก เป็นผู้คิด ชื่อปีเป็นเอกศก โทศก ฯลฯ จีนเรียกว่า ก้านสวรรค์ทั้ง ๑๐ (10 celestial stems) ส่วนปี ๑๒ นักษัตร์ เรียกว่า กึ่งแผ่นดินทั้ง ๑๒ (12 Terrestrial branches) ถ้าที่กราบทูลมาเป็นของจีนมาแต่เดิม ก็น่าจะเข้าใจว่าชื่อปีเป็น ๑๒ นักษัตร์ ซึ่งตามตำนานว่าเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นหรือถัง ก็เป็นของเติม
วันภายหลัง ชื่อปีอย่าง ชวด ฉลู จึงแปลไม่ได้ เพราะเอาคำเติมมาเทียบเข้ากับรูปสัตว์นั้นๆ เท่านั้น จีนไม่มีศักราช แต่ใช้รอบ ๖๐ ปีเป็นเกณฑ์ ฝรั่งว่าเกิดจาก ๑๒ × ๑๐ ÷ ๒ = ๖๐ การนับ ๖๐ ปี เป็นรอบใหญ่ ประเทศแบบบิโลเนีย และอินเดีย มีใช้มาแต่ดึกดำบรรพ์เหมือนกัน ฝรั่งลงความเห็นว่าจะได้มาจากชาวแบบบิโลเนียด้วยกันทั้งจีนและอินเดีย แต่ได้ไปคนละทาง เพื่อให้ทราบจำนวนปีว่าตกอยู่ในรอบใหญ่รอบ
ไหน จีนใช้วิธีเอาชื่อรัชชกาลบอกได้ด้วย เรื่องสัปดาห ฝรั่งว่ามาจากกรีก เอา ๒๔ ชั่วโมงคูณด้วยดาวฤกษ์ทั้ง ๗ เป็น ๑๖๘ การแบ่งวันเป็น ๒๔ ชั่วโมง ว่ากรีกได้ไปจากชาวแบบบิโลเนีย และอินเดียได้มาจากกรีกสมัยเมื่อพระเจ้าอาเลกซานเดอมาตีอินเดีย ส่วนจีนใช้จำนวน ๑๐ มาแต่เดิม จึงไม่ได้ช้หลักสัปดาหเป็นเกณฑ์) คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า จุลศักราช ตามตำนานของพะม่าว่าพระเจ้าแผ่นดินพะม่าองค์หนึ่งทรงตั้ง ก็คงจะเอาความคิดเดิมที่ติดมาจากจีน คือจำนวน ๑๐ มาควบเข้า จึงไม่ได้ใช้จำนวน
สัปดาหควบ พระนามพระเจ้าแผ่นดินพะม่าที่ตั้งจุลศักราช นอกจากพระนามเดิมซึ่งเป็น ระหันโสปวา หรืออะไรข้าพระพุทธเจ้าจำไม่ได้ ยังมีพระนามที่ใช้เรียกในหนังสือฝรั่งว่า Senakaraza เคยถ่ายเป็นพระเจ้าเสนกราศ ที่จริงพะม่าเรียก สังฆ ว่า เสนฺกะ พระนามนี้จึงตรงกับ สังฆราชา เพราะพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้เดิมบวชเป็นพระสงฆ์มาก่อน ที่ตรัสถึงต้นเหตุคำว่า ศักราช ในลายพระหัตถ์ฉะบับก่อน คิดด้วยเกล้าฯ ว่าจะตัดมาจากคำเต็มว่า ศักราชสํวัตสร
เรื่องแต่งงาน ที่จะทรงพระกรุณาสอบสวนราชประเพณีในพิธีแต่งงานที่เกิดขึ้นครั้งแรกนั้น พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้าฯ ว่าจะอ้างเพียงว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชชกาลที่ ๕ ก็จะพอ วิวาห ทรงค้นได้ธาตุว่ามาจาก วิวห แปลว่า แย่ง ข้าพระพุทธเจ้าค้นดูในพจนานุกรมสํสกฤตศัพท์สากล อธิบายไว้ว่า วิ = ร่วมใจ วาห = เครื่องพา ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยว่าจะแปลหักความเอาตาม
ความหมายในรุ่นหลัง เพราะในมอเนียวิลเลียมแปลคำ วิวาห ว่า การพาเอาไป ชวนให้คิดเห็นว่าเดิมจะเปนเรื่องแย่งเอาไป เพราะพิธีแต่งงานของชาวเบงกาลี ก็มีอยู่ตอนหนึ่งที่พวกเด็ก ๆ เอาก้านกล้วยไล่ตีเจ้าบ่าว ภาษาจีนเรียกแต่งงานว่า กิ๊ดฮุน กิ๊ด=ผูกมัด ฮุน=แต่งงานหรือประเพณี แต่เขาแปล กิ๊ด ว่า เกี่ยวดองกัน อาจเป็นแปลตามความหมายตอนหลังก็ได้
ที่ทรงเห็นว่าข้าพระพุทธเจ้าควรเอาเรื่องแต่งงานมีกี่อย่าง ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าเขียนไว้เดิมใส่ไว้ด้วย พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้ ที่ข้าพระพุทธเจ้าเขียนไว้แล้ว ไม่ได้ใส่ไว้ด้วย ข้าพระพุทธเจ้าจึงกลับใจรื้อโครงที่เขียนแล้วเสียใหม่ เติมเรื่องนี้เข้าไว้ด้วย และอาจเอาเรื่อง หลบฝาก และ ฝากบำเรอ ในกฎหมายเก่ามาพูดได้ด้วย หลบฝาก เป็นเรื่องชายยอมตัวรับไช้แทนเงินสินสอด ส่วน ฝากบำเรอ เป็นเรื่องอยู่ด้วยกันแล้ว แต่การรับใช้อย่างบ่าว (ทาส) ยังไม่หมดไป ลักษณะอย่างนี้มีอยู่ในพวก
ชาวป่าชาวเขาในแหลมอินโดจีนแทบทุกพวก เรื่องรดน้ำบ่าวสาว คิดด้วยเกล้า ฯ ว่าจะเคลื่อนที่มาจากซัดน้ำต่อหนึ่ง แล้วย้ายการซัดน้ำ ซึ่งทำกันในวันสุกดิบ มาทำในวันแต่งงานเป็นอีกต่อหนึ่ง เพราะการซัดน้ำก็คือการปัดเสนียดจัญไรก่อนเข้าพิธีมงคล ไม่ควรทำภายหลังพิธี ในขุนช้างขุนแผน ตอนแต่งงานเจ้าหมื่นไวย ฯ ก็ทำพิธีซัดน้ำก่อน รุ่งขึ้นจึงตักบาตร์และเป็นวันขันหมาก ประเพณีอินเดียในวันสุกดิบก็ต้องทำพิธี หริทสนาน ชำระล้างมลทินด้วยขมิ้น
ที่ทรงปรารภว่า นายสุด รู้อะไรหลายอย่างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเคยซักคนชาวอีศานหลายคน ก็ไม่มีผู้รู้มากอย่างนายสุด คงจะเป็นเพราะเหตุนี้ศาสตราจารย์เซเดส์ จึงได้ชักชวนเข้ามาทำงานที่หอ เพื่อตรวจสอบหนังสือทางภาคนั้น นายสุด เดิมเป็นชาวเวียงจันทน์ ภายหลังจึงมาอยู่นครจำปาศักดิ์ นายสุดว่าบิดาเป็นคนชอบหนังสือ เป็นผู้รู้คนหนึ่งในเวียงจันทน์ นายสุดจึงได้มรดกนั้นติดมา พระเถรชาวอีศาน เช่น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์และพระเมธาธรรมรสก็ชอบกับนายสุด แสดงว่าเป็นผู้มีความรู้ด้วยกัน
