6 ก.ย. เวลา 23:11 • ประวัติศาสตร์

มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔

๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๘๔
พระยาอนุมานราชธน
หนังสือลงวันที่ ๒๒ ได้รับแล้ว ขอบใจมากที่ช่วยค้นอะไรต่ออะไรบอกให้ทราบ ได้นึกถึงการที่เราเล่นกันอยู่นี้ว่าจะเรียกอะไรดี เหนไม่มีอะไรเหมาะกว่าที่เจ้านายตรัสเรียกว่า พุ่ง เพราะฉะนั้นจะตอบหนังสือพุ่งของท่านต่อไปนี้
โมทนาในการค้นสอบของท่าน ที่ว่าคำ สือ ไม่เกี่ยวกับ สื่อ ทำให้หลุดจากข้อสงสัยไปได้ คำ แม่สื่อ หรือ สื่อสาร ที่ก็จะมาแต่คำ ท่องสื่อ นั้นเอง ดีมากที่ได้ทราบว่าทั้ง ท่อง ทั้ง สื่อ เปนคำจีน แต่ก่อนนึกว่าเปนคำไทย ลายสือนั้นเคยได้ยินและก็เข้าใจด้วย แต่ หนังสือ นั้นไม่เข้าใจ ท่านว่าเราไม่ได้เขียนหนังสือใส่แผ่นหนัง มีแต่ทางฝรั่งนั้นนึกได้ เหนจริงด้วยแล้ว ก่อนที่จะรู้ก็เพราะต้องจัดการก่อฤกษ์อะไรต่าง ๆ เปนอย่างฝรั่ง จะเขียนประกาศบนกระดาษฝังก็กลัวจะยุ ฝรั่งเขาจึงแนะนำว่าให้เขียนบน
หนังลา เขาว่าทนนักและสั่งให้ส่งเข้ามาก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำตามเขาบอก อีกอย่างหนึ่งเหนลายฝรั่งซึ่งเขียนเปนหนังสือ แล้วหนังสือมักอยู่บนอ้ายอะไรขาดกะร่องกะแร่งม้วน ๆ ฝรั่งเขาบอกว่านั่นคือแผ่นหนัง เหล่านั้นเปนแรกรู้ว่าฝรั่งเขาเขียนหนังสือกันบนแผ่นหนัง ทางเราไม่เคยได้ยินได้ทราบเลยอย่างท่านว่า ทราบแต่เขียนขีดบนศิลาและใบไม้ ก็คำว่า หนังสือ นั้นจะมาทางไหน ฝรั่งหรือคำจีนเข้ามาสู่ภาษาเรานั้นไม่ประหลาด เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน และก็ว่าเรามาแต่จีนด้วย
คำ กะแซ ฉันไม่เคยรู้ทีเดียวว่าเปนพวกไร รู้แต่ว่าเปนชื่อพวกคน ท่านบอกให้เข้าใจขอบใจเป็นอย่างยิ่ง เรือแซ ก็เหนจะเปน เรือกะแซ นั่นเอง
​คำ ป้าย ป่าย ไป เราก็มีใช้อยู่ทั้งนั้น แต่มีความหมายไปคนละอย่างกับ พ่าย
ฉันรู้มาใหม่ ว่าคำ ย่าโม่ นั้นเปนอูฐ ว่าเปนภาษาเปอเซีย ขอพึ่งท่านจะช่วยค้นอะไรก็แล้วแต่จะสดวก พยให้ทราบได้ว่าจริงหรือไม่
เรื่องละคอนเจ้าพระยามหินทร์ ท่านคาดพลาดไปมาก เพราะท่านไม่รู้ทันคำว่า วิก ไม่ใช่หมายว่า ๗ วัน หมายว่าเดือน เดือนหงายเปนทางสดวกแก่คนที่จะไปดูละคอน ก็ตกอยู่ในราว ๗ วัน หรือยิ่งหย่อนไปกว่าก็มี ในการเก็บเอาเงินคนดูก็ไม่ใช่เอาอย่าง
ละคอนแขกฟาซี ละคอนแขกพวกนั้นมาทีหลังเจ้าพระยามหินทร์เล่นเก็บเงินเปนไหน ๆ จนมีโรงวิกเอาอย่างไปตั้งเต็มเมืองแล้ว แขกพวกนี้จึ่งมาเช่าโรงเข้าสรวม โรงวิกของเจ้าพระยามหินทร์เกิดแต่ท่านมีละคอนอยู่ ท่านก็จะเล่นดูของท่าน เพื่อการจัดแก้ไขในเรื่องที่เล่นอยู่หรือเรื่องที่จะเล่นต่อไปภายหน้า หากคนพลอยอยากดูละคอน
ของท่าน ท่านจะตัดสินให้เปนธรรมว่าจะให้ใครเข้าดูและไม่ให้เข้าดูก็มีอย่างใดที่สู้เก็บเงินเสียไม่ได้ การเก็บเงินคนดูนั้นท่านเอาอย่างฝรั่งมา ด้วยตัวท่านได้เคยเหนมาเมื่อได้ไปยุโรปในคณะทูตพิเศษของไทย ชื่อละคอน ปรินศ์เทียเตอ นั้นจะตั้งขึ้นเมื่อไรไม่ทราบแน่ แต่เปนกาลนานมาแล้ว สงสัยว่ากรมหมื่นพิชัยจะยังไม่ได้เสด็จมาสู่โลกนี้ เข้าใจว่าคำ ปรินศ์ จะหมายถึงพระองค์เจ้าจุธารัตน์ หากเปนคำฝรั่งอย่างบกพร่อง แต่ก็ไม่มีใครเรียก เรียกกันว่า ละคอนพระยามหิน หรือ ละคอนเจ้าคุณมหิน ทั้งนั้น
ตำรานิรุกติศาสตร์ ซึ่งกล่าวถึงคำพูดในภาษานั้นถูกดีเปนอย่างยิ่ง อุทาหรณซึ่งท่านกล่าวอ้างชื่อตำรานิรุกติศาสตร์ไปแต่ละอย่างก็แต่ล้วนดี ๆ ทั้งนั้น
