8 ก.ย. เวลา 02:08 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

หว่องกวงเลี่ยง

ซาเปียว ไอ้ตาไฟ ดุทะลุตา
ในสลัมที่เก่าที่คับแคบหลังกำแพงเกาลูนซิตี้ เคยมีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางซอยแคบและกำแพงอิฐสกปรก เด็กคนนั้นชื่อหว่องกวงเลี่ยง ผู้ที่ต่อมากลายเป็นชายร่างใหญ่หน้าดุ จมูกโต แววตาเอาเรื่อง และเป็นหนึ่งในสี่มหาวายร้ายของฮ่องกงที่ผู้ชมต่างจดจำได้แม่นยำยิ่งกว่าดาราหล่อสวยทั้งหลาย
และนี้คือเรื่องราวของสี่มหาวายร้ายหนังฮ่องกงคนที่สาม
เขาเกิดเมื่อปี 1958 ในเมืองสลัมชื่อกระฉ่อนอย่างเกาลูนซิตี้ มีพี่น้องสี่คนและเขาอยู่ตรงกลาง ครอบครัวยากจนต้องย้ายไปอาศัยอยู่บ้านเช่าราคาถูกที่ซื่อหยิมชุน ชีวิตวัยเด็กของเขาไม่เคยเรียบง่าย
เมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนคาทอลิก หว่องกวงเลี่ยงกลับแสดงนิสัยแหกคอกจนถูกไล่ออกตั้งแต่อายุสิบสอง เพราะวันหนึ่งเขายืนร้องเพลง “ตงฟางหง” เพลงปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ที่ต้องห้ามในโรงเรียนคาทอลิก บวกกับท่าทีดื้อรั้นไม่ฟังใคร  และผลการเรียนที่ย่ำแย่ทำให้ถูกตัดชื่อออกจากโรงเรียนไปตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น
ชีวิตเขาหลังจากนั้นต้องเผชิญโลกโหดร้ายเพียงลำพัง ตั้งแต่อายุยังไม่เต็มสิบสามปี เขาเริ่มทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟยกติ่มซำในภัตตาคาร ต่อมาลองหัดเย็บผ้าที่ร้านตัดเสื้อในจิมซาจุ่ย แต่ด้วยความเบื่อง่ายและหัวใจไม่อาจทนอยู่กับงานซ้ำซาก เขาเปลี่ยนงานไปเรื่อย ไม่ต่างจากการเดินหาทางออกในตรอกซอกซอยมืดของเกาลูนที่เขาเติบโตมา
ชะตาชีวิตหักเหในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เมื่อเขาเข้าไปเที่ยวดิสโก้เธคในย่านจิมซาจุ่ยและได้รู้จักกับผู้สร้างผู้กำกับชื่อดังหมักตงหง คนผู้นี้เห็นแวว “นักเลงแท้” ในตัวหว่อง จึงชวนให้มาลองแสดงหนังแก้ขัดในคำสั่งฆ่าจากกวางเจา(1984) ตอนนั้นเขายังไม่คิดจะเอาดีในวงการ แต่การได้ปรากฏตัวบนจอใหญ่ครั้งนั้นเหมือนเป็นคำทำนายว่าจะหนีจากวงการนี้ไม่พ้น
ปี 1987 เขาได้รับการชักชวนจากสหายเก่า “หนานเหยียน” ให้ไปเล่นในหนัง เดือด 2 เดือด - Prison on Fire ที่กำกับโดยหลินหลิงตง และนั่นทำให้ชื่อ “ซาเปียว” ก้องไปทั่วฮ่องกง ภาพชายร่างบึก หน้าตาเหี้ยม ดวงตาโปนกะพริบวาว ที่หัวเราะแบบคนบ้าคลั่งในคุกใหญ่ ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของ “วายร้ายฮ่องกง”
แม้บทจะถูกตัดออกไปหลายฉาก แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลฮ่องกงฟิล์มอวอร์ดครั้งที่ 7 และฉายา“ตาไฟ” เพราะดวงตากลมโตและคม จ้องทีดูดุดันราวกับจะเผาคนตรงหน้าก็เริ่มสร้างตำนาน
จากนั้น สารพัดบทวายร้ายก็ปะเดปะดังให้เขา ก็ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำภาพลักษณ์ชายโง่บ้าดุดัน ที่แท้จริงไม่โง่เลยแต่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากสายตาและท่าทางดุดันเอาเรื่องเหมือนโกรธคนทั้งโลก และบท"หลี่ปา" ใน ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ "A Moment of Romance" ก็เด่นมากเสียจนคนเกลียดไปทั่วเมือง