เรื่องพยัญชนะไทย ข้าพระพุทธเจ้าเคยค้นคว้าแล้วก็ไปติด ต้องเลิกคิดไปคราวหนึ่ง แต่ช้าๆนานๆก็จับคิดอีก คล้ายเห็นเงาในกระจก ชวนให้คิดอยู่เสมอ ที่ทรงเห็นว่าตัวพยัญชนะที่แก้รูปเป็นหยักและขีดไส้ ไม่ใช่แก้เพื่อให้เป็นอักษรสูงกลางต่ำ ซึ่งเป็นของคิดขึ้นทีหลังนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นพ้องในกระแสพระดำริ เพราะถ้าพิจารณาเสียงของภาษาไทยถิ่นอื่นมีไทยใหญ่เป็นต้น ก็มีพยัญชนะ วรรคละ ๓ ตัวเท่านั้น เช่น
ก ข ง ทั้ง ๓ ตัวนี้ เมื่อพูดมีเสียงสูงกลางต่ำอยู่ในตัว เช่น ก ก็เป็น ก และ ก๋ ข ก็เป็น ข และ ค ง ก็เป็น ง และ หงอ ใช้อยู่ในตัวเสร็จ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ที่แปลง ข เป็น ฃ ค เป็น ฅ จะต้องการตัวแรกเทียบเสียง g ในบาลี จึงต้องแก้ ค ให้แปลกออกไป เพื่อปรับเทียบกับเสียง ค ในภาษาไทย ซึ่งเป็นเสียงอโฆษหนักอ่อน คู่กับ ฃ ซึ่งเป็นเสียงอโฆษหนักแข็ง เหตุนี้การอ่านจึงเป็น ข้ และ ฃ ค่ และ ฅ ส่วน ซ ซึ่งหยักหัวจาก ช
เสียง ช ในไทยถิ่นอื่นมักเป็น จ ฉ และ ซ เสียง ช โดยตรงไม่สู้ปรากฏว่ามี เห็นจะตั้งขึ้นเพื่อปรับกับเสียง j ส่วน ซ สำหรับเสียงไทยเดิม เสียง ต ก็คงเช่นเดียวกัน เพื่อใช้สำหรับเสียงไทย เพราะ ต ในบาลีใช้ ด แทน ส ๓ ตัว ควรจะใช้เป็นเสียง ซ เสียตัวหนึ่ง ในพยัญชนะไทยใหญ่ เรียง ส ไว้ในวรรค จ แต่อ่านเป็น ส และ ซ แล้วแต่คำ พอถึงวรรค ย ก็เอา ส มาเรียงไว้อีก แต่เรียงไว้เฉย ๆ เท่านั้น ลางที ส จะสำหรับปรับกับเสียง ส ในบาลี ส่วน ห คงปรับเข้ากับ ห ในบาลี และใช้สำหรับเสียง ห ในไทย
ด้วย จึงไม่หยักหัวเพราะเสียงตรงกัน คงแยกแต่เสียง ห อย่างอ่อนคือ ฮ ไว้อีกตัวหนึ่ง โดยเอา อ มาใส่ไส้เพราะอยู่ใกล้กัน ที่ทรงเห็นว่าเดิม ศ จะเป็นตัวสกด ษ เป็นตัวการันต์ และ ส เป็นตัวใช้ในเนื้อคำ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นดังกระแสพระดำริ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า สะดวกดี ไม่ต้องจำว่าสกดหรือการันต์ด้วย ส ไหน แต่เห็นจะมียกเว้นบ้าง เช่น ศุข สวัสดิ เป็นต้น ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลได้อย่าง ขาด ๆ ด้วน ๆ เพราะคิดไปไม่ได้ตลอด แต่ก็ไม่วายคิด
เรื่องพยัญชนะวรรค ก กับ วรรค จ เพี้ยนกันได้ ข้าพระพุทธเจ้าเคยสอบปรากฏว่ามักเป็นภาษาปากเสียโดยมาก เช่น เด็กพูด กินข้าว ว่า จินเจ้า ในพายัพเรียก เกี้ยว (เก้าอี้นั่งสำหรับให้คนหาม) เพี้ยนเป็น เจี้ยว เกงตุง-เชียงตุง เขม จีนเป็น เจียม (แต้จิ๋ว) และ จัม (กวางตุ้ง) ในภาษาจีนเสียง ก ในจีนอื่นเป็นเสียง จ ในจีนหลวง แต่คำที่เพี้ยนมักเป็นพวกมีเสียงสระหน้า คือ แอ เอ และ อี รวมทั้ง อา ด้วย ลางทีจะเป็น
เพราะเสียงวรรค ก เกิดจากเพดานอ่อน ถูกเสียงสระหน้าซึ่งเกิดที่ปลายลิ้ ลากเอาออกมาได้ครึ่งทาง ก็มาตกอยู่ในเขตต์เพดานแข็ง เสียง ก จึงได้เพี้ยนเป็น จ ไป คำที่เพี้ยนระหว่าง ก กับ จ มีอยู่อีกพวกหนึ่งคือพวก ร กล้ำ แต่คงเพี้ยนจากวรรค ต มาเป็นวรรค จ แล้วเลื่อนมาเป็นวรรค ก อีกที เช่น ตรี-จรี-กรี ตรวจ-จรวด-กรวด ตรอก-จรอก-กรอก
ข้าพระพุทธเจ้าลองจับเอาบทละครในกับละครนอก มาเปรียบเทียบกันดู เห็นนี้ข้อแตกต่างกันอีกอย่างหนึ่ง คือบทละครใน เช่นเรื่อง อิเหนา หรือ รามเกียรติ์ มีบทพรรณนาถึงการแต่งองค์ทรงเครื่อง เช่นว่า ให้ไขช่อแก้วประทุมทอง ฯลฯ และมีบทชมรถชมพาหนะทรง เช่น รถเอยรถทรง หรือ ม้าเอยม้าศึก แต่ในบทละครนอกไม่มีเช่นนั้น ขอประทานทราบเกล้า ฯ ว่านี่จะเป็นข้อแตกต่างกันในส่วนสำคัญของบทละครนอกกับบทละครใน ส่วนการบรรจุเพลง เข้าใจด้วยเกล้า ฯ ว่าคงเหมือนกัน จะต่างแต่เป็นในและนอกอย่างที๋ตรัสให้ข้าพระพุทธเจ้าฟัง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
----------------------------
คัดจาก มหาวิทยาลัย เล่ม ๑๕ ฉะบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๘๐
กหังปายา
แปล ปทานุกรม ว่า เลข ๑๑๘๑ เป็นเกณฑ์สำหรับลบพุทธศักราชเป็นจุลศักราช และบอกจุลศักราชเป็นพุทธศักราช เรียกว่า กหังปายา (เช่นอยากรู้ว่าปีนี้จุลศักราชเท่าไร เอาพุทธศักราชตั้ง เขอ ๑๑๘๑ ลบ ก็รู้ว่าจุลศักราชเท่านั้น อยากรู้พุทธศักราช เอาจุลศักราชตั้ง เอา ๑๑๘๑ บวกก็รู้ได้)