คำ วีชนี ฉันเคยติดต่อกับผู้รู้ค้นมาพักหนึ่งแล้ว ว่าเปนพัดหรือแส้ ลางแห่งก็ปรากฏเปนพัด ลางแห่งก็ปรากฏเปนแส้ ลางแห่งก็ลง​หว่างกลาง เช่นกำหางนกยูงก็มี ฉันเหนใกล้ไปข้างไม้กวาดไม่เปนพัดเปนแส้ ความเหนนั้น ก็มาต้องกับพระราชาธิบายในพระราชหัตถเลขาเรื่องตรากรมโยธาเทศบาล ดีเต็มที
พระตะพาบ พระเต้า พระเต้าปทุมนิมิตร ฉันเคยได้ยินมาทั้งนั้น พระตะพาบ ใช้เรียกหม้อน้ำเสวย เปนรูปหม้อน้ำอย่างใหม่ จำลักลายเปนกลีบบัวไม่ใช่เฟืองอย่างหม้อน้ำเก่า ทำไมจึ่งเรียกพระตะพาบ หมายความว่าอย่างไร ยังไม่ได้คิด ทั้งเขียนลงเปนหนังสืออย่างไรก็ไม่เคยเหน พระเต้า นั้นเรียกคนโททุกอย่าง ตลอดไปคนถึงหม้อด้วย ที่กรวดน้ำซึ่งทรงใช้ เรียก พระเต้า (ทัก) ษิโณทก พระเต้าปทุมนิมิตรเปนรูปดอกบัวซ้อนกัน ๓ ชั้น เรียวแหลมขึ้นไปสูงมาก นั่นเปนหม้อจำเพาะใส่แต่น้ำมนต์ สังเกตเหนดูเหมือนมี ๓ ใบ เปนทองเงินกับสัมฤต
คำ สะตาหมัน ที่ฉันได้จากชะวาเอามาบอก ก็ได้มาแต่คำคนบอก หาได้เหนหนังสือไม่ เขาจะเขียนอย่างไรไม่ทราบ ลางทีคำคนบอกจะร่อยมาเสียแล้วก็เปนได้
ท่านพูดถึงเครื่องราชูปโภค ทำให้ฉันได้คิด ที่เรียกพานพระขันหมากนั้นเปนพานสองชั้นรูปไม้สิบสองใส่หมาก ไม่มีขันอยู่ด้วยเลย พานพระศรี เปนพานรูปกลมใส่หมากเหมือนกัน ซ้ำกัน เข้าใจว่า พานพระขันหมากเปนของเก่ามีมาก่อน พานพระศรีมีมาทีหลัง ฉันได้นึกเหมือนกันว่าขันจะมาจากโอ นายสุดก็มารับรองความคิดนั้นขึ้น เปนอันว่าคิดถูก เชี่ยนหมาก ไม่ทราบว่าเปนภาษาอะไร มาทางไหน แต่สงสัยทางมะลา
ยู ขันสลา คำ สลา ซึ่งหมายว่าหมากก็เข้าใจว่าเปนคำมะลายู ช่อดอกหมาก ฉันคิดว่าหมายถึง ลก อย่างข้างจีน พระมณฑป ก็คือขันน้ำ หากทำเปนรูปมียอดแหลมดุจมณฑป จึ่งเรียกพระมณฑป เข้าใจว่าเปนของมีมาก่อน พระเต้า คือคนโทน้ำเสวยเหมือนกัน มีอีกสิ่งหนึ่งคือกระโถนปากแตรของพระราชา เรียกว่า พระสุพรรณราช เขียนอย่างไรก็​ไม่ทราบ จะเปนว่าเครื่องทองของพระราชาก็เปนได้ หรือ ราช จะเปน ราด คือราดน้ำเราดื้อๆนี่ก็ไม่ทราบ
เครื่องราชูปโภค (เรียกตามที่เคยเรียก) แบ่งเปน ๒ ภาค พานพระขันหมาก พระสุพรรณศรี พระมณฑป พระสุพรรณราช ๔ สิ่งนี้จัดเปนของแผ่นดิน จะเสด็จออกที่ไหนก็เชิญไปตั้งไว้ที่นั่น ส่วนพานพระศรีกับอื่นอีกจัดเปนของส่วนพระองค์ที่ทรงใช้เชิญตามเสด็จ ต่อประทับที่แล้วจึ่งตั้ง ของ ๔ สิ่งมีพานพระขันหมากเปนต้นนั้น มี ๒ สำรับ สำรับ ๑ เปนทองมีลงยาเปนลางแห่งนั่นมีมาแต่เดิม ทำขึ้นในรัชกาลที่ ๔ อีกสำรับ ๑ เปนลงยาทั้งตัว
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒ มีนาคม พระเดชพระคุณล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้
เรือแซ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ในเรื่องเสียงอาจมีทางที่มาของคำได้เป็น ๒ ทาง คือ มาจาก กระแซ ทางหนึ่ง และมาจากคำว่า เซ ซึ่งเปนภาษาข่า แปลว่าแม่น้ำ เช่น ปากเซ เซลำเพา เป็นต้น อีกทางหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่เคยเห็นรูปร่าง เรือแซ ตลอดจนเรือของชาติกระแซและของข่า ซึ่งพอจะนำเอามาเปรียบเทียบพิจารณาได้
ย่าโม่ ในภาษาเปอร์เซียมีคำว่า Ya’ mal แปลว่าอูฐ แปลความที่สองว่าอดทน เชื่อง เหมาะแก่ทำงานหนัก ในภาษาฮินดูสตานี (ใช้เป็นภาษากลางในอินเดีย เป็นภาษาสํสกฤตปนเปอร์เซียและอาหรับ) มีคำว่า Jaml หรือ Jamal แปลว่าอูฐ และว่ามาจากภาษาเฮบรู (ภาษาเฮบรูและอาหรับอยู่ในตระกูลเดียวกัน เรียกว่าตระกูลภาษาเซมมิติก) นอกจากคำว่า อูฐ ในภาษาเปอร์เซียมีคำว่า แปลว่า ม้าต่าง ม้างาน ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่ทราบเกล้าฯ ว่า ย่าโม่ หมายความว่าอะไร ถ้าสังเกตดูความใน
