10 ก.ย. เวลา 06:52 • หุ้น & เศรษฐกิจ
[สรุป] ผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 2/2025
บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) : SABINA
ช่วงฤดูร้อนในไตรมาสที่ 2 ‘ซาบีน่า บราเลส (SABINA Braless)’ ด้วย Concept ‘สบายเหมือนไม่ได้ใส่บรา’ เบา นุ่ม ระบายอากาศได้ดี ยังคงขายดี และเป็นรุ่นที่สร้างยอดขายอย่างต่อเนื่องของ SABINA เสมอมา
‘Aging Society’ ยังคงเป็นเมกะเทรนด์ระดับโลกรวมถึงประเทศไทย ‘Sabina Forever Young’ บราที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพสำหรับสาวใหญ่นั้นบริษัทก็ยังขายอยู่พร้อมทั้งวิจัยและพัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าต่อไป
กลยุทธ์ Collab (oration) ร่วมมือกับแบรนด์อื่นเพื่อผลิตสินค้า Collection พิเศษก็ยังทำต่อเนื่อง เช่น Collab กับน้องหมีเนย ‘Sabina x Butterbear – I Love BKK’ มีทั้งชุดนอนและชุดลำลอง ต่อยอดจากรอบที่แล้วซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก ไปจนถึง ‘Sabina x AprilPoolDay’ ชุดว่ายน้ำแบรนด์ดังของคนไทยเราเอง แถมยังมีกลุ่มสินค้า ‘Unisex’ เพื่อเปิดตลาดใหม่ๆให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ไม่จำกัดอยู่แค่เฉพาะชุดชั้นในหรือเสื้อผ้าผู้หญิง
1
ช่องทางขายออนไลน์ของ ‘SABINA’ ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆจนมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมดแล้ว และล่าสุดเราสามารถสั่งซื้อสินค้าของ Sabina บน LINE MAN ได้แล้ว (เพิ่งเข้าไปส่องมาราคาดีมาก) จัดส่งสินค้าถึงหน้าบ้านภายในเวลาไม่กี่นาที
ปีนี้ (2025) จะใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท แบ่งเป็นค่า Software และปรับปรุงหน้าร้านสาขา วางเป้าหมายเปิดสาขาใหม่อีกประมาณ 10 สาขา
การขยายไปตลาดต่างประเทศไม่ได้ใช้เงินลงทุน เป็นการขายมากกว่าการไปตั้งฐานผลิต เลยจ่ายปันผลได้ 100% ต่อไป
สำหรับยอดขายในปี 2025 นี้ยังคาดหวังว่าจะโตมากกว่าปีที่แล้ว แต่เป้าหมายตอนนี้จะพยายามไปให้เท่ากับปีที่แล้วก่อน สถานการณ์ที่ไทยปะทะกับกัมพูชาก็กระทบยอดขายในภาพรวมประมาณ 2-3% และเศรษฐกิจในภาพรวมก็แย่
มาดูงบกำไร-ขาดทุนกันเสียหน่อย (งวดครึ่งปี 2025)
ยอดขาย: 1,686 ล้านบาท (ลดลง 6% YoY)
• ช่องทางขายหน้าร้าน : 972 ล้านบาท (ลดลง 12% YoY) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 58% ของยอดขายรวม
• ช่องทางขายออนไลน์ : 612 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1% YoY) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 36% ของยอดขายรวม
• รับจ้างผลิต (OEM) : 102 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 29% YoY) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6% ของยอดขายรวม
ต้นทุนขาย : 846 ล้านบาท (ลดลง 7% YoY)
กำไรขั้นต้น : 840 ล้านบาท (ลดลง 5% YoY) GPM=49.8% เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY
SG&A : 593 ล้านบาท (ทรงๆตัว YoY) SG&A to Sale=35% เพิ่มขึ้น YoY
EBIT : 254 ล้านบาท (ลดลง 17% YoY)
กำไรสุทธิ : 203 ล้านบาท (ลดลง 16% YoY) NPM=12% ลดลง YoY
สินทรัพย์รวมลดลง 10% ส่วนใหญ่เกิดจากสินค้าคงเหลือลดลง
หนี้สินรวมลดลง 33% ส่วนใหญ่เกิดจากเงินกู้ยืมระยะสั้นลดลง
มาดูแนวโน้มในอดีตกันสักหน่อย เป็นอย่างไรบ้างกับ 14 ไตรมาสย้อนหลังที่ผ่านมา
ยอดขายในไตรมาสล่าสุด (Q2/2025) ยังถือว่าไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ ยังเกาะอยู่ในค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ยอดขายเฉลี่ยไตรมาสละ 850 ล้านบาท หรือคิดแบบหยาบๆ 3,400 ล้านบาทต่อปี อาจใช้เป็นฐานรายได้ของ ‘SABINA’ ในกรณีที่อนาคตไม่มีแผนการเติบโตที่ชัดเจน และพื้นฐานกิจการไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เลวร้ายลง อาจเลือกหยิบใช้ตัวเลขนี้ไปประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ ปัจจุบันได้
กำไรขั้นต้น กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะกำไรสุทธิไตรมาสล่าสุด (Q2/2025) ที่ 100 ล้านบาท (EPS 0.29 บาท/หุ้น) ต่ำสุดในรอบ 14 ไตรมาสย้อนหลัง
GPM, NPM ถือว่าต่ำสุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ส่วน SG&A ยังเกาะอยู่ในค่าเฉลี่ย
ที่น่าสนใจก็คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และกระแสเงินสดอิสระ เฉลี่ยย้อนหลังสูงกว่ากำไรสุทธิอยู่มากโข ธุรกิจไม่มีการลงทุนหนัก เป็นเหตุให้จ่ายเงินปันผลได้ 100% ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งๆที่วงจรเงินสดเฉลี่ยอยู่ที่ 275 วัน กำไรสุทธิเฉลี่ยไตรมาสละ 110 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเฉลี่ยไตรมาสละ 160 ล้านบาท และกระแสเงินสดอิสระเฉลี่ยไตรมาสละ 135 ล้านบาท ตัวเลขแต่ละไตรมาสเป็นบวกตลอด ค่อนข้างมั่นคงพอสมควร ไม่เหวี่ยงไปมา
ดูภาพรวมรายปี ยอดขายของ ‘SABINA’ ตลอด 9 ปีย้อนหลัง (2016-2024) เติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี ก็ธรรมดาๆ ไม่แย่หรอกหากเทียบกับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่หวือหวาเลย แต่เมื่อเราลองไปดูกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิตลอด 9 ปีที่ผ่านมานั้นเติบโตเฉลี่ยถึงเกือบ 13% ต่อปี
น่าจะเป็นผลลัพธ์จากกลยุทธ์ของผู้บริหารที่พยายาม ‘Lean’ บริษัทให้เล็กลง แต่ทำกำไรได้มากขึ้น ควบรวมโรงงาน ควบรวมหน่วยงาน ลดจำนวนพนักงาน เพิ่มทักษะพนักงาน ผลิตในโรงงานตัวเองเฉพาะสินค้าที่มีนวัตกรรมและรับจ้างผลิตให้แบรนด์ใหญ่ในยุโรป ส่วนสินค้าระดับกลาง-ล่างก็ไปจ้างต่างประเทศผลิตและส่งเข้ามาขาย “ได้กำไรมากกว่า เหนื่อยน้อยกว่า”
เราจะหาข้อมูลบริษัทที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกับ ‘SABINA’ ในตลาดหุ้นไทยมาเปรียบเทียบในเชิงการประเมินมูลค่าได้ยาก เลยลองไปเมียงมองดูบริษัทที่มีขนาดใหญ่เบอร์ต้นๆของโลกที่อยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศ และเป็นผู้นำในตลาดชุดชั้นใน (บางบริษัทเน้นขายเสื้อผ้า แต่มีไลน์ชุดชั้นใน) เช่น Victoria’s Secret, Hanesbrands, American Eagle, Gap, H&M, Inditex, Fast Retailing, Marks & Spencer, Next, PVH, และ Zalando จะได้ P/E เฉลี่ยอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 20 เท่า
‘SABINA’ มี P/E ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 13 เท่า ส่วนค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ประมาณ 18-19 เท่า
ลองคำนวณ Forword P/E เล่นๆในอีก 3 ปีข้างหน้า บนสมมติฐาน 3 กรณี
ไม่เติบโต กำไรเท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีตหรือต่ำกว่าเล็กน้อย จะได้ Forword P/E= 13 เท่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน
โตนิดหน่อยตาม GDP ประเทศ 2-3% ต่อปี จะได้ Forword P/E= 12 เท่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน
โตได้ดีกว่าตลาด ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่ง สัก 5% ต่อปี จะได้ Forword P/E= 11 เท่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน
กับเงินปันผลระดับ 7%+ ต่อปี (เงินเข้าวันนี้พอดี ฮ่าๆ) ราคาหุ้นไม่แพงเกินไป สร้างกระแสเงินสดได้มั่นคง จะมองเป็นหุ้นปันผลก็อาจไม่แย่เกินไปนัก หากเราเชื่อว่าแบรนด์แข็งแกร่งมากพอที่จะฟันฝ่าอุปสรรคในระยะยาว ต้องตัดสินใจกันเอง
การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง (โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย ) บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาแนะนำ ชักชวน หรือโน้มน้าวเพื่อให้เกิดธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ทางการเงินใดๆทั้งสิ้น นักลงทุนควรตัดสินใจลงทุน วิเคราะห์ และรับความเสี่ยงด้วยตนเอง
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ
โฆษณา