วิจารณ์
(๑) ในวิทยาจารย์ (ตามที่คัดบันทึกของเขามา) เล่ม ๓๔ ตอน ๑๑ เรื่องศักราช หน้า ๑๖๘๔ ว่า ๑๑๘๑ ลำหรับใช้เป็นเกณฑ์บวกลบระวางพุทธศักราชกับจุลศักราช เรียกตามภาษาพะม่าว่า กะหัมปายา
ผู้กล่าวใน วิทยาจารย์ นั้น เห็นว่า จุลศักราชเป็นของพะม่าตั้ง และเกณฑ์นี้ใช้เกี่ยวกับจุลศักราชเท่านั้น ก็น่าจะเป็นภาษาพะม่า มีมูลอยู่ฉะนี้
ประเด็น กะหัมปายา เป็นภาษาพะม่า
(๒) ในตำราเรียนชื่อ สังโยคพิธาน (เห็นจะพิมพ์ครั้งแรก) หน้า ๔๖ กล่าวถึงสอสาม คือ ศ ษ ส ว่า ศ ษ นั้นมาในคัมภีร์สํสกฤต กับวิธีอักษรสังขยา ซึ่งนับอักษรแทนตัวเลขในคัมภีร์ วชิรสาร เป็นต้น นับตัว ห เป็นเลข ๘ ถ้าไม่มี ศ ษ แล้ว ตัว ห ก็เป็นเลข ๖ หาต้องกับวิธีกหังปายาไม่ กหังปายานี้เป็นเลขเรือนพันอย่างนี้ ก๑ หัง๘ บา๑ ยา๑ แต่กลับอยู่ตามเลขมคธ ถ้านับอย่างเลขไทย กลับเป็นดังนี้ ๑๘๑๑ สำหรับลบพุทธศักราชเป็นจุลศักราช และบวกจุลศักราชเป็นพุทธศักราชทุกปีไป
ใจความว่า อักษรเสียงสอ ซึ่งเรามีสามตัวนั้น ตัว ศ ษ มาในสํสกฤต๑ทางหนึ่ง และอีกทางหนึ่งในวิธีอักษรสังขยา คือวิธีอักษรสังขยานั้น นับตัว ห เป็นเลข ๘ ดังนี้
๑ ๒ ๓ ๔ ๘
ย ร ล ว - - ส ห ฬ
ถ้าในช่องว่างสองระยะนั้นไม่มี ศ ษ หัว ห ก็ไม่ถึง ๘ หากจะมีคำกลางสอดเข้ามาว่า มีกฎเกณฑ์อะไรที่ตัว ห ต้องเป็น ๘ จะเป็นเลขอื่นบ้างไม่ได้หรือ ? ก็ต้องเฉลยว่า เพราะคำ กหังปายา นั้น คือเลข ๑๑๘๑ ตัว ห จึงเป็นเลข ๘ และฉะนั้นเอง ต้องเติมตัวสออีกสองตัว คือ ศ และ ษ เพราะฉะนั้นตัว ศ และ ษ ที่มีในอักษรไทย ก็คงมาจาก
วิธีสังขยานี้อีกทางหนึ่ง ก็จะถามอีกว่า ทำไมคำ กหังปายา จึงเป็นเลข ๑๑๘๑ จะเป็นอะไร ๆ เซ่น ๑๒๓๔ ๒๓๔๕ บ้างไม้ได้หรือ? ก็ต้องตอบว่าไม้ได้เด็ด เป็นอะไรไม่ได้หมด ต้องเป็น ๑๑๘๑ เท่านั้น มิฉะนั้นจะเอาอะไรมาลบพุทธ หรือจุล หรือบวกจุลเป็นพุทธเล่า ?
ประเด็น คำ กหังปายา นั้น ตัว ก เป็นเลข ๑ หัง เป็นเลข ๘ ปา เป็นเลข ๑ และ ยา เป็นเลข ๑ ย้อนหลังอย่างไทยแปลมคธ จึ่งเป็น ๑๑๘๑
(๓) ในคัมภีร์วชิรสาร ที่สังโยคพิธานอ้างนั้น บอกวิธีอักษรสังขยาไว้ดังนี้
(ก) กาทีริตา นวสงฺขฺยา กเมน ฏาทิ ยาทิ จ ฯ
ปาทโย ปฺจสงฺขฺยาติ สฺุา นาม สรา ณนา ฯ
นักปราชญ์ท่านแปลไว้ท้ายตำรา อักษรนิติ ทื่อยู่ต่อตำราจินดามณี เป็นโคลงว่า
ก ฎ ย อยู่ต้น ศัพท์เนา
นามนพสังขยาเรา เรียบไว้
แต่ ป ตราบ ม เหมา ห้าหมู่ เบญจนา
สวร ญ น ไสร้ เหล่าล้วนเลขศูนย์
ถอดความแปล อักษรตั้งแต่ตัว ก ไป ตั้งแต่ตัว ฏ ไป และตั้งแต่ตัว ย ไป เป็นสังขยาเก้า ตั้งแต่ตัว ป ไป เป็นสังขยาห้า ตัว อ ตัว ญ และตัว น เป็นศูนย์
เรียงอักษรเทียบเลขเป็นสูตร ดังนี้
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐
ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ฌ ญ
ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ต ถ ท ธ น
ป ผ พ ภ ม
ย ร ล ว - - ส ห ฬ อ
หมายเหตุ พยัญชนะที่เป็นตัวเลข ต้องเป็นพยัญชนะที่ออกเสียงอ่านได้ คือ ที่มีสระพยัญชนะที่เป็นตัวสกด ไม่ออกเสียงอ่าน ก็ไม่นับเป็นตัวเลข เช่น กหังปายา ตัว ง ไม่นับ และตัวอย่างอื่น ๆ เช่น
อ อา อิ อี ฯลฯ เป็น ๐
ก กา กิ กี ฯลฯ เป็น ๑
ขุ ขู เข โข ฯลฯ เป็น ๒
ในคัมภีร์วชิรสารนั้นเอง อ้างอีกคาถาหนึ่งว่า
(ข) กฏยาทิ - ฌธฬนฺตา นวสงฺขฺยา ปกิตฺติตา ฯ
ปาทิมนฺตา ปฺจสงฺขฺยา สฺุา นาม สรา นา ฯ
แปล อักษรขึ้นต้น ก ลงท้าย ฌ ขึ้นต้น ฏ ลงท้าย ธ และขึ้น ย ลงท้าย ฬ เป็นสังขยาเก้า อักษรขึ้นต้น ป ลงท้าย ม เป็มสังขยาห้า ตัว อ ตัว ญ และตัว น เป็นศูนย์
คงมีใจความเหมือนกันกับที่กล่าวมาแล้ว
ประเด็น มิวิธีใช้อักษรเป็นตัวเลขได้
(๔) ตัวอย่าง ท่านประพันธ์เป็นคาถาว่า :-
อนูนวิรี ภูริ อนวาทิวูทธิ ฯ
อนทุติโย เมรุ ตสฺส กมฺปิตฺถ เตชสา ฯ
แปล
(โย ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด)
อนูนวิรี ภูริ มิใช่ผู้มีเพียรหย่อนเหมือนคนอื่น(มั่นคง)ปานแผ่นดิน
อนวาทิวูทธิ มีคำตรัสไม่แปรเป็นอย่างอื่น เหมือนมหาสมุทร (อันไม่เปลี่ยนรส)
อนทุติโย เมรุ ไม่มีคนอื่นมาเทียบคู่ได้ เหมือนเขาสุเมรุ(อันเด่นที่สุด)
ตสฺส เตชสา ด้วยพระเดชแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น(ย้อนกลับอีก)
อนนวิรี ภูริ แผ่นดินอันหนา ๒๔๐๐๐๐ โยชน์ (อ=๐ น=๐ =๐ ว=๔ ร=๒)
อนวาทิวูทธิ มหาสมุทรอันลึก ๘๔๐๐๐ โยชน์ (อ=๐ น=๐ =๐ ว=๔ ท=๘)