หนังสือจดหมายเหตุหลวงอุดมสมบัติ ตอนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ตรัสว่า ย่าโม่อะไรไม่รู้ อ้ายย่าโม่อะไรที่ไหนมิรู้ น่าเกลียดน่าชังนักหนาทีเดียว ก็ดูเป็นว่า ย่าโม่เป็นตัวอะไรไม่รู้ น่าเกลียดมาก อาจปรับเข้ากับอูฐได้ เพราะไทยไม่รู้จัก และรูปร่างอูฐก็ไม่น่ารักอะไร แต่เสียง Ya’ mal ซึ่งแปลว่า อูฐ ในภาษาเปอร์เซียไกลกว่าเสียง Yābū ซึ่งแปลว่าม้าต่าง แต่คำหลังความไม่ได้ สู้ความว่า อูฐ ไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินคำ ย่าโม่ ในความว่าฝุ่นจีนที่ใช้เอาไม้พันสำลีเช็ดทาไรผมเพื่อให้​
เห็นชัด ลางทีจะเป็นคำล้อกันก็ได้ นอกจาก ย่าโม่ แปลว่าฝุ่นจีน ยังมี มุหน่าย ว่าเอาน้ำมันตานีปนปูนแดงและเขม่าสำหรับแต่งผมให้ตั้งเรียงเส้น และมี ม่าเหมียว ว่าเปนมูลของยางตัวม่าเหมียว สำหรับทาให้ผมตั้ง ข้าพระพุทธเจ้าเคยค้นหาที่มาของคำ มุหน่าย ตานี และ ม่าเหมียว หลายครั้งยังไม่พบ คงจะเพี้ยนเสียงไปไกล จึงหาในมะลายูและในฮินดูสตานีไม่ได้ตัวม่าเหมียว ข้าพระพุทธเจ้าเคยเห็นเขาใส่ขวดโหลไว้ เป็นแมลงตัวดำๆ
ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกในพระกรุณาเป็นล้นพ้น ที่ตรัสเล่าเรื่องต้นเหตุของคำว่า วิก ให้ทราบเกล้า ฯ พระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้
วิชนี ข้าพระพุทธเจ้าสอบถามนักบาลี ก็แปลว่าพัด เปิดดูในพจนานุกรมสํสกฤต-อังกฤษ ของมอรเนียร์วิลเลียมส์ แปลว่า พัด เป่าลม ในภาษาไทย คำว่า พัด ใช้ว่า วี ทุกถิ่น ส่วนคำว่า พัด ไม่พบ นายสุดชี้แจงว่าพัดในภาคอีศานใช้แก่ลมพัดเท่านั้น ส่วนคำว่า ปัด ในไทยมีทุกถิ่น ในภาษาไทยใหญ่ วี นอกจากหมายความว่า พัด หมายความว่าปัดไปมาก็ได้ เช่น วีหาง ปา(ปลา)วีหาง คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า กิริยาของ วี
พัด ปัด เป่า เป็นลักษณะคล้ายคลึงกัน ความมุ่งหมายในกิริยาของคำเหล่านี้ก็ใกล้กัน จึงทำให้ความหมายสับสนใช้ปะปนกันไป ข้าพระพุทธเจ้าได้พบในหนังสืออังกฤษเล่มหนึ่งว่า พวกมุนีเชนมีหางนกยูงกำหนึ่งสำหรับปัดที่นั่ง ในหนังสือตอนที่ข้าพระพุทธเจ้าอ่านเป็นเกี่ยวกับเรื่อองพิธีถอนผมถอนเคราของมุนีเชน ซึ่งมีอ้างถึงอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก แต่จะมีพิธีทำกันอย่างไรบ้าง ไม่มีกล่าวไว้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงแปลตอนนี้ไว้และขอประทานถวายคำแปลมาพร้อมกับหนังสือนี้ฉะบับหนึ่ง
ที่ทรงพระเมตตาตรัสอธิบายถึง พระตะพาบ พระเต้าปทุมนิมิตร ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจซาบซึ้งตลอดแล้ว เป็นพระเดชพระคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้าล้นเกล้า ฯ
​ข้าพระพุทธเจ้าได้ค้นหาคำแปลของ พระสุพรรณราช ทางมะลายู และฮินดูสตานียังไม่พบ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า สุพรรณ ในที่นี้ น่าจะเพี้ยนมาจากคำใดคำหนึ่ง เพราะพระสุพรรณศรีก็เป็นกะโถนเหมือนกัน ถ้า ศรี แปลว่าพลู สุพรรณ ก็ควรเป็นภาชนะอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องหมากพลู ข้าพระพุทธเจ้าได้ค้นดูคำว่า กะโถน คำว่า ที่บ้วน ในภาษามะลายู และในฮินดูสตานี ก็ไม่ตรงเสียงกับคำว่า สุพรรณ มีคำใกล้กับ สุพรรณ อยู่คำหนึ่งในภาษามะลายูคือ ปันสุปาริ ปัน แปลว่าพลู มาจากคำ ปรรณ สุปาริ แปลว่า
