Blockdit Logo (Mobile)
ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
ยืนยันแล้ว
•
7 ก.ย. เวลา 08:23 • การเมือง

จับตา“รัฐบาลเฉพาะกิจ”4 เดือนยุบสภา???

  • ●
    พรรคประชาชน (ปชน.) มีมติโหวตสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้ง "รัฐบาลเฉพาะกิจ"
  • ●
    รัฐบาลชุดนี้มีภารกิจหลักตามข้อตกลง (MOU) คือ ต้องยุบสภา ภายใน 4 เดือน และผลักดันการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
  • ●
    นายอนุทิน ได้จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยพรรคประชาชน ซึ่งเป็นผู้โหวตให้ ยังคงทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบการทำงาน
การเมืองไทยเข้าสู่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ที่ถูกจับตามากที่สุดอีกครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎร ต้องเลือก “นายกฯ คนใหม่” ท่ามกลางความปั่นป่วนของการชิงจัดตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกิจ”
ปชน.เลือก“อนุทิน”นายกฯ
ในสมการการเมืองรอบนี้ “พรรคประชาชน” (ปชน.) ภายใต้การนำของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ กลายเป็น “ตัวแปรชี้ขาด” เพราะมีเสียง สส.ในมือ 143 เสียง มากพอจะกำหนดทิศทางเลือกตั้ง “นายกฯ คนที่ 32” และเป็นพรรคที่แสดงจุดยืนชัดว่า จะไม่เข้าร่วมรัฐบาล แต่จะใช้ “พลังฝ่ายค้าน” กำหนดกรอบการเมือง
ณัฐพงษ์ แถลง เมื่อเช้าวันที่ 3 ก.ย. 2568 ว่า หากพรรคประชาชน “งดออกเสียง” จะเสี่ยงทำให้ไม่มีใครได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง และเปิดทางให้เกิดการไหลกลับสู่ขั้วเดิม หรือ แม้แต่การกลับมาของ “นายกฯ คนนอก” ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคไม่อาจยอมรับได้
ดังนั้น พรรคประชาชนจึงตัดสินใจ “โหวตสนับสนุน” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ภายใต้ MOU การเมือง ที่กำหนดเงื่อนไขเข้มข้น
4 เดือนยุบสภาเลือกตั้งใหม่
การสนับสนุน อนุทิน ครั้งนี้ไม่ใช่ “เช็คเปล่า” หากแต่ผูกพันด้วยเงื่อนไข 5 ข้อ ที่สะท้อนความต้องการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง
1.ยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
2.หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าต้องทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ครม.ต้องดำเนินการทันที
3.หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องทำประชามติ ต้องเร่งผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางจัดทำฉบับใหม่
4.พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ขยายเป็น “รัฐบาลเสียงข้างมาก”
5.พรรคประชาชนยังคงเป็นฝ่ายค้าน ไม่ส่งคนร่วม ครม.
"ณัฐพงษ์"เตือนอย่า“ตระบัดสัตย์”
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นทางออกที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก การสนับสนุน นายอนุทิน ไม่ใช่การ "ไว้วางใจ" ให้บริหารประเทศในระยะยาว แต่เป็นการเลือกนายกฯ เพื่อ "ทำหน้าที่" ตามกรอบเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน MOU โดยเฉพาะการยุบสภา และจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคประชาชนมองว่าเป็นทางออกที่แท้จริงของประเทศ
"หากมีการบิดพลิ้วเกิดขึ้น พรรคภูมิใจไทยจะต้องแบกรับต้นทุนจากการตระบัดสัตย์ต่อประชาชน" นายณัฐพงษ์ ย้ำ
รัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง
วันเดียวกัน นายอนุทิน เดินเกมเร็ว แถลงข่าวจับมือพรรคการเมืองรวม 146 เสียง ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยทันที ได้แก่
พรรคภูมิใจไทย 68 เสียง พรรคกล้าธรรม 25 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 17 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ (กลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น) 16 เสียง พรรคเพื่อไทย (งูเห่า) 8 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 3 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 คน พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง ไทยก้าวหน้า 1 เสียง
เมื่อบวกกับเสียงโหวตจากพรรคประชาชน 143 เสียง จะทำให้อนุทิน ได้เสียงรวม 289 เสียง เกินครึ่งสภาอย่างสบาย
อนุทิน ประกาศชัดว่า “รัฐบาลนี้จะทำงานเพียง 4 เดือนตามข้อตกลง ไม่ใช่เพื่อสืบทอดอำนาจ แต่เพื่อปูทางยุบสภาและการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่”
รัฐบาลกับความเสี่ยงเศรษฐกิจ
การเกิดขึ้นของ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” 4 เดือนนี้ แม้จะสร้าง “เสถียรภาพชั่วคราว” ในเชิงการเมือง แต่สำหรับเศรษฐกิจไทย ยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง
นโยบายเศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ : ด้วยเวลาจำกัดและเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้ปัญหาค่าครองชีพ และการลงทุนชะลอต่อเนื่อง
ความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งใหญ่ : นักลงทุนและภาคธุรกิจชะลอการตัดสินใจรอผลการยุบสภา และ การเลือกตั้งใหม่
ตลาดการเงินผันผวน : ความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลต่อค่าเงินบาทและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
นักวิชาการหลายฝ่ายมองตรงกันว่า “รัฐบาลเฉพาะกิจ” จะเป็นเพียงสะพานเชื่อมไปสู่การเลือกตั้งใหม่ และจุดทดสอบที่แท้จริงอยู่ที่ว่า ภายหลัง “ยุบสภา” ประเทศไทยจะได้ “กติกาการเมืองใหม่” ที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายหรือไม่
รัฐบาลเฉพาะกิจภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 จะมีเวลาเพียง 4 เดือน เพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศแบบจำกัด และเตรียมปูทางไปสู่ “การเลือกตั้งใหม่” ตามเงื่อนไขที่พรรคประชาชนวางไว้
คำถามใหญ่คือ รัฐบาลเฉพาะกิจจะสามารถรักษาสัญญาได้หรือไม่?
หาก “ทำได้” นี่อาจเป็นก้าวแรกสู่การรีเซ็ตการเมืองไทย แต่หาก “บิดพลิ้ว” อาจเปิดทางสู่วิกฤติการเมืองรอบใหม่ ที่รุนแรงกว่าเดิม
ที่สำคัญจะนำไปสู่ “ความเสื่อม” ทั้ง พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน ที่เป็น “นั่งร้าน” ให้ “อนุทิน” ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่...
โฆษณา