อนทุติโย เมรุ พระสุเมรุอันสูง ๑๖๘๐๐๐ โชชน์ (อ=๐ น=๐ =๐ ท=๘ ต=๖ ย=๑)
อกมฺปิตฺถ ได้ไหวสะเทือนเลื่อนลั่น (ในเวลาเสด็จปฏิสนธิเป็นต้น)
(๕) วิธี จำนวนเลข เช่น ๒๔๐๐๐๐ นี้ เลข ๒ มีอักษรใช้ได้สี่ตัว คือ ข ฐ ผ ร เลข ๔ ก็มีอักษรสี่ตัว คือ ฆ ฒ ภ ว เลขศูนย์มี ญ น กับ อ จะใช้ตัวไหนสุดแต่ให้อยู่ในกำหนด เช่น ญ ญ ญ ญ ฆ ข หรือ อ อา อิ อี ภ ผ ฯลฯ ก็ได้ แต่ไม่เป็นภาษาที่มีความ
หมายอันใด ทั้งไม่สมกับที่มีตัวไว้เผื่อเลือกได้มาก ๆ ฉะนั้น เมื่อได้ตัวพยัญชนะตามกำหนดเลขไว้ชั้นหนึ่งแล้ว ก็เลือกตัวเหล่านั้นประสมกันให้มีคำใช้ในภาษาด้วยอีกชั้นหนึ่ง ได้ อ น ญ น ว ร ประสมให้เป็นภาษาว่า อนูนวิรี แปลได้ว่า มิใช่ผู้มีเพียรหย่อนเหมือนคนอื่น
ประเด็น อักษรเป็นตัวเลขนั้น เลิอกที่พอประสมกันเป็นภาษาได้
(๖) ในตอน ๓ (ข) ว่าอักษรขึ้นด้วย ย ลงท้าย ฬ เป็นสังขยาเก้า พอทราบได้ว่า เมื่อ ฬ เป็น ๙ ตัว ห ก็เป็น ๘ อยากทราบกระเถิบเข้าไปอีกสักหน่อยว่า ในอักษรวรรคนี้ อะไรเป็น ๖ เป็น ๗ ซึ่งตามคาดคะเนก็ต้องเป็น ศ ษ แต่คัมภีร์แสดงอักษรสังขยาที่อ้างมานั้นเป็นตำรามคธ ในภาษามคธไม่มี ศ ษ ถ้า ศ ษ เป็นเลข ๖ เลข ๗ ไซร้ วิธีอักษรสังขยานี้ก็คงได้แบบจากสํสกฤต แต่จะมีตำราชื่ออะไร ยังไม่เคยพบ ลำพังตนเองเป็นตรัสรู้ไม่ได้แน่ จะต้องเที่ยวหาฤษีมุนีไต่ถามดู
๑. เราทักท่านว่าปทานุกรมเขียนเป็น สันสกฤต ท่านว่าขณะนั้นอยู่ในระบอบเก่า และก่อนนั้นขึ้นไปอีกเขียนเป็น สังสกฤต แสดงว่ามีจอมบงการอักขรวิธีต่าง ๆ บังคับให้อ่านเป็นแม่ กง บ้าง เป็นแม่ กน บ้าง ขณะนี้เป็นระบอบใหม่แล้ว ควรให้เสรีภาพแก่ปากผู้อ่านหรือยัง ? เขียนเป็นสํสกฤต ใครจะอ่านว่า สังสกฤต สันสกฤต หรือสัมสกฤต ก็ได้ตามใจชอบ และนิคคหิตมีใช้ในภาษาไทยในศิลาจารึก หรือใน มหาชาติคำหลวง เป็นเอนก - บรรณาธิการ ↩
๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือลงวันที่ ๙ สิงหาคม ได้รับแล้ว
ขอบใจท่านเปนอันมาก ที่ช่วยตรวจหนังสือ เรื่องสมเด็จพระบรมศพ บอกไปให้ทราบ คำ สมเด็จพระบรมศพ เปนอันจำได้ถูกต้อง กรมหลวงโยธาทิพย์ กลายเปน เทพย์ ไป ที่ว่าแผ่นดินสมเด็จพระเพธราชานั้น เปนความเก็งของฉัน แต่เก็งผิด เวลานั้นท่านยังสาว ต้องแก่แล้วจึงไปบวชเปนชีอยู่วัดพุทไธสวรรย์ งานพระศพเปนแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ ควรแล้ว หลังมาอีก ๒ แผ่นดิน
จิงโจ้ ที่ว่าเปนเครื่องเรือน ฉันก็ไม่รู้
เตียบ เห็นจะเปนภาษาเขมร คำเดิมเห็นจะเปน เทียบ เขมรอ่าน ท เปน ต จึ่งเปน เตียบ ชื่อตำแหน่งคนครัวหลวงก็เรียกกันว่า เทียบนั่นเทียบนี่ แท้จริงคำ เทียบ นั้นจะเปน ทาบ เสียด้วยซ้ำ ทางเขมรเขาอ่าน ลากข้างเปนเตียบ ฉันยังไม่เคยเห็นเขาเขียนหนังสือ คำ ทาบ นั้นก็ได้แก่ ทับ ของเรานั่นเอง เขมรเขาไม่มีไม้ผัด เตียบ เปนตะลุ่มใส่ของกิน มีฝาชีในตัว ถูกแล้ว ฝาชีนั้นรูปตรงดุจกรวย ทำด้วยทองเหลือง ฝาครอบเตี้ยก็เคยเห็น แต่ตัวเปนกะบะ ไม่เปนตะลุ่ม เขาจะเรียกอะไรไม่ทราบ
ชื่อของต่าง ๆ น่าจะต้องแยกออกจากกันเสีย เพราะเรียกกันสับสนแล้วแต่จะเอาอะไรไปยัดเข้ากับอะไร ตามสมัยและตามถิ่น
โต๊ะ กับ โตก เปนคำเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเรียกการพูด แม่กก แม่กด เปน โกะ ว่าเผลาะแผละ เช่นชาวเดนมากพูดถึงดื่มเหล้าคำนับซึ่งเขียน สกด เปน สโก๊ะ ทางเราก็มี เช่น จะ เปน จัก ทำนุะ เปน ทำนุก สังสฤตก็มี เช่น ทุะข เปน ทุกข เขมรก็มี เช่น เลิส (เราเขียน เลิศ) พูดว่า เลอะ
ตั่ง คู่กับ เตียง = เตียงตั่ง เตียงสำหรับนอน ตั่งจะเปนรูปใดๆ ก็สำหรับนั่ง มีกลอนชี้ให้เห็นอยูว่า ขึ้นตั่งนั่งเตียง แท่นทองรองเรือง สุขศรีปรีดิ์เปรม ถ้าตันเรียก แท่น ถ้าโปร่งเรียก ตั่ง แต่เดี๋ยวนี้ออกจะหายไปเสียแล้ว
ตะลุ่ม ตลับ ผะอบ โถ พาน ฉันไม่ทราบว่ามาแต่อะไรทั้งนั้น รู้สึกในใจแต่ผะอบ เคยพบแต่ในหนังสือกับชื่อคน ที่เรียกสิ่งของกันทุกวันนี้ว่าอะไรเปนผะอบฉันไม่ทราบ แต่เข้าใจว่าคือโถนั่นเอง คำว่า โต๊ะโตก โพงพาน ฉันคิดเอาอย่างป่า ๆ ว่า โต๊ะ กับ
โตก เปนคำเดียวกัน โพง กับ พาน ก็ควรจะเปนคำเดียวกัน เคยได้ยินกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ตรัสว่า ทางอุบลเขาเรียก พาน ว่า พา ทรงคาดคะเนว่าจะเปน ภาชนะ จะอย่างไรฉันก็ไม่ทราบ คำ พะโอง ฉันจำได้ว่าฉันเคยวินิจฉัยให้วรรณคดีสมาคมไปว่า สูง พานพะโอง ว่าพานสูง เอาคำพะโองขึ้นตาลเปนต้นมาปรับเข้า