หมาก ส่วน ราด ในมะลายูมีคำว่า รัต แปลว่าแดง ซึ่งคงมาจาก รัตต ในบาลี ความไม่ได้กัน การค้นหาที่มาของคำเมื่อต้องการค้นคร่ำเคร่งก็มักไม่พบ ครั้นต่อไปลางทีไม่ได้เจตนาจะค้น ก็ไปพบเข้าเองก็มี ในเรื่องพระสุพรรณราช คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ค้นต่อไปนาน ๆ ก็คงพบ ข้าพระพุทธเจ้าอ่านหนังสือต่าง ๆ ถ้าไม่มีเรื่องติดขัดอยู่ก่อนก็มักอ่านผ่านไปเสีย
มีผู้บอกข้าพระพุทธเจ้าว่า เวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จโปรยทาน มีไม้ไผ่เหลาอย่างไม้เรียกหลายอัน ปลายบากไว้หน่อยสำหรับถูกเชือกห้อยลงมาเล็กน้อย ผูกไม้แหลม ๆ คล้ายไม้กลัด ใช้เสียบลูกมะนาวแล้วเหวี่ยงไป ไม้นี้เรียกว่า ไม้ทานตะวัน ดูเหตุผลของคำแปลกไม่เข้ากันกับที่ใช้เหวี่ยงลูกมะนาว ข้าพระพุทธเจ้าสอบถามข้าราชการในสำนักพระราชวังถึงไม้ทานตะวันนี้ ก็ไม่มีใครเคยเห็นเคยรู้จัก ต่อไปจึงได้ความว่าเป็นหน้าที่ของพระคลังข้างที่เก็บรักษาไว้ ต่อไปก็คงจะมีผู้รู้จักน้อยเข้า
ข้าพระพุทธเจ้าอ่านเรื่องชาติจามในหนังสือเล่มหนึ่ง (E.R.E. Vol. III p. 350) ว่าปี ๑๒ นักษัตรของจาม ยืมเอามาตากจีน ๆ ยืมเอามาจากตุรกี ในหนังสืออีกเล่ม ๑ ว่าด้วย
ชาติข่า (Baudesson’s Indo-China And Its Primitive People p. 281) แห่งหนึ่งว่า วิธีนับปี่เป็นจำนวน ๑๒ ชาติตุรกีเป็นผู้คิดแต่ว่าจีนเป็นตัวการที่นำเอาวิธีนับอย่างนี้มาแพร่หลาย ตลอดไปในดินแดนตะวันออกไกล อีกแห่งหนึ่งว่า ปฏิทินชาวชะวา สัปดาห์หนึ่ง​มี ๕ วัน เดือนหนึ่งมี ๖ สัปดาห์ (๖ × ๕ = ๓๐) ปีหนึ่ง ๑๐ เดือน มีชื่อเทวดาประจำเดือน เรื่องสัปดาห์หนึ่ง ๕ วัน ข้าพระพุทธเจ้าเคยอ่านพบว่าไทยในประเทศจีนลางแห่งก็เป็น ๕ วัน แค่ค้นหาหนังสือนั้นไม่เจอ
ในพงศาวดารพะม่าแห่งหนึ่ง กล่าวว่าเมื่อพระเจ้านรปติสีสุเสด็จเสวยราชย์ในกรุงพุกามเมื่อ พ.ศ. ๑๗๑๗ พระองค์โปรดให้จับอนันตสูริย บุตรของอาจารย์แห่งพระเชษฐาไปฆ่าเสีย อนันตสูริยขณะจะถูกประหาร แต่งโคลงไว้ ๕ บท มีความว่า เมื่อได้สุขแล้วก็ได้ทุกข์ เหมือนฟองน้ำผุดอยู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แล้วกล่าวข้อความอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องกรรมและสังสารทุกข์ ในที่สุดว่าไม่มีความพยาบาทอาฆาตใคร แต่งแล้ว
ให้เพ็ชฆาตนำไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน แต่เพ็ชฆาตฆ่าอนันตสูริยเสียก่อน แล้วจึงนำโคลงไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ทอดพระเนตรแล้วโปรดยกโทษให้อนันตสูริย ครั้นทรงทราบว่าเพ็ชฆาตฆ่าอนันตสูริยเสียแล้ว ก็กริ้วเพ็ชฆาต ตรัสให้นำตัวไปฆ่าเสีย เรื่องนี้คล้ายเรื่องศรีปราชญ์ ถ้าเป็นเรื่องเดียวกัน ของพะม่าแก่เวลากว่า คิดด้วยเกล้า ฯ ว่าจะมาจากอินเดียอีกต่อหนึ่ง อนันตสูริยนี้ใจกว้างกว่าศรีปราชญ์ที่ไม่ผูกพยาบาท
ข้าพระพุทธเจ้า ขอประทานถวายคำแปลเกี่ยวด้วยเรื่องภาษามาในซองนี้ด้วย ๒ ตอน๑
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
๑. ดูภาคผนวก ↩
๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๘๔
พระยาอนุมานราชธน
จะตอบหนังสือลงวันที่ ๖ มีนาคม ของท่าน
ท่านมีความเหนว่า เรือแซ อาจเปนไปได้สองทางนั้นชอบแล้ว เราจะต้องพิจารณาว่าทีจะมาทางไร อันเรือแซนั้นจำได้แน่ว่าเขา ตีกระเชียง พลกระเชียงแต่งตัวใส่กางเกงและเสื้อกับหมวกกลีบลำดวนชุดเขียวคราม คำร้องก็ผิดกับฝีพายเรา ต้นเสียงร้องว่า สัมปันเน ลูกคู่รับว่า เฮลั่กพลั่ก คิดดูในคำลูกคู่รับไม่เปนความอย่างไร นอกจากนัดให้ตีกระเชียงพร้อมกัน แต่คำต้นเสียงดูเปนเรียกชื่อเรือว่า สัมปั้น คำเรียกเรือเล็กว่า สัม
