10 ก.ย. เวลา 07:53 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ถ้าดอลลาร์ล่ม

ความสำคัญของสกุลเงินดอลลาร์ เปรียบเทียบความสำคัญของสกุลเงินดอลลาร์กับ "เลือด" ที่ไหลเวียนทั่วร่างกายโลก.
หากดอลลาร์ล่มสลาย หรือเลิกใช้ไป ตลาดหุ้นทั่วโลกจะตก ตลาดพันธบัตรจะพัง
มีเพียงสินทรัพย์บางประเภท เช่น ทองคำและ Bitcoin ที่อาจปรับตัวขึ้น
คุณสมบัติของสกุลเงินหลักของโลก สกุลเงินที่จะเป็นสกุลเงินหลักของโลกได้นั้นจะต้องสามารถทำได้ 3 อย่างหลัก ๆ คือ:
1. ใช้ในการค้าขายได้ทั่วโลก (ประมาณ 200 ประเทศ)
2. ใช้ชำระหนี้ได้
3. เก็บเป็นทุนสำรองของประเทศ
ประวัติศาสตร์ของสกุลเงินหลักของโลก ในอดีตที่ผ่านมา มีหลายประเทศและหลายสกุลเงินที่เคยเป็นสกุลเงินหลักของโลก โดยแต่ละสกุลเงินจะดำรงสถานะนี้ประมาณ 100 ปี.
• โปรตุเกส (สกุลเงิน Real): ค.ศ. 1450 - 1530
• สเปน (สกุลเงิน Real): ค.ศ. 1530 - 1640
• ดัตช์/เนเธอร์แลนด์ (สกุลเงิน Guilder หรือ Dutch Guilder): ค.ศ. 1640 - 1720
• ฝรั่งเศส (สกุลเงิน French Ray): ค.ศ. 1720 - 1815
• อังกฤษ (สกุลเงินปอนด์): ค.ศ. 1815 - 1920
• สหรัฐอเมริกา (สกุลเงินดอลลาร์): ค.ศ. 1944 - ปัจจุบัน
ข้อสังเกตจากประวัติศาสตร์คือ การเป็นสกุลเงินหลักของโลกมักจะมาพร้อมกับการเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีกองทัพที่แข็งแกร่ง.
การก้าวขึ้นสู่การเป็นสกุลเงินหลักของดอลลาร์สหรัฐ เงินปอนด์ของอังกฤษเริ่มเสื่อมค่าลงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เนื่องจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงและการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการรบ.
ในทางตรงกันข้าม สหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้นและได้รับผลกระทบจากสงครามน้อยกว่ามาก.
• การถือครองทองคำ: หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1944 สหรัฐฯ ถือครองทองคำมากที่สุดในโลกถึงประมาณ 70%.
• ระบบ Bretton Woods (ปี 1944): เพื่อแก้ไขปัญหาสกุลเงินต่างๆ ที่อ่อนค่าลงจากการพิมพ์เงินในสงคราม และอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน. 44 ประเทศได้ตกลงกันที่เมือง Bretton Woods ว่า ทุกประเทศจะตรึงค่าสกุลเงินของตนเองกับดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์สหรัฐจะตรึงกับทองคำในอัตรา 1 ออนซ์ทองคำเท่ากับ 35 ดอลลาร์. เหตุผลที่ใช้ดอลลาร์แทนทองคำในการค้าขายคือความสะดวกในการขนส่งและการทำธุรกรรม เหมือนใช้ "ใบเสร็จรับทอง" แทนทองคำจริง.
• Nixon Shock (ปี 1971): สหรัฐฯ เริ่มมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากจากโครงการสวัสดิการรัฐและการทำสงครามเวียดนาม. ทำให้หลายประเทศสงสัยว่าสหรัฐฯ อาจพิมพ์เงินเกินตัว และเริ่มขอแลกทองคำคืน. สุดท้ายในปี 1971 ประธานาธิบดีนิกสันประกาศยกเลิกการผูกค่าดอลลาร์กับทองคำ ซึ่งเป็นการ "หย่าร้าง" ระหว่างดอลลาร์กับทองคำ.
• Petrodollar Agreement (ปี 1974): แม้จะยกเลิกการผูกกับทองคำ แต่ดอลลาร์ยังคงมีความต้องการอยู่. สหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงกับซาอุดีอาระเบียให้ ซื้อขายน้ำมันด้วยดอลลาร์สหรัฐ แลกกับการคุ้มครองทางทหาร. ทำให้ประเทศในตะวันออกกลางและทั่วโลกที่ใช้น้ำมันต้องใช้ดอลลาร์ในการซื้อขายน้ำมัน เป็นการสร้างความต้องการใช้ดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง.
ข้อดีและข้อเสียของการเป็นสกุลเงินหลักสำหรับสหรัฐอเมริกา
ข้อดี:
• มีความต้องการดอลลาร์ตลอดเวลา: สหรัฐฯ สามารถพิมพ์เงินออกมาได้เรื่อยๆ และยังมีคนต้องการ.
• ต้นทุนการกู้ยืมต่ำ: รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถออกพันธบัตรรัฐบาลได้ตลอดเวลา และมีผู้ต้องการซื้อจำนวนมาก ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายต่ำ.
• ความสามารถในการซื้อสินค้าจากทั่วโลก: สหรัฐฯ สามารถใช้เงินดอลลาร์ซื้อสินค้าดีและถูกจากประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลก.
• พันธบัตรรัฐบาลมีความต้องการสูง: ไม่ว่าจะออกมากี่ชุดก็ขายหมดตลอด.
ข้อเสีย (Triffin Dilemma):
• ต้องพิมพ์เงินและกู้เงินจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง: ทำให้เป็นหนี้จำนวนมาก.
• ต้องขาดดุลการค้าและขาดดุลงบประมาณเสมอ: สหรัฐฯ ต้องนำเข้ามากกว่าส่ง
ออกเพื่อกระจายดอลลาร์ไปทั่วโลก และรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย. สิ่งนี้ทำให้ประเทศอื่นมีดอลลาร์เพื่อนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นวงจรต่อเนื่อง.
• อุตสาหกรรมในประเทศอ่อนแอลง: การนำเข้าจำนวนมากไปส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศอื่น ทำให้ภาคอุตสาหกรรมภายในสหรัฐฯ อ่อนแอลง และคนตกงานมากขึ้น.
• ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (Triffin Dilemma): Robert Triffin นักเศรษฐศาสตร์ได้เตือนเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1960. สหรัฐฯ ต้องรักษาสภาพการเป็นผู้ขาดดุลเพื่อรักษาระบบดอลลาร์ให้ดำเนินต่อไปได้ แต่ขณะเดียวกันการทำเช่นนี้ก็ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศแย่ลง. หากสหรัฐฯ ต้องการฟื้นเศรษฐกิจภายในโดยการส่งออกมากขึ้น ดอลลาร์ในระบบโลกก็จะน้อยลงและระบบนี้จะดำเนินต่อไปไม่ได้.
แนวโน้มการลดการพึ่งพาดอลลาร์ (De-dollarization) หลายประเทศเริ่มกังวลและพยายามลดการพึ่งพาดอลลาร์ลงด้วยเหตุผลหลายประการ
1. การแซงก์ชัน (Sanctions): สหรัฐฯ ใช้ระบบ SWIFT (Swift: Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) ซึ่งเป็นช่องทางการค้าขายหลักของโลก และใช้ดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักในการลงโทษประเทศต่างๆ ด้วยการตัดออกจากระบบ SWIFT. ตัวอย่างเช่น อิหร่าน (ปี 2012) รัสเซีย (ปี 2022) และเกาหลีเหนือ. การกระทำเช่นนี้ทำให้ประเทศอื่น ๆ กังวลว่าอาจโดนแบบเดียวกัน จึงเริ่มมองหาสกุลเงินอื่น ๆ และซื้อทองคำมากขึ้น.
2. หนี้จำนวนมหาศาลของสหรัฐฯ: หนี้ของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 37-38 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวก็สูงถึง 1 ล้านล้านเหรียญต่อปี. หลายประเทศมองว่าการเป็นหนี้ขนาดนี้อาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว.
3. ประวัติศาสตร์ชี้ว่าสกุลเงินหลักมักจะอยู่ได้ประมาณ 100 ปี: ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักมาประมาณ 70 ปีแล้ว ทำให้หลายประเทศเริ่มกระจายความเสี่ยงและลดการถือครองดอลลาร์ลง
สกุลเงินใดจะเป็นสกุลเงินใหม่ของโลก?
ดอลลาร์จะ ไม่ล่มสลายฉับพลัน
แต่จะค่อยๆ เสื่อมค่าลงและลดบทบาทลง คล้ายกับเงินปอนด์ในอดีต ซึ่งเงินปอนด์ก็ยังคงอยู่แต่ไม่ใช่สกุลเงินหลัก.
แนวโน้มในอนาคตคือ การกระจายความหลากหลายของสกุลเงิน มากกว่าการมีสกุลเงินหลักเพียงสกุลเดียว:
• เงินหยวน/เหรินหมินปี้ของจีน: เศรษฐกิจจีนกำลังเติบโต แต่การไหลเวียนของเงินทุนยังไม่เสรีเท่าสหรัฐฯ และสัดส่วนการถือครองยังน้อยกว่าดอลลาร์มาก.
• ยูโร: มีความเป็นไปได้น้อย เพราะเศรษฐกิจยุโรปไม่ค่อยดี และยุโรปประกอบด้วยหลายประเทศ.
• รูปีของอินเดีย: อินเดียเป็นอีกประเทศที่กำลังเติบโต.
• สกุลเงินอื่นๆ: เช่น สกุลเงินของกลุ่ม BRICS.
• ทองคำและสินทรัพย์ดิจิทัล: เช่น Bitcoin (เนื่องจากมีจำกัดและไม่มีผู้ควบคุม), Stablecoins, และ Central Bank Digital Currency (CBDC).
หากดอลลาร์พังทลายลงจริง โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรทั่วโลกจะตกต่ำ แต่ทองคำและ Bitcoin อาจปรับตัวขึ้น
โฆษณา