คำว่า จอก คิดว่าเดิมจะหมายถึงว่าเปนภาชนะเล็ก คำว่า ถ้วย เข้าใจว่าหมายถึงเครื่องเคลือบ (Porcelain) ไม่จำต้องเปนภาชนะ ตุ๊กตาถ้วยก็มี คำที่หมายไปได้หลายอย่างนั้นมีมาก ถ้าพูดว่า ถ้วย แล้ว เดี๋ยวนี้เข้าใจกันเปนว่า ภาชนะเคลือบใบเล็กๆ ที่เรียกชามว่าถ้วยก็เคยได้ยิน เห็นว่าถูก แต่หายไป แสดงว่าไม่มีคนชอบ ที่เอาจอกมาปรับกับถ้วยนั้นปรับได้ เพราะเปนภาชนะใบเล็ก ๆ ด้วยกัน สองจอกสามจอกมาตรอกเข้า เมรีขี้เมาก็หลับไป
บรรดาชื่อของนั้นปะปนกัน เช่น จาน เคยได้ยินว่า ถ้าได้หญิงซึ่งเปนข้าหลวงเจ้าเปนเมียแล้ว ต้องถวายจานเงินจานทองแก่เจ้า แต่หญิงข้าหลวงของฉันไปมีผัวมากกว่ามากแล้ว ก็ไม่เห็นมีใครถวายจานเงินจานทองสักที เล่นเอาไม่รู้จักว่าจานรูปร่างเปนอ
ย่างไร จนได้ไปเห็นทางเมืองแขกปักษ์ใต้ เขาแต่งสำรับของกินมาให้ สำรับหวานเขาจัดขนมใส่ถาดโลหะเล็กๆ ซ้อนกันพูนสูงขึ้นไปตามทรงฝาชี จึงได้เข้าใจว่าอ้ายนี่เองคือจาน แล้วทำให้เข้าใจอีกต่อไปว่าที่ทำรูปฝาชีเปนจานสูงก็เพราะจัดของกินให้เปนจอมขึ้นไปนั่นเอง จานโลหะที่เขาจัดใส่ขนมมาให้นั้น คิดดูก็ตรงกับจานเชิงเรา
นี่เอง จานเชิงของเราก็คือเอาจานต่อตีนเข้า แล้วคิดต่อไปก็เห็นว่า โต๊ะก็เหมือนกับจานเชิง เว้นแต่ใหญ่ขึ้น แล้วก็เห็นว่าโต๊ะก็เหมือนถาด ที่ทำปุ่มเห็นจะกันไม่ให้ก้นสึก แล้วนึกถึงโต๊ะที่คลังใน มีทำที่ปุ่มถาดยืดขึ้นสูงเปนท้าวสิงห์ เขาจะเรียกอะไรไม่ทราบ แล้วพบมีขายที่โรงจำนำ แต่ไม่ใช่ของมาแต่คลังใน จำได้ว่าผิดกัน เปนทองเหลืองก็มี เปนอันเข้าใจได้ว่าตามบ้านก็มีใช้ จึงคิดจัดเอาตามใจว่าทำเล็กเปนจาน ทำใหญ่เปนถาด แล้วต่อขาเปนปุ่มขึ้นก่อนเพื่อกันลากสึก แล้วอยากให้สูงจึงทำปุ่ม
เปนขาสิงห์ แต่หักง่าย จึงแก้ทำเปนโต๊ะท้าวช้าง แล้วก็ทำจานเชิงไปเปนอย่างเดียวกัน ที่จานเชิง เชิงเปนถ้วยนั้นเห็นได้ว่าเปนของใหม่ เมื่อทำเครื่องเคลือบขึ้นได้แล้ว เพราะทำให้สอาดง่ายจึงใช้เครื่องเคลือบ แต่ก่อนคงทำด้วยโลหะอย่างที่ไปเห็นมาทางเมืองแขก บรรดาของใช้ย่อมเปลี่ยนไปเช่นนี้ จะเอาเปนแน่นอนอะไรไม่ได้ และเรียกชื่อกันก็ตามสมัยตามถิ่น แล้วก็รับเอาคำถิ่นอื่นมาเรียกตามเขาไปก็มี จะรวมเอาคำทุกคำมาแยกปรับกับชะนิดของเห็นจะไม่ได้
ดูเปนท่านนับถือช่างเขียนว่าเขารู้อะไรในโลกทุกอย่าง สิ่งที่ท่านไม่รู้จึงให้เขาเขียนรูปมาให้ดู แต่ความจริงนั้นช่างเขียนไม่มีราคาค่างวดอะไร สุดแต่เขียนเส้นให้เปนไปได้ตามใจก็เปนช่างเขียนกันเท่านั้น ที่เขียนเปนรูปอะไรขึ้นได้นั้นไม่ใช่เกิดแต่การเขียน เกิดแต่ความรู้ความสังเกตและความคิดต่างหาก คนที่ไม่ได้เปนช่างเขียนก็มีได้เหมือนกัน เว้นแต่ทำให้เปนรูปขึ้นไม่ได้เท่านั้น แท้จริงรูปเขียนย่อมเปนแต่เครื่องวัดตัวผู้เขียนว่า ตื้นลึกหนาบางเพียงไรเท่านั้น เช่นเดียวกับการแต่งหนังสือเหมือนกัน
เรื่องขันหมาก ฉันไม่มีความรู้จะพูดอะไรได้ เห็นทีหนึ่งก็ในการที่คนทรงเข้าผี แม่มดถือขันหมาก แต่นั่นก็เปนทำแต่พอเปนกิริยาบุญ ในขันมีแต่หมากอยู่ลูกเดียว ไม่มีพลู เห็นที่สุพรรณ ในงานที่เล่าให้ท่านฟังก็เห็นแต่เขาใส่เรือแห่มา ในขันจะมีอะไรบ้างหาได้เห็นไม่
พระนารายณ์ถืออะไรบ้าง ฉันเคยคลั่งมาแต่ก่อนคราวหนึ่งแล้ว ที่ว่าสี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี คำ ธรณี แปลตามศัพท์ก็ว่าแผ่นดิน ถือไม่ได้ เพื่อนเขาเห็นว่าจะหมายความว่าถือคทาเท่านั้นเอง เปน คทาธร ณี นั้นหลงเอา จักรปาณี และ เพชร
ปาณี มาใส่เข้า ฉันก็เดือดร้อนว่าเช่นนั้นก็ถือสามมือเท่านั้นเอง ไม่ครบสี่มือ เขาก็ว่าไม่เอาไว้เกาหลังบ้างเลยหรือ ฉันก็สิ้นพูด สังเกตดูรูปนารายณ์ จำสถานที่ทำในอินเดียก็เห็นถือสามอย่างเท่านั้น คือ สังข์ จักร กับไม้ท้าว อีกมือหนึ่งเขาทำเปน อภยหสฺต บ้าง เปน วรทหสฺต บ้าง เข้ารูปเหลือมือไว้เกาหลัง ฉันได้โจษจนถึง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว เมื่อตรัสสั่งให้เขียนรูปนารายณ์ ทรงพระราชวินิจฉัยว่าต้องถืออะไรต่าง ๆ ตามเวลาที่ต้องการ ใช้ตามคราวตามสมัย จะถือเอาอะไรเปนจับตัววางตายหาควรไม่ ข้อพระราชวินิจฉัยนั้นฉันเห็นสมควรอย่างยิ่ง ได้ปฏิบัติตามอยู่จนทุกวันนี้ ที่ในหนังสือเขาว่าอย่างไรนั้น ควรจะถือเอาได้แต่เปนเครื่องวัดผู้แต่ง ว่ามีความรู้ตื้นลึกหนาบางเพียงไรเท่านั้น ที่จะถือเอาเปนแบบนั้นเห็นไม่ได้ แม้ท่านจะค้นไปอีกร้อยแห่งก็คงพบพูดไม่ลงกันทั้งร้อยแห่ง