ปั้น จะเปนคำมลายูหรือคำจีนนั้นทราบไม่แน่ ส่วนรูปเรือนั้นจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าคล้ายเรือไชย คือหัวท้ายยกขึ้นพ้นน้ำ ท้ายมีเดือยยาวขึ้นไปอย่างท้ายเรือไชย เว้นแต่ไม่ยาวเท่าท้ายเรือไชยและไม่มีกนก ส่วนหัวนั้นไม่มีเดือย ดูเหมือนข้างบนจะกว้างมนแต่ข้างล่างนั้นคมแน่ เส้นล้มหัวดูเหมือนจะตรงหรือเอนไปข้างหน้าเสียด้วยซ้ำ ไม่เอนไปข้างหลังอย่างเรือไชย เรือแซนั้นล้วนแต่เขียนสีเปรอะไปทั้งนั้น เช่นเรือ
เสือทะยานชน เสือคำรนสินธุ์ ของกรมปากน้ำก็คือเรือแซนั่นเอง หัวเขียนเปนรูปเสือ ในพระราชพงศาวดารดูเหมือนมีว่าแปลงเรือแซเปนเรือไชย เรือรูปสัตว์ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แต่ได้ไปเหนรูปจำลักที่พระนครวัดมีรูปเรือไชย เรือรูปสัตว์อยู่ที่นั่น จะเปนพระนครวัดสร้างก่อนหรือทีหลังแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักพรรดิก็ไม่ทราบ ถ้าเปนสร้างก่อนนั้น คำพงศาวดารกล่าวไว้ก็ไม่จริง อีกประการหนึ่งพงศาวดารกล่าวไว้ว่า พระเจ้าทรงธรรมเสด็จขึ้นพระพุทธบาท ฝีพายเอาดอกเลามาผูกที่หัวเรือ
ไชย ทรงเห็นงามจึ่งให้ทำเรือไชยมีเดือยหัวอย่างที่ฝีพายปักดอกเลา​นั้นไว้เปนประจำ ที่ว่าอย่างนี้นึกได้ว่าเคยได้เหนรูปพงศาวดาร ดูเหมือนครั้งพระนเรศวร เขียนเรือไชยหัวไม่มีเดือย มีแต่กนกลงมาติดจมูกมังกร นั่นแปลว่าช่วยพงศาวดาร เพราะเปนคราวที่ก่อนครั้งพระเจ้าทรงธรรม แต่ดูไม่เข้าทีเลย กรมหมื่นวรวัฒนศุภากรเหนว่าเปนเข้าใจผิด ที่ว่าดอกเลาครั้งพระเจ้าทรงธรรม จะเปนภู่เรือสีเรือกราบ คือเรือพระที่นั่งเรือเจ้าซึ่งใช้ขนจามรีแทนนั่นเอง ความเหนเข้าทียิ่งนัก
อนึ่งเรือชะนิดใดซึ่งเรียกว่าเรือกิ่ง และเรือชะนิดใดซึ่งเรียกว่าเรือไชย ฉันก็ยังไม่รู้ มีคนบอกว่าเรือกิ่ง หรือเรือไชยก็หัวเปนเดือยนั่นแหละ แต่ถ้ามีกนกกลางเดือยเปนเรือกิ่ง ถ้ามีแต่กนกปลายเปนเรือไชย ฉันไม่เชื่อ เพราะเห็นว่านั่นเปนแต่ทางช่างเขาผูกเท่านั้น จะนับว่าเปนชะนิดเรือหาควรไม่ ได้หันไปหาคลำเก่าก็พบมีคำเห่เรือว่า
เรือไชยไวว่องวิ่ง รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม
เสียงเส้าเร่าระดม ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน
สังเกตเห็นว่าเปนเรือดั้ง เมื่อดูที่โคลงต้นกาพย์มีว่า
พระเสด็จประเวศด้าว ชลาลัย
ทรงรัตนพิมานไชย กิ่งแก้ว
นี่ ไชย กับ กิ่ง เข้ามาซ้อนกันอยู่ จะหมายความว่าอย่างไร ที่เรียกว่าเรือไชยสุพรรณหงษ์ก็มี เรือหงษ์ก็เปนพวกเรือรูปสัตว์ไม่ไช่หัวเดือย จะเปนได้หรือไม่ ว่าคำเรือไชยนั้นตรงกับเรือรบ ไม่ว่าจะมีรูปเปนอย่างไร ต่อหัวเป็นเดือยจึงเรียกว่าเรือกิ่ง
ตามที่พูดมานี้ติดจะยืดยาว เปนพุ่งให้ท่านคิดเล่น
ย่าโม่ คงเปนภาษาแขกอันใดอันหนึ่ง ซึ่งรากภาษามาแต่ภาษาเปอเซีย เว้นแต่เคลื่อนไป แต่ก็คงหมายเปนอูฐแน่ ขอบใจที่ท่านช่วยค้นบอกให้ได้ว่าภาษาเปอเซียเรียก ya’ mal ที่จะเปนฝุ่นจีนเหนจะเปนไปไม่ได้
​ตัวม่าเหมียวฉันก็เคยเหน เปนตัวแมลงเล็ก ๆ ดำ ๆ อย่างท่านว่า เข้าใจว่ามาแต่เมืองแขก เขาเอาขี้มันหรือตัวมันอย่างใดอย่างหนึ่ง ผสมลงไปกับเครื่องหอม เพื่อนฉันคิดว่าชื่อของมันคือ มัมมี แต่จะฟังได้หรือไม่ได้ก็สงสัย ไม่มีอะไรนอกจากว่ามันมาแต่เมืองแขก และตัวดำอย่างศพเก็บ กับชื่อของมันคล้ายมัมมีเท่านั้น
มุหน่าย เปนน้ำมันใส่ผม มีในกลอนเสภาเมื่อขุนช้างแต่งตัวว่า.........ควักมุหน่ายขึ้นป้ายปีก ฉีกผมกลางกบานให้ล้านหาย ในที่นี้จะสัเงกตได้ว่าขุนช้างหัวไม่ใช่ล้านเหม่ง ตามที่ปรากฏนี้ก็ทีจะได้แก่น้ำมันตานีนั่นเอง ปูนนั้นผสมกับอะไรก็ทำให้สิ่งนั้นแขง ที่ใช้ปูนแดงกินกับหมากก็เพราะหยิบเอาได้ง่าย