ชีวิตนอกจอของเขาก็โลดโผนไม่แพ้ในหนัง หว่อง กวงเลี่ยงแต่งงานกับจางกุ้ยฟางในปี 1987 มีลูกชายหนึ่งคน ช่วงหนึ่งเขาลงทุนเปิดบาร์และธุรกิจการค้า แต่ก็ปิดกิจการลงและหันมาเล่นหนังเต็มตัว ช่วงกลางทศวรรษ 1990 เขาลองขยายธุรกิจไปถึงเซินเจิ้นและปักกิ่ง ร่วมหุ้นเปิดบริษัทภาพยนตร์กับยิ่นหยางหมิง รับบทเป็นทั้งผู้อำนวยการสร้างและผู้จัดจำหน่าย เขาเล่นหนังไปเกือบเก้าสิบเรื่อง ก่อนจะค่อย ๆ ถอยห่างจากวงการช่วงปลายทศวรรษนั้น
ปี 2006 เขาละทิ้งแสงสีฮ่องกงไปอยู่ตงก่วน ทำธุรกิจไม้ เหมือนจะวางมือจากวงการถาวร แต่ชีวิตคนเรามักหักเห
เส้นทางของหว่อง กวงเลี่ยงไม่เคยราบเรียบ ปี 2008 เขาเคยลงทุนสร้างหนังแอ็กชันฝรั่งเศส Last Hour ทุ่มเงินก้อนโตจนกลายเป็นทั้งนักแสดงและผู้อำนวยการสร้าง แต่เพราะปัญหาการจัดจำหน่ายทำให้หนังออกฉายไม่ได้ นอกจากวางขายเป็น DVD ผลสุดท้ายเงินก็หายวับไปกับสายลม อีกทั้งโรงไม้ในตงก่วนที่เปิดไว้ก็ล้มครืนในปี 2010  เพราะญาติที่ร่วมทุนพากันถอยหนี ทิ้งหนี้สินเกือบสิบล้านหยวนให้เขาต้องตามแก้ไข
เมื่อปี 2012 เขากลับมาสู่วงการอีกครั้ง เล่นละครทีวี 老表,你好嘢!(Inbound Troubles) ในบท “ไช่ อี้เจี๋ย” และได้รับเสียงชื่นชม และสองปีต่อมาได้หวนคืนจอเต็มตัวรับบทใหญ่เป็นพระเอกใน Fire Lines of the Triad Bosses ซึ่งเล่าเรื่องของ อดีตบอสมาเฟีย ที่เกษียณตัวเองมาเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ในชุมชน
แต่ชีวิตไม่ได้สงบสุขง่าย ๆ เพราะต้องเจอกับอดีตเพื่อนเก่า ศัตรูเก่า และคนในครอบครัวที่เข้ามาพัวพัน เกิดเรื่องราวทั้งวุ่นวาย ตลก และซาบซึ้งสลับกันไป จุดเด่นของละครคือการสอดแทรก ข้อคิดเรื่องการเกื้อกูลกันในสังคม และสะท้อนว่าบางครั้ง “คนที่ดูร้าย” ก็อาจมีด้านที่ดีมากกว่าที่คาด หว่อง กวงเหลียง รับบทเด่นในตระกูล “หลิว” ซึ่งเกี่ยวข้องกับแก๊งมาเฟียที่เป็นแกนกลางของเรื่อง
ยืนยันว่าดาวร้ายก็สามารถกลายเป็นผู้นำเรื่องได้ และเขายังพร้อมจะสู้ต่อในสนามที่คุ้นเคย
แม้จะล้มลุกคลุกคลาน แต่เขายังเป็นที่เคารพรักของเพื่อนพ้องในวงการ ทำให้เขามีที่ยืนมั่นคงในโลกภาพยนตร์ นอกจากนี้เขายังเคยเป็นศิษย์ทางดนตรีของนักดนตรีระดับโลกคือหวงจ้าน (เจมส์ หวง) ที่ชื่นชอบเสียงแหบเข้มของเขามากจนถึงขั้นออกเงินส่งให้เรียนร้องเพลง และแต่งเพลงให้ถึงสามเพลง พร้อมกับบันทึกเสียงออกมาวางจำหน่ายให้แฟนหนังได้ยินเสียงของเขาว่าตัดกับหน้าตาที่ดุดันเพียงไร
ทุกวันนี้ หว่องกวงเลี่ยงยังคงโลดแล่นอยู่ทั้งในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ แม้อายุล่วงเลยเข้าสู่หกสิบปลาย ๆ แต่ชื่อ “ซาเปียว” ก็ยังติดหูผู้ชมไม่เสื่อมคลาย เขาคือชายที่ครั้งหนึ่งถูกตราหน้าว่าเป็น “สี่มหาวายร้าย” แห่งวงการหนังฮ่องกง ทว่าในความเป็นจริง เขาคือผู้ชายที่ต่อสู้ชีวิตจากตรอกมืดในเกาลูนซิตี้ สู่จอเงินใหญ่ที่ส่องสว่าง และไม่เคยยอมแพ้ให้กับโชคชะตาที่เหี้ยมโหดพอ ๆ กับบทบาทในหนังที่เขาเคยแสดงมา
และตราบใดที่ผู้คนยังคงเปิดดู Prison on Fire หรือหนังเก่าที่เขาเคยฝากรอยตาโปนและเสียงหัวเราะบ้าคลั่งเอาไว้ ตำนานของ “ซาเปียว” ก็จะยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำ เหมือนแผลเป็นที่ไม่มีวันเลือนจากหน้าประวัติศาสตร์ภาพยนตร์จีน
สุดท้ายแล้วเขาคือตำนานมหาวายร้ายหนังฮ่องกงที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนที่เหลืออีกสามล้วน ล้วนแล้วแต่เหลือเพียงชื่อและผลงานเก่าให้จดจำ
โฆษณา