ที่นายกีแปลชื่อ สุรางคนางค์ ยานี ฉบัง นั้น ก็เปนการเล่นแปลชื่ออย่างเขาเล่นกันมาแล้วแต่ดึกดำบรรพ์, เช่น แปลชื่อเมืองลำปาง แพร่ น่าน เปนต้น จะผิดถูกอย่างไรก็ไม่มีหลักอะไรจะตัดสิน ยานีในกาพย์หรือยานีในเพลงก็เปนชื่อเหมือนกัน บอกได้เท่านั้น แขกวรเชษฐ เปนชื่อเพลง มีบทดอกสร้อยของโบราณบอกเพลงร้องจดได้ว่า แขกบรเทศ ดูเหมือนที่จดว่า แขกประเทศ ก็มี มีนักปราชญ์ตัดสินว่า ทั้งสามชื่อนั้นเปนอันเดียวกัน แต่จะผิดถูกอย่างไรก็ไม่ทราบ ไม่มีหลักจะตัดสิน
ฉบัง บอกได้ว่ามาแต่เขมร คือคำ จบัง จำบัง นั้นเอง การเปลี่ยนตัว จ เปน อ นั้นมีถมไป เช่น จบาบ เปน ฉบับ เปนต้น ฉบำ ฉบัง ซึ่งนายกีตั้งเปนปัญหาไว้นั้น ฉันอาจบอกได้ว่าเปนไปด้วยอำนาจนิคฤหิต ทางสังสกฤตอ่านเปน ม ทางมคธอ่านเปน ง ที่แท้ก็อันเดียวกัน
จะบอกความเห็นของฉัน ในเรื่องฉันท์และกาพย์ ฉันท์นั้นฉันเคยเห็นมามากจากทางอินเดียและทางไทย ส่วนกาพย์นั้นทางไทยได้เคยเห็นแต่ที่เขาแต่งแล้ว แต่ตำราไม่เคยตู ส่วนทางอินเดียนั้นไม่เคยพบ ถ้าจะว่าตามตัวอักษรกาวฺย ก็เปนคำของ กวิ อาจเปน ฉันท์ นั้นเองก็ได้ หรือกวีเขาจะพุ่งอะไรไปก็ได้ แต่เท่าที่ได้สังเกตแล้ว ทาง
อินเดียเขาเล่นครุลหุ เขาไม่เอื้อแก่คำกระทบกัน (คือสัมผัส) ทางเราเล่นคำกระทบกัน จะมีข้อบังคับอย่างไรก็ดี ถ้าบังคับด้วยครุลหุ เชื่อว่าเปนของทางอินเดีย ถ้าบังคับด้วยคำกระทบ เชื่อว่าเปนของเรา ที่เอาแบบฉันท์มาแต่งภาษาไทยเพิ่มคำกระทบเข้าด้วย ฉันเห็นเปนอุตริ แต่งยากเต็มที คำลหุของเราเกือบไม่มี ที่แต่งกันก็ขอไปทีโดยมาก คนอ่านต้องรู้คณะฉันท์จึงจะอ่านถูก ถ้าไม่รู้ก็อ่านไม่ถูก เห็นไม่ควรจะเล่นเลย
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือลงวันที่ ๑๓ ได้รับแล้ว
ขอบใจเปนอันมาก ที่คัดคำอธิบายเรื่อง กหังปายา ส่งไปให้เข้าใจ ฉันคิดเอาปรับกันเข้าไม่ได้ ด้วยวรรคหนังสือมีเพียง ๖ ไม่ถึง ๑๐ นั้นประการหนึ่ง กับเปนจำนวนถอยหลังอีกประการหนึ่ง เมื่อได้ทราบคำอธิบายว่า นับเอาตัวอักขรเปนลำดับเลข และจำนวนเปนถอยหลัง ก็เข้าใจทางได้ดีแล้ว ส่วนคำ กหังปายา จะเปนภาษาอะไรนั้นช่างเถิด
เรื่องเน้นเสียงของท่าน ดี ฉันไม่เคยคิดไปถึง
กรมหมื่นวรวัฒน์เคยพูดถึงคำ โอ เอ ว่ามีความหมายในนั้น โอ แสดงว่าประหลาดใจ เอ เอ๊ะ เปนสงสัย อ้าว เปนผิด เออ เปนถูก ฯลฯ ฉันฟังก็เห็นจริงและเห็นขัน แต่ไม่ได้คิดต่อไป
คำ อัยการ ซึ่งท่านคิดเห็นว่าเปน อาญาการ นั้นจับใจฉันยิ่งนัก เคยเห็น กฎหมายเก่า เขาเขียน อายการ เฉียดเข้าไปทีเดียว เคยเห็นในกฎมณเฑียรบาล พูดถึง อัยการสระแก้วห้ามตีโทนทับกรับฉิ่ง นั่นก็คืออาญามิใช่อื่น ที่เขียน อัยการ ก็นับว่าผิดอยู่แล้ว ซ้ำเติมเข้าเปนสอง ย อธิบายว่ามาแต่ อริย เห็นเปนเหลวทั้งนั้น ไม่เชื่อว่าจะเปนเช่นนั้น
ขอบอกความเห็นในเรื่องเห็นหนังสือ ฉันไม่เชื่อคำในหนังสือที่เห็นนั้นเลย นอกจากจะได้พิจารณาเสียก่อน เพราะคนแต่งหนังสือก็แต่งไปตามความรู้ความเห็นของตน ถ้าเปนการใกล้เวลาแต่งก็พูดไปตามที่ตนรู้ อาจรู้ผิดก็ได้ รู้ถูกก็ได้ ถ้ายิ่งไกลก็แต่งไปตามเขาว่า มีช่องจะไม่ถูกได้มาก ที่คิดเติมขึ้นใหม่ ผู้แต่งก็ไม่รู้ว่าเติม อีกประการหนึ่งผู้แต่งก็มีใจลำเอียงเข้าแก่ตัวหรือแก่เพื่อนเปนต้น เช่นสิงโตที่ดีแต่ไม่รู้ว่าใครคิด ต่างก็ลากเอาไปสู่คนในประเทศของตัวให้เปนผู้คิดได้ เถียงกันให้กลุ้มไปจนเราหัวปั่นรู้
อะไรแน่ไม่ได้ เหมือนหนึ่งสัตว์หมายปี จีนคนหนึ่งก็ลากเอาไปไห้เกิดครั้งแผ่นดินไคเภก อีกคนหนึ่งว่าในแผ่นดินฮั่น อีกคนหนึ่งว่าในแผ่นดินถัง ความจริงจะเปนอย่างไรเราก็รู้ไม่ได้ แต่ทางวิจารณนั้นเห็นได้ว่าสัตว์หมายปีนั้นเก่ามาก แม้แต่ชื่อจะเปนภาษาอะไรก็ไม่ทราบ ที่เปนชื่อพ้องกับตัวสัตว์ก็สงสัยว่าจะลากเอาชื่อปีไปเปนชื่อสัตว์ ที่มีคำอ้างว่าเอาอย่างมาจากบาบิโลนนั้นเข้าที แต่ก็ยังไม่ทราบว่าบาบิโลนเขามีอย่างไร
พระนารายณ์ ถืออะไรที่บอกมาก่อนนี้ นักปราชญ์ฝรั่งเขาว่าพระนารายณ์เปนของคิดขึ้นใหม่ เช่นเทวดารนคัมภีร์ปุราณะ ไม่ใช่ชั้นคัมภีร์เวทนั่นเปนทางฟังได้โดยทางวิจารณว่าเปนของคิดใหม่ ต่างคนต่างคิด จะให้ถืออะไรไปตามใจคิด ความคิดของคนย่อมต่างกันเสมอ
เดือนทางอินเดียให้ชื่อตามดาวฤกษ์ ทางเราให้ชื่อเปนนำเบออย่างจีน ทางฝรั่งปนเปกันเลอะเทอะ เดิมทีเห็นจะนับเปนนำเบอแบ่ง ๑๐ วันทั้ง ๗ เราให้ชื่อตามเทวดาสัตตเคราะห์ ที่เปนมาทางโหร เพราะโหรนับถือเทวดาเหล่านั้น เมื่อเทียบกับทางฝรั่งตรงองค์เทวดากัน ๔ วัน คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคารกับ เสาร์ อีก ๓ วันนั้นผิดกันไป วันพุธเปนเทวดารักษาพวกเยรมัน วันพฤหัสบดีเปนพระอินทร์ วันศุกรเปนชายา