พัดก็ปัด ปัดก็พัด ขนนก ถ้าผูกเปนกำก็เปน ยุงปัด ถ้าผูกแผ่ก็เปนพัด ลงกันได้ วี ทีจะมาแต่ วีชนี
เมื่อกลับจากปินัง เหนสถานีรถไฟที่เมืองไทรมีชื่อว่า สุไหงปะตานี มาโดนเข้ากับเมืองตานีหรือปัตตานีของเรา จึ่งสอบไปก็ได้ความว่าเปนภาษามะลายู ตานี แปลว่านา ปะตานี แปลว่าชาวนา มีจริงทั้งสองอย่าง คำ โฮเตล เมื่อคราวประชุมตั้งคำ ฉันเข้าใจว่าไม่มีประสงค์จะให้เลิกเพราะเปนคำที่ใช้กันทั้งโลก คำว่า โรงแรม นั้นประสงค์ให้ใช้แก่โฮเตลเล็ก ๆ ซึ่งภาษาอังกฤษใช้เรียกว่า อิน
ที่เรียกหม้อน้ำอย่างฉลักลายเปนกลีบบัวว่าพระปทุมนั้น ฉันไม่เคยได้ยิน เคยได้ยินแต่พระเต้าปทุมนิมิตร แต่เรียกพระเต้าฉลักลายกลีบบัวว่า พระปทุม หรือ พระเต้าปทุม ก็ไม่ผิด
อนึ่งฉันลืมบอกแก่ท่านไป ว่าพานพระขันหมากสำรับเก่านั้น เขาเรียกว่า พานพระขันหมากใหญ่ จะเปนเหตุที่ใหญ่กว่าพานพระขันหมากสำรับใหม่ พระสุพรรณศรีในสำรับพานพระขันหมากใหญ่ เรียกว่า พระสุพรรณศรีบัวแฉก ได้ยินว่าของเก่าหาย
พวกมหาดเล็กเรี่ยรายกันสร้างขึ้น​แทน เพราะเปนของซึ่งเก็บไว้ที่ห้องมหาดเล็ก แต่จะเหมือนเก่าหรือไม่เหมือนนั้นให้การไม่ถูก กับที่ฉันว่าพระมณฑปเก่ากว่าคนโทนั้น เหนจะผิดไป คนโทเข้าใจว่ามาแต่กะโหลกลูกไม้ มีมะพร้าวเปนต้น แต่คนโทเท่าที่แลเหนเปนของทำใหม่ทีหลังพระมณฑปทั้งนั้น จึ่งได้ว่าพระมณฑปเก่ากว่า
สุวรรณ สุพรรณ ซึ่งแปลกันว่าทอง นั่นก็เปนทางลัดเสียแล้ว ที่แท้มีความว่าผิวงาม นี่นึกมาจากคำ พระสุพรรณราช จะต้องตราไว้ ที่ว่าเขียนพระสุพรรณราช แปลว่าเครื่องทองของพระราชา ดูเปนดีกว่าจะเขียน ราด สอบก็ไม่ได้เรื่อง พระสุพรรณภาชน์ นั้นมี เรียกโต๊ะเครื่องเสวย แต่เขาจะหมายเอาโต๊ะหรือจานกับเข้าหรือหมดด้วยกันก็ไม่ทราบ เคยได้ยินเขาเรียกอย่างนั้นเมื่อเขาแต่งของกินใส่เสร็จแล้ว
ที่ท่านว่าค้นอย่างคร่ำเคร่งก็มักไม่พบ บทจะพบก็พบเข้าเองนั้นจับใจยิ่งนัก ได้แก่ตัวฉันก็เปนเช่นนั้น คิดตกว่าอย่างที่ค้นไม่พบนั้นเพราะถ้าหากมันเคลื่อนจากคำที่ถูกไปเสียนิดเดียวก็พบไม่ได้ ที่ไปพบเข้าเองถึงจะเคลื่อนไปหน่อยก็รู้ได้ว่าคือสิ่งนั้น แต่เปนผเอิน (ฟลุก)
ไม้ทานตะวัน นั้นฉันเคยเหน สำหรับทรงทิ้งลูกมะนาวไปให้ไกล เจ้าพนักงานคอยเสียบถวาย ถ้าจะทรงทิ้งใกล้ก็โปรยด้วยพระหัตถ์ แต่ทำไมไม้นั้นจึงเรียกว่าไม้ทานตะวัน ฉันก็คิดไม่เหน
เรื่องสัตว์ประจำปี ท่านค้นบอกไปให้ทราบแต่ก่อนแล้ว ว่าทางตุรกีมีมาก่อน ตามที่ท่านพบใหม่ก็ลงรอยเดียวกัน ปีเดือนวันคืนที่ใช้ในประเทศชะวานั้นฉันไม่ทราบมาเลย จะต้องสอบถามไปดูก่อน
ศรีปราชญ์แต่งโคลงก็ดี พระร่วงลูกนาคก็ดี ท้าวแสนปมก็ดี ฉันตกลงใจแล้วว่า รับพร่าอาทานอย่างมาแต่อินเดีย ลางทีจะมีอื่นอีก ในการสอบก็เพื่อให้รู้แน่เท่านั้น
​ขอบใจท่านที่ให้สำเนาคำแปลมา ๒ เรื่อง
เรื่องลัทธิเชนนั้น ฉันได้ทราบมาก่อนแล้วว่าเชนว่าเปนชีเปลือย และศาสดาของเขาชื่อมหาวีร ตามสำเนาที่ท่านคัดให้ไป เปนว่ามหาวีร เปนลูกสิททารถ ถ้าจะว่าไปก็คือพระราหุล แต่ว่าเปนโคตรอันหนึ่งในเมืองปาฏลิบุตร ดูใหม่นัก อาจเปนชื่อพ้องกันก็ได้ เชน ก็คือ ชิน มหาวีรในลัทธิชินก็มี มิใครก็ใคร รับพร่าอาทานอย่างแก่กัน ที่จริงลัทธิชีเปลือยนั้นมีมาแต่ครั้งพุทธกาลหรือก่อนนั้นแล้ว อาจบอกรูปบอกลายในครั้ง
พุทธกาลได้ว่าเปน แฟแช่น หาดีกันในทางเปนศาสดา ธรรมะที่ข่มใจก็มีอยู่มากอย่าง ข้อใดที่ลัทธิหนึ่งเหนว่าดีก็เอาไปใช้ ข้อใดที่เหนไม่ดีก็ไม่เอา จึงมีหยาบมีละเอียด พระพุทธเจ้าของเราจึงให้ถือเอาทางกลาง คือ มชฺฌิมาปฏิปทา พิธีถอนผมหนวดเคราของพวกเชนนับว่าเปน อตฺตกิลมถานุโยค ตลอดถึงเรื่องนอนกินด้วย