เทวดาชื่อโอดิน ฝันว่าพระโอดินนั้นเคยรู้ ตามค้นหาก็ไม่พบ แต่เชื่อแน่ว่าทางฝรั่งมาทางกรีก กรีกกับโหรเราก็นับถือเทวดาร่วง ๆ เหมือนกัน เราจะได้มาแต่ไหนนั้นไม่ทราบแน่ กรีกกับอินเดียก็เก่าด้วยกัน ศาลนพเคราะห์ทางอินเดียก็มี ทางอินเดียไม่มีวัน ๗ แต่รู้ได้ว่าอยากมีหรือเคยมี จึ่งมีคำ สัตตาหะ ทางจีนไม่มี วันทั้ง ๗ นั้นก็น่ารู้อยู่เหมือนกันว่าต้นเดิมมาแต่ไหน
ชื่อพระเจ้าแผ่นดินพะม่า ซึ่งท่านยกมากล่าว จะว่าเปน เสนกราชา หรือ สังฆราชา ก็เปนเรื่องเล่นแปลชื่อเหมือนกัน ความจริงเราไม่รู้ว่าพระนามท่านเปนอย่างไรแน่ แต่ถ้าตัดสินเปนกลางถึงท่านจะทรงผนวช จะทรงพระนามว่า เสนกราชา ก็ไม่ขัดข้อง คำ สังฆราช ไม่จำต้องพึ่งพระนามท่าน คำ ศักราช ท่านคิดว่าเปน ศักราชสํวัตสร นั้นเข้าที แต่ก็ไม่มีพยานอันจะพึงตัดสินว่าผิดถูกได้เช่นเดียวกัน
เรื่องแต่งงาน ซึ่งจับใจในคำเก่าของท่านอยู่นั้น อยู่ที่การกั้นประตู ท่านบ่งไว้เปนแสดงว่าแย่ง ถูกและต้องกับชื่อ วิวาห จึงแนะให้เอาลงไว้ด้วย ท่านคิดว่าเข้าคำในกฎหมายได้ด้วยก็ยิ่งดีขึ้นอีก
หนังสือทางไทยใหญ่ เขาเดินทางตัด เปนทางตัดช่องน้อยจำเพาะตัว เพื่อเขียนแต่ภาษาของเขา ทางเราเดินทางเติม เมื่อเขียนภาษาร้อยแปดให้ได้แต่ก็คงเปนโครงหนังสือมคธสังสกฤตอยู่ด้วยกัน ทางไหนจะดีกว่ากันก็ตัดสินยาก ที่ไทยใหญ่เอาตัว ส ไปใส่ไว้ในวรรค จ อีกตัวหนึ่งนั้น พอจะอธิบายได้ด้วยภาษาเรามักพูดสับสน เอาตัว จ ฉ ช เปน ส อยู่เสมอ เช่น สลาก ฉลาก เปนต้น เอาตัว ส ไปใส่ไว้ในวรรค จ อีกก็เพื่อให้รู้ว่า ส ใช้แทนอักษรในวรรค จ ได้
ที่เปลี่ยน ก เปน จ ฉันอยากฟังอธิบายทางนักปราชญ์ ส่วนทางตัวอย่างที่มีไขว้เขวกันนั้นทราบอยู่แล้ว ความไขว้เขวมีอยู่ถมไป ไม่แต่ ก เปน จ
อักษรกล้ำ กร เห็นว่าไม่เกี่ยวแก่ จร หรือ ตร ที่จริงเราพูดอักษรกล้ำได้ยาก เช่น ตรวจ ตรา เราก็ว่า กรวด กรา อินทรา เราก็ว่า อินกรา เพิ่งจะหัดพูดกันให้ตรงได้ไม่ช้ามานี้เอง แม้กระนั้นก็ยังไม่ทั่ว เช่น สระ สรง เราก็ว่า สะ สง คิดว่าเปนด้วยครูยังไม่กระดิกหู ไม่ได้สอนกัน ไปนึกชอบทางพวกหัวเมืองใกล้เขตต์เขมร แม้แต่ผู้หญิงตัวเลว ๆ เขาก็พูดตัวควบฟังได้ถูกต้องดี
ละคอนใน กับ ละคอนนอก แต่ก่อนจะอย่างไรไม่ทราบ แต่เดี๋ยวนี้ละคอนในก็ไม่ได้ร้องลงสรงรถม้าเหมือนกับละคอนนอก คงมีแจ้งอยู่แต่ในหนังสือเท่านั้น เข้าใจว่าเขาตัดเสียด้วยเห็นเสียเวลาไม่ถูกใจคนดู คนดูย่อมต้องการเรื่อง ไม่ต้องการดูรำ ไม่ใช่ตัดแต่ลงสรงม้ารถเท่านั้น แม้รำเพลงรำเชิดเขาก็ตัดเสียเหมือนกัน เอาแต่เรื่องเปนที่ตั้ง
คิดถึงพูดเผลาะแผละดูก็ดี ไม่ต้องคำนึงถึง แม่ กก แม่ กด ที่จะฟังเข้าใจผิดนั้นเปนไปไม่ได้ เช่นภาษาของเราพูดว่า กะ อย่าง นายกะบ่าว เจ้ากะข้า เขียนหนังสือต้องแบ่งเปน กับ แก่ แต่ ต่อ ยากขึ้นอีกเปล่า ๆ
ฆ คือ ม หยักหัว ฑ ก็คือ ท หยักหัว แต่ ฆ ไม่เกี่ยวอะไรกับ ม ส่วน ฑ นั้นเกี่ยวกับ ท เชื่ยว่าวิธีหยักหัวเอาอย่างไปจาก ๒ ตัว นี้ อนึ่งที่ขีดหางตัว ฝ คิดเหตุไม่เห็น นอกจากจะเปลี่ยนให้เปนอักษรสูงคู่กับตัว ฟ
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๔๘๓
พระยาอนุมานราชธน
เรื่องละคอนในละคอนนอก ท่านก็เปนแต่เห็นบทของละคอนทั้งสองอย่างซึ่งเขายกขึ้นไว้โดยเรียบร้อยเท่านั้น หาได้ทราบความเปนไปของละคอนทั้งสองอย่างโดยแท้ไม่ จึ่งจะบอกให้ท่านทราบต่อไปนี้ให้ดีขึ้นอีก
ก่อนที่ท่านจะทราบทางแห่งละคอนทั้งสองอย่างนั้น ท่านควรจะทราบทางดำเนินของนายสี ตลกมีชื่อเสียก่อน เขาว่าออกมาจากฉากก็ต้องดูคนดูเสียก่อน ว่ามีคนชั้นสูงหรือชั้นกลางชั้นต่ำมาดูอยู่มาก ถ้ามีคนชั้นสูงมาดูมากต้องเล่นให้ขันโดยละเมียด
ไม่เจือด้วยหยาบ จึงจะถูกใจคนชั้นสูง ถ้าเห็นคนชนกลางมาดูมากต้องเล่นให้เปนสองง่าม คือจะเปนดีก็ได้เปนหยาบก็ได้ จึงจะถูกใจคนชั้นกลาง ถ้าเห็นคนชั้นต่ำมาดูมาก ต้องเล่นให้หยาบง่ามเดียวจึงจะพอใจเขา ตกเปนอันว่าเล่นไปตามนิสัยแห่งคนดูแล้วแต่เขาจะพึ่งพอใจ ทางเดียวกับคำที่เราพูดกันอยู่ว่า เทศนาตามเนื้อผ้า
อันละคอนในนั้น สำหรับเล่นถวายพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านาย กับทั้งข้าราชการดู (ที่ในวัง) จัดว่าเปนละคอนชั้นสูง ส่วนละคอนนอกนั้น สำหรับเล่นให้ราษฎรดู (ที่นอกวัง) จัดว่าเปนละคอนชั้นต่ำ ละคอนชั้นสูงกับชั้นต่ำผิดกันอย่างไร ชั้นสูงต้องมีแต่งามและไม่เจือด้วยหยาบคาย ส่วนละคอนชั้นต่ำนั้นต้องติดตลกไปในตัว เจือด้วยความหยาบ