เรื่องผู้พูดกับผู้ฟัง เข้าใจว่าเปนเรื่องซึ่งท่านบอกว่าจะแปลส่งไปให้เปนคราว ๆ อ่านเรื่องรู้ได้ว่าพูดดีคิดดี แต่เปนไปในทางภาษาอังกฤษ, ไม่สู้เปนประโยชน์ในภาษาไทย แต่เหนได้ในนั้นว่าไวยกรณ์นั้นเหลว
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ยส
​กรมศิลปากร
วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
ขอประทานกราบทูล ทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ทรงพระเมตตาตรัสเล่าเรื่อง เรือแซ เรือกิ่ง และ เรือไชย ทั้งนี้เป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้า ฯ หาที่สุดมิได้ คำว่า สำปัน ในคำร้องว่า สัมปันเน และ เฮลั่กพลั่ก เสียงใกล้กับ สัมปั้น ซึ่งในพจนานุกรมภาษาอังกฤษว่าเปนคำมะลายูได้ไปจากจีน หมายความถึงเรือขนาดยาวตั้งแต่ ๑๒
ถึง ๑๕ ฟุต ข้าพระพุทธเจ้าดูในพจนานุกรมภาษาจีน-อังกฤษ มีคำว่า ซำปัน หมายความว่าเรือขนาดเล็ก แปลตามคำ ซำ = สาม ปัน = บาน แผ่น รวมกันก็ว่าเรือต่อด้วยไม้สามแผ่น ในภาษามะลายู สำปั้น หมายความถึงเรือขนาดเล็ก และใช้คำอื่นประกอบเป็นชื่อเรือชะนิดต่าง ๆ เช่น สำปั้น ปันยัง = เรือยาว เป็นต้น ในการตรวจค้น
คำ สำบั้น ข้าพระพุทธเจ้าพบคำว่า kolek ในภาษามะลายูคำหนึ่ง อธิบายไว้ว่าเป็นเรือขุดขนาดแคบ รูปเพรียว ชาวยุโรปเรียกว่า koleh คำนี้เองคงมาเป็น กุแหละ ในภาษาไทย แต่เรือกุแหละของไทยรูปกลางป่องม่อต้อ ผิดกับกุแหละของมะลายู ในมะลายูมีคำ เฮลา แปลว่าฉุดลาก ใกล้คำ ซาละพาเฮโล เห็นจะเป็นคำเกิดเต่เสียงที่เปล่งออกมาในเวลาเหนื่อย จึงได้มาตรงกัน ถ้าเทียบ เฮลา กับ เฮลั่ก ดูก็ใกล้กันมาก ในมะลายูยังมีคำว่า pelok แปลว่ากอด รัด ความไม่เข้ากันกับที่ร้องในเวลาพายเรือแจวเรือ
ข้าพระพุทธเจ้าเคยเห็นเรือของพวกชาวเกาะทะเลใต้ มีรูปคล้ายเรือหงส์มีเดือยหัว ลางชะนิดก็มีรูปเป็นศีรษะจรเข้และสัตว์ต่าง ๆ คิดด้วยเกล้าฯ ว่าจะเป็นความคิดร่วมกันด้วยเผอิญ หรือมิฉะนั้นจะเกิดจากแหล่งเดียวกันก่อน แล้วแพร่หลายไปในที่ต่าง ๆ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า ​diffusion of culture ที่ทรงพระเมตตาตรัสอธิบายเรื่องเรือกิ่งเรือไชยแก่ข้าพระพุทธเจ้า กระทำให้ข้าพระพุทธเจ้ารู้จักรูปลักษณะของเรือชัดขึ้น มีประโยชน์ในการค้นคว้าของข้าพระพุทธเจ้าต่อไปเป็นอันมาก
เรื่องชื่อเรือ แม้แต่เป็นเรือของชาวบ้านใช้กัน ก็เป็นเรื่องยุ่งยาก ข้าพระพุทธเจ้าเคยรวบรวมชื่อเรือต่าง ๆ ในภาษาไทย แบ่งเป็นพวก เรือขุด เรือเสริมกราบ และ เรือต่อ การรวบรวมก็ได้แต่ชื่อ ครั้นนำเอาชื่อไปสอบกับบัญชีและลักษณะเรือต่างๆ ของกรมเจ้าท่า และรูปเรือตัวอย่างในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ และจากผู้รู้ชี้แจงให้ฟังก็มีที่ไม่ตรง
กันอยู่มาก ข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องระงับการสอบสวนอยู่เพียงนี้ คำว่า สำเภา คำหน้าพ้องกับคำ สำปั้น ค้นหาในภาษาจีนก็ไม่พบ แต่ในไทยใหญ่เรียกสำเภาว่า ซางพอ น่าจะมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน ถ้าเป็นกำปั่นไฟ ในไทยใหญ่เรียกว่า ซางพอไพ
เรื่องขุนช้างไม่ใช่ล้านเหม่ง ถ้าไม่ตรัสขึ้นข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่เห็น ได้ลองสอบถามคนอื่นก็เป็นอย่างข้าพระพุทธเจ้า เป็นน่าขันมากที่ความหมายก็เห็นอยู่อย่างหมิ่นเหม่ แต่ไม่มีใครเห็น
ที่ตรัสถึงไม้ยุงปัด ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงคำไม้กวาด ในภาษาไทยพบเรียกว่า ไม้ยู หรือไม้ยูปัดทุกแห่ง ยู ในพจนานุกรมภาษาไทยใหญ่ว่าเป็นต้นไม้จำพวกปาล์ม เอาก้านของใบมาทำไม้กวาด ทีแรกคิดด้วยเกล้า ฯ ว่าจะเป็นมะพร้าว แต่มะพร้าวไทยใหญ่มีชื่อต่างหาก เรียกว่า หมากอุ๊น ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ที่คำปากใช้
เรียกไม้กวาดว่าไม้ยังกวาด จะเพี้ยนไปจากไม้ยูปัด ก็ได้ ส่วนคำ วี น่าจะพ้องเข้ากับ วี ในวีชนีด้วยเผอิญ เพราะวี ซึ่งแปลว่าปัด มีอยู่ในภาษาไทยเป็นปกติทุกถิ่น ส่วน พัด ไม่ปรากฏมีใช้ เช่นคำว่า พัด (นาม) ก็ใช้ว่า วี หรือ หมากวี พัด (กิริยา) ก็ใช้ว่าวีคำเดียวกัน
ที่ประทานคำแปลของคำ ปะตานี ว่า ชาวนา พระเดชพระคุณล้น​เกล้า ฯ ข้าพระพุทธเจ้าเคยค้นหาในพจนานุกรมมะลายู-อังกฤษ มาพักหนึ่งก็ไม่พบ
โฮเต็ล ในเวลานี้ทางราชการเรียกว่าโรงแรมทั้งหมด ข้าพระพุทธเจ้านึกเสียดายคำว่า โฮเต็ล เพราะรู้จักกันแพร่หลายเข้าใจกันดีแล้ว ถือได้ว่าเป็นคำของกลางใช้กันทั่วโลก ไม่ใช่เป็นคำของชาติใดโดยฉะเพาะ โรงแรม ควรจะใช้ปรับเข้ากับ อิน ในภาษาอังกฤษ หรือโรงเตี้ยมของจีน ส่วน เรสโตแรง ของฝรั่ง ที่ใช้กันว่า ภัตตาคาร ก็
สะดวกดี เมื่อมีคำใช้แยกออกเป็นสามคำดั่งนี้ ก็เท่ากับภาษาไทยมีคำร่ำรวยขึ้นอีก ดีกว่าให้คำในภาษาหดไป แต่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลนี้ในแง่อักษรศาสตร์ ส่วนในแง่กฎหมาย ถ้าใช้เป็นสามอย่างจะมีขัดข้องอย่างไรบ้างไม่ทราบเกล้า ฯ
ที่ตรัสถึงเรื่องเป็น เผอิญ หรือ ฟลุก มีแปลกอยู่ที่ฟลุกนั้นผู้ที่ชำนาญมักได้ฟลุกมากกว่าผู้ที่ไม่ชำนาญ เช่นคนเล่นบิลเลียดเก่งมักได้แต้มฟลุกมากกว่าคนที่เล่นไม่เก่ง
ข้าพระพุทธเจ้าได้อ่านพบเรื่องสังข์ทองในภาษาไทยใหญ่ เรื่องเหมือนกันกับสังข์ทองพระราชนิพนธ์ จะผิดกันก็แต่พลความ อีกเรื่องหนึ่งของไทยใหญ่ เรื่องตอนต้นเหมือนจันทโครบ ส่วนตอนปลายเหมือนพระสุธน นางมโนหรา เรื่องอย่าง สังข์ทองเคยเห็นกันว่าเปนนิยายพื้นเมืองของไทยก็ไม่ผิด แต่ของเดิมทีเดียวอาจมาจากอินเดีย ของไทยใหญ่จึงมีด้วย เรื่องคล้ายสังข์ทองของอินเดียก็มีเป็นนิยายในท้อง
ถิ่นเบงคอลของชาวเบงคลี ถ้านิยายเหล่านี้มาแต่อินเดียอาจผ่านมาทางจีนในนิกายมหายานก็ได้ เพราะเรื่องต่าง ๆ ในคัมภีร์ทิวยาวทานของมหายาน ก็มีพ้องกับเรื่องในปัญญาสชาดกอยู่หลายเรื่อง ข้าพระพุทธเจ้ายังใฝ่ฝันถึงเรื่องชะนิดเรื่องท้าวแสนปม เรื่องพระร่วงลูกนาคอยู่
พระมาลาเส้าสูงมีขนนกและช่อดอกไม้ทำด้วยทองคำเสียบ เจ้าหน้าที่อธิบายให้ข้าพระพุทธเจ้าฟังว่า ช่อดอกไม้ทองคำนี้ เรียกว่าพระ​สุวรรณมาลัย ในชั้นต้นข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้า ฯ ว่าน่าจะตั้งชื่อขึ้นเอง ครั้นเปิดค้นหาคำ สำปั้น ในภาษามะลายู ก็พบคำ มาลัย ด้วยเผอิญ ในนั้นแปลไว้ว่าภู่ขนนกชะนิดหนึ่ง ดอกไม้ที่เสียบประดับผม
ข้าพระพุทธเจ้าอ่านพบในหนังสือฝรั่งชื่อ East Again by Walter B. Harris เล่าถึงเรียนพวกนาคซึ่งเป็นชาวป่าอยู่ในแคว้นอัสสัมว่า เรือนของพวกนี้มุงด้วยแฝกมีขนาดใหญ่แต่สกปรก ถ้าเป็นเรือนของคนใหญ่คนโต ปลายอกไก่ด้านหน้า มีท่อนไม้ขนาดใหญ่สลักเป็นลวดลายรูปร่างคล้ายเขากระบือกางออก... ประตูนั้นสลักเป็นรูปคนอย่างหยาบ ๆ ตอนบนของประตูมีเขากระบือหรือมีลวดลายอื่น ๆ ประดับ ดังนี้ ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าคิดไปถึงช่อฟ้า หางหงส์ และตัวเหงา ว่าจะเปนแนวเดียวกันในชั้นของเดิม
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาอนุมานราชธน
ขอประทานกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
โฆษณา