เพราะเหตุดั่งนั้น ละคอนในกับละคอนนอกย่อมต่างกันไปตั้งแต่ท้องเรื่องทีเดียว ละคอนในมักเล่น อุนรุทธ อิเหนา เปนต้น ละคอนนอกมักเล่น สุวรรณหงษ์ (เกศสุริยง) ปิ่นทอง (แก้วหน้าม้า) เปนต้น นี่ว่าไปตามหลัก แท้จริงละคอนในเอาอย่างละคอนนอกมาเล่นก็มี ละคอนนอกเอาเรื่องของละคอนในไปเล่นก็มี แต่ทั้งสองทางย่อม
แก้ไขเอาตามสมควรอย่างกล่าวมาข้างต้นแล้ว ที่เปนตลกมากไปก็ตัดออกเสียบ้าง เอาความงามแกมเข้า ที่มีแต่งามก็เอาเล่นติดตลกเจือเข้า ตกลงก็เปนเทศนาตามเนื้อผ้านั้นเอง คำที่ว่าติดตลกนั้น หมายความว่าเล่นเปนทางตลกไปในตัว หาใช่หมายถึงเอาตลกซึ่งหากินเปนอาชีพประกอบเข้าไม่
ถ้าหากท่านจะได้ดูหนังสือบทที่เขาเล่น ท่านจะเห็นลางแห่งเขาวงเสียและแทงว่า ตัด ลางแห่งจะเห็นแทงว่า แซก นั้นคือเล่นแซกเข้าไป อย่าว่าแต่เรื่องซึ่งเปนบทละคอนอยู่เลย แม้ไม่ใช่บทละคอน เช่น ขุนช้างขุนแผน อันหนังสือเปนบทเสภา เขาก็เอามาแก้เปนบทละคอนเล่นละคอนคนได้ ถ้าท่านเห็นฉะบับที่เขาแก้ จะเห็นรอยแก้ให้ยุ่งไป เว้นแค่จะเห็นฉะบับที่เขายกแล้วก็เปนอันเรียบร้อย
บทละคอนใน ซึ่งนี้ลงสรงชมรถชมน้า เห็นมาก็มีอย่างนั้น แต่ก่อนจะอย่างไรไม่ทราบ แต่เท่าที่ฉันจำความได้ก็ไม่เห็นเขาร้องกัน เข้าใจว่าเขาตัดออกเสียแล้ว เคยเห็นแต่โขนพากย์รถ ตัวนายโรงและเสนารำท่าไปงาม ๆ คงเบื่อใจคนดูจึ่งตัดออกเสีย คิดว่าละคอนในตัดเอาอย่างละคอนนอก ซึ่งเล่นเอาแต่ตามใจคนดู
ตั้วโผละคอน คือผู้ที่คุมละคอนไปเล่นนั้นสำคัญมาก ต้องเปนผู้เอาใจใส่สังเกตคนดูว่าจะชอบใจอย่างไร ก็เปลี่ยนแปลงการเล่นไปตามใจคนดู ที่ขึ้นชื่อว่าละคอนโรงนั้นดีโรงนี้ดีก็หาใช้ดีที่ละคอนไม่ แท้จริงดีที่ตั้วโผดี ที่เข้าใจผิดไปก็เพราะตั้วโผแต่งตัวออกโรงด้วย จึ่งกลายเปนละคอนดีทั้งโรง
จะบอกซ้ำในคำ นอกใน อีก ว่าที่เรียกละคอนนอกละคอนในนั้น เปนความหมายคนละอย่างกับเพลงปี่พาทย์ไม่เกี่ยวกัน ละคอนในหมายความว่าเปนละคอนในวัง ละคอนนอกหมายความว่าเปนละคอนนอกวัง ส่วนเพลงปี่พาทย์เรียกในนอกนั้นหมายเอาปี่ ซ้ำมีกลางอีกด้วย ก็หมายเอาปี่เหมือนกัน เพราะปี่มี ๓ เลา เรียกว่า ปี่ใน ปี่
กลาง ปี่นอก จึงเรียกตามปี่ว่า ทางใน ทางกลาง ทางนอก ขลุ่ยก็มี ๑ อย่างเหมือนกัน ถ้าฆ้องระนาดเล่นกับขลุ่ยก็เรียกว่า ทางพองออ ทางรองออ ทางกรวด และเรียกตามชื่อการเล่นก็เรียก เรียกว่า ทางมโหรี ทางละคอน ทางเสภา ทางมโหรีกับทาง
พองออเปนอันเดียวกัน เพราะมโหรีใช้ขลุ่ยพองออ ต้องเลื่อนเสียงไปตามขลุ่ย ทางละคอน กับ ทางใน เปนอันเดียวกัน เพราะทำละคอนแล้วใช้ตีด้วยทางใน ทางเสภา และ ทางนอก ทางกรวด เปนอันเดียวกัน เพราะการเล่นเสภาใช้ตีด้วยทางนอก และขลุ่ยกรวดก็ตรงกับทางนอก นอกกว่านั้นก็ยังมีอีกเปน ทางชะวา ทางแคน เพราะต้องเลื่อนเสียงไปให้ตรงกับปี่ชะวาและแคน คนปี่พาทย์ ที่รู้รอบแล้วจะเรียกอย่างไร ก็เข้าใจทั้งนั้น
ทางกลาง นั้นสำหรับใช้ตีเล่นหนัง ควรจะมีเรียกว่า ทางหนัง อีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่เคยได้ยิน ถ้าหากมีแต่เลิกเรียกกันไปเสียแล้วก็จะไม่ประหลาดเลย เพราะหนังเดี๋ยวนี้เขาเลิกเล่นกันเสียแล้ว ย้ายไปเล่นหน้าจอ คือโขนหน้าจอ คงมีหนังอยู่แต่ในงานหลวง
ซึ่งเรียกกันว่า หนังหมาย เจ้าพนักงานงัดเอาหมายเมื่อ ๕๐ ปีก่อนมาดู มีอย่างไรก็ลอกหมายออกไปอย่างนั้น ไม่ต้องรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลก ผู้ได้รับหมายก็จำใจต้องจัดมาเล่น จัดมาอย่างคำที่พูดกันว่า พอเปนราชการ คือเอาหนังมาสองสามตัว ไม่ต้องเปลืองแรงขนและไม่เปลืองแรงคนเชิด ฉันไม่เคยดู หนังหมาย เคยดูแต่หุ่น
จะบอกได้ว่าเขาจัดเล่นอย่างไร เขาเล่นตอนนางลอย เมื่อหนุมานจับเบญกาย เอาหุ่นไปสองตัวแต่ลิงกับนางเท่านั้น คนเชิดก็คนเดียว เมื่อถึงบทเบญกายก็เอาสิงเสียบไว้ มาชักเบญกาย ถึงบทหนุมาน ก็เอานางเสียบไว้ มาชักหนุมาน เล่นพูดกันลากันไปตั้งแต่เช้าจนค่ำ พอเปนราชการ จะมีคนดูหรือไม่มีก็ช่าง ที่จริงหนังนั้นเขาจัดดำเนินทางเล่นไม่เหมือนกับโขน เห็นได้ว่าเก่ามาก ลางทีโขนแต่ก่อนก็จะเล่นเหมือนหนัง แต่ความเปลี่ยนแปลงไปย่อมไม่เห็นรอย
เคยได้ยินตลกอาชีพเขาพูดว่า เล่นตลกหนังนั้นเล่นยากนัก เพราะจะให้ขันได้ก็อาศรัยแต่ด้วยคำพูด จะเอาท่าทางเข้าประกอบให้ขันด้วยไม่ได้ เหตุด้วยมืดไม่แลเห็นอะไร
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย