10 ก.ย. เวลา 09:05 • ประวัติศาสตร์

กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕

๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ยส
​กรมสิลปากร
๑๔ กันยายน ๒๔๘๕
ขอประทานกราบทูล ซงซาบไต้ฝ่าพระบาท
เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามาหยู่กรมสิลปากรได้ใหม่ ๆ พระเทวาภินิมมิตมาเยี่ยม ข้าพระพุทธเจ้าจึงชักชวนพระเทวาฯ ไห้มาช่วยทำตำราช่างเขียนไทย พระเทวา ฯ ก็ยินดีและได้มาทำงานหยู่กับข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ความประสงค์ของข้าพระพุทธเจ้า ต้องการจะพื้นฟูวิชาช่างสิลปของไทย ไห้เข้ากันได้กับสิลปของต่างประเทส คิดด้วยเกล้าฯ ว่าวิชาสถาปัตย์ที่สอนกันหยู่ไนจุลาลงกรน์มหาวิทยาลัย เปนไปไนสิลปของต่างประเทส ถ้าไห้ผู้สึกสาไนมหาวิทยาลัยได้มีความรู้ไนสิลปของไทยบ้าง ก็จะทำ
ไห้สิลปของไทยขยายตัว ถึงหากจะต้องกลายไป ก็กลายไปไนทางคลี่คลายขยายตัวตามยุคสมัย ไม่ใช่กลายไปไนทางเสื่อม ข้าพระพุทธเจ้ากำลังเจรจากับจุลาลงกรน์มหาวิทยาลัยไนเรื่องนี้ เปนที่เข้าไจกันแล้ว คือจะต้องปลุกปล้ำวิชาสิลปของไทย จนเข้าถึงชั้นที่ฝรั่งเรียกว่า Academy จึงจะมีรากถานได้มั่นคงและขยายตัวออกไปได้ ไนเรื่องสิลปของไทยผิดกับของต่างประเทสที่หาตำราไม่ได้ และมักจะปิดบัง
กัน ถ้าจะบอกก็มักบอกไม่หมด กะทำไห้ผู้หยากรู้หยากเห็นเกิดเบื่อหน่าย ผู้ที่เรียนรู้ก็เปนหย่างตามครู ไม่รู้จักแก้ไขขยายวิชาของตนไห้ก้าวหน้า เพราะจะถือว่าเปนการสู้ครูไป ถ้าจะซักไซ้ไล่เลียงว่าทำไมจะต้องทำเช่นนั้น หย่างนี้ ก็มักตอบไม่ได้ นอกจากว่าเรียนมาหย่างนั้น เปนอันว่าช่างสิลปของไทยหยุดหยู่เพียงคั่นช่างมีฝีมือ จะหาช่างผู้ขยายมีได้น้อยเต็มที อาชีพทางด้านนี้จึงกลายเปนอาภัพ เอาตัวไม่รอด เพราะขาดความรู้เรื่องขยายนั่นเอง
เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าขอไห้พระเทวาฯ กำลังทำตำราช่างเขียนหยู่ เพียงแต่พระเทวา ฯ เริ่มเขียนขึ้นไม่กี่มากน้อย ก็ยังทำไห้ข้าพระพุทธเจ้า​ได้ความรู้และสนไจขึ้นอีกมาก เมื่อวานนี้ข้าพระพุทธเจ้าถามพระเทวาฯ ถึง บัวคอเสื้อ ว่าคืออะไรและหยู่ที่ไหน พระเทวาฯ เขียนรูปพระเจดีย์ไห้ดู จึงได้ซาบเกล้าฯ ว่า บัวคอเสื้ออยู่ที่ทรงไหน ข้าพระพุทธเจ้าซักต่อไปว่าที่เห็นเปนซี่คล้ายลูกกรงเรียกว่าอะไรและทำเพื่อประโยชน์
หย่างไร พระเทวาฯ ตอบว่า ได้ซาบมาจากไต้ฝ่าพระบาท ว่าซงเข้าพระทัยว่าจะเปนระย้าฉัตร์ และว่าลอมฟางพระเจดีย์ คือ รูปพระสถูป ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้สติทันทีว่า พระเจดีย์ก็คือพระสถูปนั่นเอง ตอนบนเปนฉัตร์ปัก ถ้าเช่นนั้น ปล้องไฉน ก็คือชั้นฉัตร์กะมัง พระเทวา ฯ ตอบว่าเหนจะไช่ ข้าพระพุทธเจ้านึกเลยไปถึงยอดปราสาท ก็เหนจะกลายไปจากรูปพระเจดีย์นั่นเอง พระเทวาฯก็รับรอง ความรู้หย่างนี้ถ้าได้เปิดเผยไห้แพร่หลาย ก็จะมีผู้สนใจไนสิลปของไทยได้ยิ่งขึ้น คิดด้วยเกล้า ฯ ว่าถ้าไม่รีบซัก
ไช้ไล่เลียงจดขึ้นไว้ ไม่ช้าก็จะสูเปนของแน่ ข้าพระพุธเจ้าถามพระเทวาฯ ถึง บัวถลา หยู่ที่ไหน พระเทวา ฯ ตอบว่าไม่ซาบ เข้าไจว่าจะหยู่ที่ตอนลอมฟาง แต่ก็ไม่แน่ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระบารมีปกเกล้า ฯ เปนที่พึ่ง ขอประทานซาบเกล้า ฯ ถึงเรื่องบัวถลานี้ด้วย บัวแวงที่หยู่ไต้ลูกแก้ว ทำไมจึงเรียกเช่นนั้น เหมก็เปนลวดลายคล้ายไบขนุน ที่พระปรางค์ทำไมจึงเรียกว่าเหม ตลอดจนคำว่า ปล้องไฉน ก็ไม่ซาบเกล้า ฯ แปลว่าอะไร ขอประทานซาบเกล้า ฯ ด้วย
พระลัตเวียนได้มาหาข้าพระพุทธเจ้า เพื่อยืมหนังสือเมื่อสักสัปดาห์ที่ล่วงมานี้ ข้าพระพุทธเจ้าสอบถามที่หยู่ คงได้ความว่าอาสัยหยู่ที่บ้านหลังโฮเตลทรอกเดโร ถนนสุรวงส์
ควนมิควนแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า ย.ส. อนุมานราชธน
๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๔๘๕
นายยง อนุมานราชธน เสฐียรโกเศศ
หนังสือลงวันที่ ๑๔ ได้รับแล้ว
ที่ชวนพระเทวาภินิมมิตให้มาเขียนแบบนั้นดีแล้ว จะว่าแบบสถาปัตยกรรมของเราแต่ก่อนมีอึตกรึ แล้ว (โทษเอา) ว่าพม่าเผาเสียหมดก็ได้ อันตำรานั้นต้องมีคนอยากรู้จึ่งจะมีคนทำ ถ้าไม่มีคนอยากรู้ก็ไม่มีคนทำ ที่ว่าหวงวิชานั้นก็ถูกครึ่งผิดครึ่ง ออกจะเปนธรรมดาที่จะต้องดูหน้าคนมาถาม ถ้าเหนว่าจะรู้เอาไปย่ำยีก็ต้องปิด ถ้าอยากรู้เพื่อเรียนจริงก็ไม่ปิด ที่บอกไม่ตลอดก็เพราะนึกไม่ออก ที่หวังจะให้นักเรียนแก้แบบไทยไปให้สมสมัยนั้น จะเปนไปได้ก็แต่ผู้มีปัญญาคิด ซึ่งจะมีน้อยตัว ถ้าไม่รู้คิดก็ตกเปนพวกหลู่ครู ซึ่งจะมีมาก
ตามที่ท่านว่า แม้กำลังพระเทวาเขียนตำราอยู่ก็ทำให้ท่านรู้ขึ้นอีกมากนั้น นั่นเพราะท่านอยากจะเรียน คำว่า เจติย ก็หมายความว่านำใจไป คำว่า ธาตุ ก็หมายความว่าประจุธาตุ อาจจะเปนสิ่งเดียวกันก็ได้หรือไม่ใช่ก็ได้ อะไรหมดก็จะต้องคิดต้องเดา ความเดาก็อาจผิดได้ถูกได้ ท่านพูดถึงซี่คล้ายลูกกรง แล้วพระเทวาว่าทราบจากฉัน
ว่าระย้าฉัตรนั้น ฉันลืมแล้วว่าซี่อะไร จะอย่างไรก็เปนเรื่องคิดเดา ซึ่งกล่าวมาแล้วว่าอาจผิดได้ถูกได้ พระเทวานั้นถ้าทำอะไรสงสัยก็ปรึกษาฉันเนือง ๆ มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ท่านฟัง แกเขียนรูปคุณหญิงโม้ จะทำอนุสาวรีย์ที่โคราช แต่พอแกแก้ม้วนแบบออกให้ดู ฉันก็ถามคำเดียวว่า คุณหญิงโม้น่ะ น่าตายังงี้หรือ แกก็หัวเราะแล้วยกมือไหว้ ม้วนแบบกลับ ไม่ตอบว่ากะไร
บัวถลานั้นเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเรียกกันแล้ว เรียกบัวคว่ำแทน คำ ถลา ฉันก็ได้ทราบจากกรมหลวงสรรพสิทธิ์ ว่าทางอุบลเขาเรียกทางลาดกัน​ว่า ถลา แล้วหลานหญิงเขาอ่านการสร้างพระประถมเจดีย์เขาก็ถามด้วย จึ่งได้ทราบว่า เขาเรียกกันและแปลออก บัวแวง นั้น แวง แปลว่าดาบหรือกระบี่ คือบัวด้ามกระบี่ ตกว่าเปนบัวยาว ๆ อะไรที่เป
นบัวยาว ๆ ก็เรียกบัวแวงทั้งนั้น เหม แปลว่า ทอง แท้จริงก็มาแต่ หิม เมื่อจับแสงพระอาทิตย์เข้าก็เห็นเปนทอง ข้อนี้ยังคิดไม่เห็นว่าทำไมจึงมาอยู่ตรงที่ช่างเขาเรียกกัน ปล้องไฉน นั่นคือทำเรียว เดิมเปนร่ม (ซ้อนชั้น) แล้วก็มักง่ายทำร่มแต่พอเปนที เปนปล้อง ๆ คล้ายปี่ไฉน (เดี๋ยวนี้จะเปนปล้องหรือไม่ก็ไม่ทราบ ไม่ได้ดูใกล้)
ปราสาท มาแต่เรือนชั้น ไม่จำต้องเปนยอดแหลม จะเปนหลังคาตัดก็ได้ ยอดแหลมนั้นมีคำต่างหากว่า กูฎาคาร ปรางค์ ก็เปนปราสาทเหมือนกัน กลีบขนุนนั้นคือ นาคปักบรรพแถลง แต่ทำทรงให้ก่งออก เพราะทรงปรางค์เองกง ที่ทำทรงก่งก็เพราะจะให้ก่อได้ไม่พัง เขมรเขาคิดก่อน เอาอย่างเทวสถานอินเดีย แล้วเราจำเอามาอีกต่อหนึ่ง นี่ก็เปนเดา แต่เดามีทางไป ส่วนกลีบขนุนนั้นเปนนาคปักบรรพแถลงแน่ เห็นได้จากปรางค์เก่า
คำ อนุสาวรีย์ นั้นเดาผิดเปนแน่
พระลัดเวียนซึ่งว่าอยู่ที่บ้านหลังโฮเตลโทรกเดโรนั้น ก็ถูกต้องตามพระวินัยที่ว่า หัมมิยํ ซึ่งแปลว่า เรือน
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๔๘๕
นายยง อนุมานราชธน
เขียนหนังสือมาให้เมื่อก่อนนั้นมีความน้อยไป จึงเขียนต่อมาให้อีก
คำที่ว่า ช่างฝีมือดี นั้นผิด ที่แท้เปนความคิดดี ความคิดนำมือไป ช่างที่ดีนั้นต้องได้เห็นมาก จึ่งจะเปนช่างดีได้ ด้วยมีความรู้กว้างออกไป แต่ถ้ามีตำราดูก็รู้ได้เท่ากัน ไม่ต้องดูกับสิ่งที่ทำไว้จริง
การคิดทำตำรานั้น คิดกันมาหลายคนนักแล้ว พระพรหมพิจิตรก็ได้เขียนบุษบก แล้วเขียนชื่อท่อนต่าง ๆ บอกไว้ แต่จะเปนใครให้ทำนั้นจำไม่ได้ ถ้าท่านจะรวบรวมตำราก็ควรเรียกเอาสำเนาแบบนั้นมารวบรวมไว้ด้วย
ตามที่ท่านว่า เหม ปากเปนกลีบขนุนนั้นถูก แต่ฉันเข้าใจว่าช่างทำผิดด้วยหลงเอายอดปรางค์มาปน ได้เคยเหนเหมมาแห่งหนึ่ง เขาบากเปนเกสรแหลมขึ้นไป ดูก็เข้าใจได้ว่าเขาต้องการจะทำเปนดอกบัวนั่นเอง กลีบบัวกับกลีบขนุนก็เปนลักษณะอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่ที่ปลายแหลมกับปลายบ้าน จึงทำให้ช่างหลง และที่ยักทำเหมเปนอย่างอื่นไป ก็เพราะเปนของที่รองยอดบัวกลุ่มอันบากเปนกลีบบัวไว้มากแล้ว และ เหม นั้นจะเอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ ถ้าเขาจะให้ดูยอดยาวจึงเอา ถ้าเขาจะให้ดูยอดสั้นก็ไม่เอา เช่น โกษฐ์อย่างต่าง ๆ เปนต้น
มณฑป กับ บุษบก นั้นเปนอย่างเดียวกัน ต่างแต่ขนาดเปนใหญ่กับเล็ก แถมปราสาทเข้าด้วย ถ้ามีมุขก็เรียกปราสาท จะเหนได้จากหลังคาปราสาทว่าเปนเรือนชั้น ถ้าดูปราสาทพม่าแล้วจะเหนได้ เพราะเขาไขชั้นสูงมีบัญชรด้วย ของเราย่นชั้นลงมาจนทำให้ฝาหายไป บรรพแถลง ก็​คือซุ้มหน้าต่างนั่นเอง ดูปราสาทพม่าแล้วจะเข้าใจได้ ว่าปราสาทเครื่องไม้นั้นเสาตั้งบนรอด ข้อนี้ทำให้เหนได้ว่า ปรางค์ก็คือปราสาทนั้น
เอง แต่ที่แก้ให้เปนรูปก่งก็เพราะจะก่อผนังบนรอดอย่างปราสาทเครื่องไม้ไม่ได้ ที่ทำรูปก่งก็เอาอย่างเขามา มีเมืองจีนและอินเดียเปนต้น การทำปราสาทเครื่องไม้ของเรา เรียกรอดว่า แป-ตราง เรียกเสาว่า ต-ม่อ ที่เรียกดั่งนั้นก็เปนเรียกตามรูปตามการที่กระทำ เช่นที่เรียกว่าแปตรางก็เพราะทำย่อไม้ ถ้าทำสี่เหลี่ยมก็ไม่ต้องเปนแปตราง แล้วที่เรียกเสาว่า ตม่อ ก็เพราะตัดเสาให้สั้นลง
ฉันเคยคลั่งชื่ออะไรต่าง ๆ ที่เก่า ๆ มาคราวหนึ่งแล้วถึงจดไว้ เปนต้นว่า จรทึก คืออะไร นฤยู คืออะไร คิดจะสอบหนังสือเก่า ๆ แต่แล้วก็คิดว่าเก่าก็จำเก่ามาเขียนอีกต่อหนึ่ง ด้วยไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกัน เลยรงับไม่ได้สอบ
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๔๘๕
นายยง อนุมานราชธน
หนังสือลงวันที่ ๕ สิงหาคม สองฉบับได้รับแล้ว ขอบใจมาก
เรื่อง หมาดำ นั้นขันมาก แต่ฉันไม่ได้ทราบเลย กรมหลวงประจักษ์ก็ไม่ได้ตรัสเล่าให้ฟัง
ท่านแยกแยะคำ หัวเราะ ไปเปนหลายอย่างนั้นดีมาก ทีนี้ได้รู้รากแก้วของคำนั้น อ่านกับเขียนลางคำก็ผิดกันไปมาก จะเปนด้วยอะไรก็เหนจะได้หลายอย่าง คำ ร้องแรกแหกกเชอ กลัวเดิมจะมีแต่ ร้องแรก แหกกเชอ จะเติมเข้าทีหลังด้วยกลอนพาไป คำที่ต่อเพราะกลอนพาไปนั้นมีมาก
คำ ริ ก็กลัวจะมาจาก ตริ แต่หมายความเปนอย่างอื่นไป
ชา กลัวภาษาเขมรจะเข้ามาปน แต่ก็ไม่แน่ เหนจะต้องพิจารณาเปนคำ ๆ ไป ฉันเคยพิจารณาคำ บัน บรร บัญ มาทีหนึ่งแล้ว ว่าเขมรเขาเขียนอย่างไร ก็สอบได้ว่า บรร นั้นเปนไทย ใช้แทน ประ เช่น ประจบ-บรรจบ หรือ ประจง-บรรจง เปนต้น ส่วนที่สงสัยในการที่ควรจะเขียน บัญ หรือไม่นั้นก็มีมูล เช่นคำ บังคับ เปนต้น นั่นก็เหน ได้ว่าเปลี่ยนเพราะตัวหลัง แม้ตามแนวเดียวกัน บัลลุ ก็ควรสกด ล แต่สอบสวนได้ความว่าทางเขมรไม่มี ตกลงเปนภาษาไทย
แปล สี่นอหาม นั้น ขอให้ท่านรวัง จะเข้าทางธรรมะก็ไม่ขัดข้อง ขอแต่อย่าให้เปนแปล ยัด เข้าทีหลังด้วยไม่รู้ความหมายเดิมก็แล้วกัน
พราหมณ์ศาสตรี ว่าอยู่บ้านแถวโบถพราหมณ์ ฉันก็ไม่เคยไปหา บอกเอาแน่ว่าอยู่ตรงไหนไม่ได้ แต่ถ้าท่านจะไปหาเพื่อถามก็คงหาพบ
​ไม้เอกนั้นชอบกล ทางเขมรถ้าขีดลงไปที่ระหว่างลากข้างแล้วแปลว่าให้อ่านสั้น เพราะไม้ผัดเขาไม่มี ต้องใช้ลากข้างทั้งนั้น แต่ถ้ามีไม้เอกหลังลากข้าง ก็ให้อ่านเปนเสียงสั้นดุจไม้ผัด แต่เหนจะเปนของใหม่ ส่วนทางไทยป่าๆ ถ้าอักขระตัวใดมีไม้เอกข้างบนก็อ่านเปนเหมือนมีประหลัง
คำที่ชาติใดมีไม่มีของท่าน ทำให้ฉันได้สติขึ้น เพราะไม่เคยคิดมาเลย นึกถึงภาษาเรา เอาแต่คนในตระกูลก็ลักลั่นเต็มทีแล้ว เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ลุง ป้า นั่นดูจะเปนหมายเอาลึงค์ ที่เราเขียน อาว แต่ที่ตัว ว ลงทันฑฆาตนั้นก็ไห้เปน อา เหมือนพูด
ทำให้สงสัยจึงได้ไต่สวน ก็ได้ความว่ามีทั้ง อา และ อาว จำหน่ายไปว่า อา เปนผู้หญิง และ อาว เปนผู้ชาย ก็ไปทางแสดงลึงค์เหมือนกัน แต่คำ นำ ไม่ได้สอบ ไม่เปนทางแสดงลึงค์อย่างพวกเดียวกัน แต่ถ้ามีคำอื่นอีกเปนแสดงลึงค์ก็จะไม่ประหลาดเลย ส่วน ทวด (ซึ่งเรียกกันว่า ชวด) อันอยู่ในสายตระกูลเหมือนกัน แต่ไม่แบ่งให้รู้ว่า
เปนหญิงหรือชายและเปนทวดทางฝ่ายใด จนกรมหลวงสรรพสิทธิทรงผูกเปนปัญหาถาม ว่า ทวดมีกี่คน ตกกันให้เปนรนาวไป เพราะไม่มีใครเคยได้คิด ทั้งคำว่า พี่น้อง ก็ยุ่งเหยิง ที่คลานตามกันออกมาก็เรียกว่า พี่น้อง ลูกของลุงป้าน้าอาก็เรียกว่า พี่น้อง
ลางทีก็แถมคำเข้าว่า ลูกพี่ ลูกน้อง แต่คิดว่าเปนคำเติมใหม่ เพราะยุ่งหนักเข้า ไม่รู้ว่าใครเปนใคร ยังที่เราขอยืมคำมคธมาใช้ซึ่งเรียกว่า ญาติ นั้นภาษาเราก็เรียกว่า พี่น้อง หมดดีกันเท่านั้น ส่วนที่ต่ำลงไปอีกชั้นหนึ่งเรียกว่า เหลน แต่เหนจะไม่ถูก เพราะหนังสือไม่มีเขียน ถ้าหนังสือแล้วจะเปนต่ำลงไปกี่ชั้นก็เรียกว่า หลาน ทั้งนั้น
คำให้พร อ่านหนังสือเก่าๆ ก็มีผู้ขอพร จึงมีคนให้พร พรที่ให้ดูเปนง่ายๆ ไม่ใช่ให้ในสิ่งซึ่งให้ไม่ได้อย่างทุกวันนี้ เปนแน่ว่าความที่หมายนั้นเดินไป
​ท่านค้นเอามาได้ว่าคำ สรวง แปลว่าผีนั้น ดีเต็มที ฉันก็เข้าใจผิดคิดว่า สรวง เปน สรรค์ คือ สวรรค์ แต่ครั้นได้ยินท่านแปลก็เหนด้วย แมนสรวง ก็แปลว่า ผีฟ้า คือ เทวดา คนเราถือผีเปนที่ตั้ง god ก็คือผี ทั้งนี้ก็สมด้วยคาถาที่ว่า พหุํ เว สรณํ ยันติ ปัพพตานิ วนานิ จ ก็คือถือผีเข้าว่าเปนสรณะ ข้อนี้ก็สมด้วยคำซึ่งท่านว่า พรานบนเจ้าป่าให้ได้สัตว์ป่า การถือผีนั้นจนเคยตัว แม้จะถืออะไรที่ไม่ใช่ผีก็เหยียดเปนผี จนเหนได้ที่มีลคอนมีหนังถวายพระชินศรี นั่นอะไร ไม่ใช่เหยียดพระพุทธรูปเปนผีดอกหรือ
ไปอยู่ที่วังวรดิศ นอนฟังที่บ้านลคอนเขาตีโทน สำคัญว่าเขาซ้อมลคอนชาตรี แต่ถามคนที่อยู่ใกล้เคียงก็หาใช้ไม่ เปนว่าเดี๋ยวนี้มีการบนบานอะไร ก็ไปมีลคอนแก้สินบนที่บ้านลคอน พวกบ้านลคอนจัดเครื่องแก้สินบนไว้ให้เสร็จ พร้อมทั้งมีลคอนด้วยดีมาก ทีแรกนึกว่าคนทุกวันนี้เคลื่อนคลายไปจากการถือผีด้วยกันหมด แต่หาเปนเช่นนั้นไม่ การเคลื่อนคลายนั้นก็เปนอยู่ส่วนหนึ่ง แต่การที่ยังคงถือกันอยู่ก็คงมีอีกส่วนหนึ่ง เว้นแต่การเปลี่ยนเดินเปนอีกอย่างหนึ่งไปเท่านั้น
ตามที่ฉันจะทรงพระกรุณาในเรื่องที่ท่านเห็นว่าต้องอาศัยของเก่านั้น ฉันรู้สึกไปอย่างหนึ่งว่า คนสมัยไหนถือกันว่าอย่างไร เปนดีก็ตามไปนั่นแหละเปนถูก ไม่ใช่จะสำเร็จด้วยความคิด การกระทำก็ขัดข้องทีเดียว เช่นฉัตรพระโกษฐ์พระบรมอัฐิ ของเก่าทำไว้เปนฉัตรลายแทง (คือ ลายขวดลวดติดไข่ปลา) แล้วสาบผ้าขาว จะทำพระโกษฐ์
พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่นนั้นบ้าง แต่ทำไม่ได้เพราะไม่มีช่างลายแทง ด้วยไม่มีใครเขาต้องการกันนานมาแล้ว จนช่างไม่มี ต้องยักทำไปอย่างอื่น ที่คนเขาถือกันในเวลานั้นว่าดี เปนเลื่อยประโปร่ง ในประเทศที่เขาเหนว่าต้องอาศัยสิ่งที่เก่า ๆ ก็คือ เขาจะบำรุงให้บ้านเมืองของเขาเก่า แต่อาจจะทำได้เปนคน ๆ คือคนที่รักษาการเมืองอยู่ ช่างลายแทงก็ไม่ใช่จะหมดโลกไปทีเดียว เมืองที่
เขายังนับถือการช่างเช่นนั้นอยู่ก็มี อาจหามาได้ แต่จะต้องหาเอามาเปนครู อันเปนประโยคพยายาม​มาก ต้องเปนคนที่บำรุงการเมืองอยู่จึงทำได้ ถ้าเปนคนฉาบฉวยเข้าไปทำชั่วคราว ก็ทำไปเช่นนั้นไม่ได้ การแต่งเพลงแต่ก่อนนี้ก็แต่งใหม่ไม่ได้ ต้องอาศัยเพลงเก่า เพราะคนเขาถือกันว่าอย่างนั้นเปนดี เดี๋ยวนี้กลับตรงกันข้าม ถือว่าเพลงแต่งใหม่เปนดีก็แต่งเพลงใหม่กันไป ในถ้อยคำก็ถือเอาอะไรเปนหลักฐานไม่ได้ คำ ศิลป แปลว่า แก้ผ้าก็ได้
นัยน์ตา ฉันคิดว่าถ้าเปนภาษาไทยก็หมายความว่า เปน ใน (ลูก) ตา ดำ ตา เปล่าๆ ก็มี ไม่ต้อง ในตา หรือ นัยน์ตา และเอาคำ นัด เปน นัดถุ์ นั้นจะอย่างไรดูก็อุตริ แต่อย่างไรก็ดี การคิดเดานั้นอาจถูกได้ผิดได้ ไม่แน่นอน
ที่ฉันเขียนว่า คำคู่ นั้นผิดไป ที่จริงควรจะเขียนว่า คำต่อ หรืออะไรเทือกนั้น แต่การตั้งชื่อคำ ฉันละไว้ให้ท่านตั้ง คำ เหลือ เราทุกวันนี้หมายกันว่าเกิน ช่วยเหลือ ก็ต้องว่าช่วยเกิน เปนของใช้ไม่ได้ ไม่ควรต่อ คำว่า หน่วง ก็หมายความว่าช้าไว้ เอาต่อเข้ากับคำ หนัก ก็ทำให้คำที่ว่าหนักนั้นคลายไป คำว่า ทด ฉันก็นึกเอาทดน้ำซึ่งแปลว่ากั้น กั้นการลองจะมีประโยชน์อะไร ตามที่ฉันพูดนั้นเปนแต่ตัวอย่าง อันที่จริงคำต่อนั้นมีมาก อะไรก็ไม่เจ็บเท่ากับ ชมเชย เชย คำนั้นใช้ในที่สังวาสเสียด้วย เช่น เชยแก้มแนมเนื้ออรไท เปนต้น
การทำอะไรด้วยคนหมู่มากนั้น เปนธรรมเนียมฝรั่ง เราเอามาใช้ของเขาก็ดี เพราะอาศรัยยึดเอาความเหนมากคนเปนยืน ทางเราจะทำอะไรก็มักทำด้วยคนคนเดียว ที่จริงการทำอะไรด้วยคนหมู่มากนั้นเริ่มทำมานานแล้ว แต่ถึงจะไม่เหมือนกับทางของเรา ทีหลังก็ลืม
นึกถึงหนังสือของเราฉันก็เหนขัน ลางทีเขียนกับอ่านก็ลงกัน ลางทีก็ไม่ลงกัน จะต้องพูดถึงต้นเค้า เช่นตัวเปล่าเราอ่านว่า พอ อย่างบังกาลีก็ได้ อ่าน พ อย่างบาลีก็ได้ เช่นคำ พยาบาล เปนต้น แล้วจะประหลังเปน พะ อย่างสังสกฤตก็ได้ เช่น พะพวกหลขันธ์ เปนต้น แต่ขอให้​สังเกตว่าเขียนอย่างประหลังกับไม่ประหลังนั้น ถ้าเปนอักษรต่ำแล้ว ตัวเปล่ากับมีประหลังเสียงก็ผิดกันมาก จะเปนด้วยประหลังนั้นกระมัง จึ่งพาให้อ่าน พิ สูงไป
การเขียนรอหัน ก็อยากจะหาว่าเขียนหลง แต่ก่อนนี้ก็เขียน มรคา และ ธรมา กัน เปนเขียนอย่างสังสกฤต คนก็อ่าน มอ-ร-คา และ ทอ-ร-มา ครั้นมาเขียนเปน มรรคา และ ธรรมา-คนก็อ่านเปน มันคา และ ทันมา-การเขียน รอ หัน นั้นหลงมาจนถึงคำ สรเสริญ ก็เขียนว่า สรรเสริญ แต่จะมีใครอ่านตามหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่พูดกันว่า สรเสิน
หรือ สั่งกเสิน นั้นมีแน่ แต่ไม่เปนไร อาจจะฝืนได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบ ถ้าไม่ได้ก็เปนเขียนอย่างหนึ่งอ่านอย่างหนึ่งไป เหมือนหนึ่งเขียนว่า ภรรยา แต่อ่านเปน ภันรยา ไป อะไรก็ไม่เก่งเท่า ครรภ์ แต่อ่านว่า ครัน อันการสับปลับนั้นไม่มีที่สุด เช่น จักรพรรดิ กับ จักรวรรดิ ก็อ่านไม่เหมือนกัน ศักดิ์ก็เท่ากัน
ไม้ไต่คู้ นั้นเคยมีเรื่องมาทีหนึ่งแล้ว ซึ่งควรจะบอกท่านให้รู้เรื่องไว้ด้วย คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านถามความเหนฉัน ว่าคำใดควรเขียนไม้ไต่คู้และคำใดไม่ควรเขียน ทั้งนี้เพราะท่านเหนเขียนบ้างไม่เขียนบ้าง ยุ่งเต็มที ฉันก็ตอบท่านอย่างพุ่ง ว่าคำใดที่มีใช้ทั้งสองอย่าง เช่น เอ็น กับ เอน เปนต้น เอ็น จึงควรใส่ไม้ไต่คู้ ถ้ามีแต่คำเดียวเช่น เห็น ส่วน เหน ไม่มี ก็ไม่ต้องใส่ ผเอิญท่านเหนชอบด้วย
พบคำ หงญี วิฬารญี ในภาษาเขมร คิดว่าคำ หญิง ของเราคงเหมือนกับที่เขมรใช้ว่า ญี นั้น
อันหนังสือพิมพ์ทางข้างไทย พบ ร=ล ล=ร บ่อย ๆ แสดงว่าไม่รู้ ร ล แน่ มีมาก
นึกถึงอักษรสามหมู่ก็เหนขัน อักษรต่ำ ๒๔ ตัว (ไม่นับที่ถอนเอา ขอหยัก คอหยัก ออก) ก็ไม่เสมอกัน ที่เป็นคู่อักษรสูงนั้น ๘ ตัว ​ที่เอาไว้เขียนภาษาบาลีและสังสกฤต กับเขียนภาษาไทยอย่างอุตริ ๘ ตัว เขียนเอา ห นำให้เปนอักษรกลางอีก ๘ ตัว จึงรวมเปน ๒๔ อักษรสูงผันอย่างหางโค อักษรต่ำผันอย่างงากุญชร เข้ากันก็เปนผัน
อย่างอักษรกลางเต็มตัว ทีอักษรต่ำถูกเอกและอักษรสูงถูกโทก็เปนกลบลบหายกันไป จะทักไว้ในที่นี้ด้วยว่า อักษรสูง กลาง ต่ำ ลางตัวก็ไม่ต้องการผัน ยังแลไม่เหนเหตุอยู่แต่ว่าอักษรต่ำที่เอา ห เข้านำให้เปนอักษรกลางนั้น ทำไมไม่จัดให้เปนอักษรกลางเสียทีเดียว การแบ่งอักษรเปนสามหมู่นั้น ฉันไม่รู้ว่าของพวกไรเขามีบ้าง รู้แต่ว่าไม่มี ที่เรามีก็คงเปนด้วยเหนตัวซ้ำกันมาก
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕ น
​ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๘๕
นายยง ส. อนุมานราชธน
ได้เหนคำบังคับให้อ่านว่า บันยาย นี่เปนสนับสนุนคำของฉัน ที่สงสัยว่าจะเขียนรอหันผิด เพราะคำนี้รู้แน่ว่าจะเปน ประยาย หรือ ปยาย ผยาย ไปไม่ได้แน่ แท้จริงมาจากคำมคธว่า ปริยาย หรือสังสกฤตว่า ปรยาย ถ้าจะอ่านเปนไทยก็ต้องอ่านว่า บอ-ริ-ยาย หรือ บ-ร-ยาย แต่อ่านกันว่า บัน-ร-ยาย ถ้าเปรียบด้วยครูแล้ว เด็กเขียนผิดก็จะต้องบอกให้รู้ว่าเขียน บรรยาย และอ่านว่า บันรยาย นั้นผิด ไม่ใช่ครูเขียนเปน บรรยาย แล้วสอนให้เด็กอ่านว่า บันยาย ไปตามที่ผิด
คำที่เปนชื่อทางต่างประเทศเหยียดเอามาเปนไทยเสียดี เช่น หมอปลัดเล หมอจัน เปนต้น เมื่อไม่ช้ามานี้ก็พบคนจีนชื่อว่า กุง ควรเหยียดเอาเปน กุ้ง
คำร่อนเด็กซึ่งว่า สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใครเอาไปเน้อ ความส่อว่าล่วงแล้วสามวันจึ่งร่อน ไม่ใช่ร่อนเมื่อแรกคลอด การสนับสนุนข้อนี้ก็มีวิธีสมโภชสามวันแห่งพระเจ้าลูกเธอ แต่ก่อนนี้เด็กคงตายในสามวันกันเปนพื้น ผู้ที่จะรับเด็กตามคำร่อนว่า ลูกของใครเอาไปเน้อ นั้นจะต้องเปนแม่ของเด็กหรือไม่ใช่เช่นนั้นจะต้องเปนผู้ใหญ่
อันดำรงอยู่ในฐานที่เปนมารดา ผู้ใหญ่ซึ่งดำรงอยู่ในฐานที่เปนมารดาทำการซื้อเด็กกันเมื่อแรกคลอดก็มี แม่ซื้อไฉนจึงเปนผีไปได้ ที่แท้ควรจะเปนคน แต่การซื้ออาจเปนวิธีใหม่ไปก็ได้ นึกถึงคำ แม่เชื้อ จะเปนว่า แม่ซื้อ ไปได้หรือไม่ แต่ ซ่าง เซื่อเมือง ผีเซื่อ ก็เปน ช้าง เชื้อเมือง ผีเชื้อ ไปได้
​คำ มิ ถ้าไม่จำเปนแล้วฉันไม่ใช้ เพราะเห็นชอบด้วยกับพระดำริห์สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์ ว่าคนจะอ่านหลงเปน มี ไปก็ได้ เหตุฉะนั้นจึงทรงเขียน ไม่ ในที่ มิ ดูเหมือนแห่งที่จะต้องใช้ มิ ก็มี แต่มีน้อย
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๕
๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ยส
​กรมสิลปากร
วันที่ 28 ตุลาคม 2485
ขอประทานกราบทูล ซงซาบไต้ฝ่าพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ 16, 18, 25 และวันที่ 27 กันยายน รวม 4 ฉบับไว้แล้ว พระเดชพระคุนหาที่สุดมิได้
ที่ซงพระเมตตาตรัดประทานความรู้ต่าง ๆ ไนเรื่องแบบสถาปัตยกัมไทยนั้น ข้าพระพุทธเจ้าซาบซึ้งไนพระอธิบาย กะทำไห้ข้าพระพุทธเจ้าได้ความคิดสว่างขึ้นอีกเปนอันมาก เวลานี้พระเทวา ฯ ได้เขียนแบบรูปลายกะหนกและลายเครือไว้ได้มากแล้ว จะได้ถ่ายลอกแบบลงไว้ไนสมุดไทยเก็บรักสาไว้ การเขียนไห้เขียนแบ่งส่วนสัดไว้ไห้เห็นด้วย เพื่อได้รู้ว่ามีหลักเปนหย่างไร กับต้องมีลายแบบที่ผิดส่วนหรือมีสิ่งที่
บกพร่องเทียบไว้ไห้เห็นด้วย ว่าลายที่ดีและลายที่เปนชั้นรองลงมาผิดกันหย่างไร และลงชื่อผู้เขียนไว้ด้วย คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า ถ้าจะทำไห้ได้ตลอดจะกินเวลานาน อาดชาๆ กันไป ข้าพระพุทธเจ้าจึงตกลงไห้มีการตีพิมพ์ลายเปนสมุดหนังสือ พร้อมกับวิชาด้านอื่น ๆ ไนกรมสิลปากรขึ้นไว้เปนตอนๆ เพื่อไห้ทันไจและเกิดสนไจไนวิชาเหล่านี้ เวลานี้กำลังรวบรวมเปนเล่มที่หนึ่งอยู่
ความหมายของคำว่า อาร์ต หรือ สิลป์ (ทางราชบันทิตยสถานกำหนดไห้อ่านคำว่า สิลป์ เมื่ออยู่ลอย ๆ ว่า สิน รู้สึกด้วยเกล้า ฯ ว่า ลางทีอ่านว่า สิน คนฟังอาดไม่รู้สึกว่า หมายถึง สิลปะ) ตามหลักของกรีกว่า สิลป หมายถึงรูปสลัก รูปปั้น กวีนิพนธ์ รูปวาด รูปเขียน การขับร้อง และการละคอน เพ่งเลงไนสิ่งเหล่านี้ว่าเปน สิลป์ เมื่อผู้ได้เหนความงามได้ฟังความไพเราะก็เกิดความดูดดื่มและซาบซึ้งเร้ารึงใจ ซึ่งไนภาสาอังกริดเรียกว่า อิโมเชิน แปลกันว่า ความรู้สึกสเทือนไจ ตามความหมายนี้​เกิดเปนปัหา
ว่า ผู้ที่เกิดความรู้สึกสเทือนไจนั้นคือใคร เพราะคนมีความคิดความรู้สึกเปนต่าง ๆกัน ตามชาติชั้น ตามวัย ตามยุคสมัย ตามท้องถิ่น และตามที่ได้รับการสึกสาอบรมมา ความงามและความไพเราะก็เช่นเดียวกัน เปนเรื่องพูดยากทั้งนั้น ไนความคิดของนักคิดฝรั่งว่าอะไรเปนสิลป์ ก็แตกต่างกัน มีเรื่องโต้แย้งกันมาก แต่ที่ลงความเหนกันเปนส่วนมากไนเรื่อง สิลป์ คืออะไร ว่าสิลปเปนเครื่องสื่อสารถึงความรู้สึกและความคิดไนรูปที่มีคุนสมบัติงาม (คุนสมบัติงามในที่นี้ ฝรั่งเรียกว่า Aesthetic ซึ่งมีความหมายก
ว้างกว่าคำว่า Beauty) สิ่งไดถ้าไม่ทำไห้เกิดความรู้สึกและความคิดไห้เหนเด่นขึ้นบ้าง สิ่งนั้นก็ไม่เปนสิลป อันแท้จริงรูปเปลือยที่ฝรั่งถือว่าเปนสิลป ผู้ดูอาดเกิดความคิดและความรู้สึก แต่มักจะไปทางกาม แต่ถ้าดูแล้วเกิดความซาบซึ้งไนความงามทำไห้ไจสูงเกิดเปนธัมอันดีงามก็เปนสิลป์ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าก็เข้ายังไม่ถึงชั้นความคิดนี้ คงเข้าถึงแต่ชนิดที่ดูงามหย่างเดียว ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Decorative art ส่วน Expressive art ซึ่งสแดงความรู้สึกสะเทือนไจนั้น ตาไม่ถึง หูไม่ถึง
คำ จรทึก และ มรึยู ข้าพระพุทธเจ้าค้นหา และทั้งสอบถามใครๆ ก็ยังไม่ได้ความ จรทึก นั้นถ้าเทียบเสียงตามหลักโฟเนติก ก็เปน จรทึง ได้ ถ้าเปน จรทึง ก็แปลว่า แม่น้ำ ว่ามาจาก สตึง ไนภาสาเขมน แผลงเปน จะทึง ก็มี เพี้ยนเปน จะทิง ซึ่งเพี้ยนอีกต่อหนึ่งเปน จะทิ้ง เช่นอำเพอจะทิ้งพระ ไนจังหวัดสงขลา แล้วเกิดเปนมีนิยายประกอบว่า มีใครเอาพระไปทิ้งไว้ จึงได้กลายเปนชื่ออำเพอขึ้น คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า จันทึก ก็น่าจะเปนคำเดียวกัน ถ้าข้อความที่มีคำว่า จรทึก หยู่ด้วย ไม่เปนไปตามที่กราบทูลนี้ ก็เปนอันยังไม่ได้ความ
ผวา ร้องแรกแหกกเชอ ซงคิดว่า จะเติมเข้าทีหลังด้วยกลอนพาไป ขาพระพุทธเจ้าเห็นพ้องไนกระแสพระดำหริ เลยทำไห้นึกถึงถ้อยคำลางแห่งเช่นไนเรื่องพระอภัยมนี มีความแห่งหนึ่งว่า การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ นินทา ซึ่งมี กาเล ต่อท้าย เปนเรื่องแปลกของภาสา ​ตามหลักนิรุกติสาสตรว่า ถ้าเสียงของคำไดไปพ้องเข้ากับเสียงของถ้อยคำที่รู้จักกันแพร่หลาย ก็มักจะลากเอาเสียงอื่น ๆ ไนถ้อยคำนั้นมาต่อด้วย เช่น ต
ทากาเล ไนกาลครั้งหนึ่ง มี ทา ซึ่งไปพ้องกับ ทา ไนคำว่า นินทา คำว่า กาเล ก็พลอยติดมาด้วย กัมสนองเหนือยัมพทันตา กินเสียเหี้ยนเต้ สองคำนี้ก็เปนลักสนะไนทำนองเดียวกัน คำว่า บ้าระห่ำ คิดด้วยเกล้าฯ ว่า คงจะเปนคำอะไรมาจากแขก เสียงตัวหน้าฟังคล้ายบ้า เลยเอามาไช้ต่อกันเข้าทั้งแถว ลางทีจะมาจาก อับราฮัม หรืออะไรเช่นนั้น
คำไช้เรียกวงสาคนาาติไนภาสาไทย มีจัดรวมกันเปนพวกๆ เช่น ปู่ย่าตายาย (Ancestors) พี่ป้าน้าอา (Relatives) พ่อแม่ (Parents) พี่น้อง (ฝรั่งไม่มีคำรวม) ลูกหลาน (Descendents) คำว่าลูกพี่ลูกน้อง คงคิดขึ้นไช้ภายหลังดั่งที่ทรงพระดำหริ เพราะนอกจากที่กล่าวมาแล้ว คำไนไทยต่างๆ มักไช้ไม่เหมือนกัน ไนภาสาจีน ถ้าผู้
ที่เปนชั้นเหนือปู่และตาขึ้นไปเรียกว่า โจ๊ ถ้าต้องการจะไห้ซาบว่าเปนฝ่ายได ก็เติมคำอื่นลงไป ฝรั่งไช้ว่า Fore Fathers แปลว่า มาก่อนพ่อ แล้วยังไช้คำ โจ๊ สำหรับบอกลิงค์เปนเพสชายได้ด้วย เช่น พระพุทธเจ้าก็เรียกว่า ฮุดโจ๊ ข้าพระพุทธเจ้าค้นคำที่ไช้ถัดหลานลงไปไนภาสาไทยถิ่นต่างๆ มีดังนี้
กตหมายเก่า เหลน หลือ หรือ ลื่อ
ชาวบ้าน เหลน โหลน หลิน
พายัพ เหลน หลิด ลี่
อีสาน เหลน หล้อน -
ไทไหย่ หลิน - -
ปักส์ไต้ เหลน เล่อ หลิน
ตามนี้มีพ้องกันเพียง เหลน ถัดจากนั้นไม่สู้ตรงกัน นอกจากปักส์ไต้ตรงกับกตหมายเก่าและของชาวบ้าน ที่ซงพระดำหริว่าถัดลูกลงไปจะเปนกี่ชั้นก็ตามเรียกว่าหลานทั้งนั้น ข้าพระพุทธเจาเห็นพ้องในกะแสพระดำหริ ยังมีคำว่า ลูกหลาน สนับสนุนหยู่ ที่เกิดมีคำถัดจาก​หลานลงไป คงจะต้องการแบ่งต่อไปอีกด้วยความจำเปน เพื่อ
ประโยชน์ในทางกตหมาย หรืออะไรไนทำนองเช่นนั้นซึ่งเปนของเกิดพายหลัง คำว่า น้า เปนได้ทั้งหยิงและชาย คำนี้แปลกกว่าคำอื่น ๆ และเปนหย่างนี้เหมือนกันหมดไนไทยทุกถิ่น จะเปนเพราะเหตุไร เปนเรื่องน่าคิดและน่าค้นคว้าต่อไป ข้าพระพุทธเจ้าได้พยายามสอบค้นแล้วยังไม่ได้ความ คงต้องมีเหตุอะไรหย่างหนึ่งจึงได้เปนเช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้ายังไฝ่ฝันหยู่
เรืองผี่ ที่ซงพระดำหรินั้นจับไจข้าพระพุทธเจ้ามาก เปนเรื่องอย่างที่ฝรั่งว่า อารยธัมหยู่ที่ผิวหนังเท่านั้น ไต้ผิวหนังก็เปนเนื้อแดงเหมือนกันหมด ทั้งคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า นับวันผีจะมีน้อยเข้า เพราะความจเรินทำให้ผีหนีหลบเข้าไปหยู่ไต้ผิวหนังมากเข้า มองกันเผินๆ ไม่ไคร่เห็น ข้าพระพุทธเจ้ากำลังให้เขา
สืบสวนจดประเภทผีต่าง ๆ ที่ยังเหลือหยู่ตามถิ่นต่าง ๆ โดยฉะเพาะไนภาคอีสานและพายัพ ยังมีเหลือหยู่มากชะนิด ถ้าไม่รีบจดไว้นับวันจะเหลือน้อยเข้าทุกที เพียงแต่ผีชมบและผีจะกละ ไนกตหมายเก่า เวลานี้ก็ไม่รู้กันว่าเปนผีชะนิดได ผีกะหังผีกะสือและผีโขมด เดี๋ยวนี้ก็กำลังจะหมดไป ข้าพระพุทธเจ้าไม่ซาบเกล้าฯ ว่า เหตุไรรูปเด็ก
ฝรั่งมีปีกจึงเรียกว่าตัวอรหัน จะเพี้ยนไปจาก กะหัง หรือ กะหัง มาจาก อรหัน ขอประทานซาบเกล้า ฯ ด้วย ที่ตรัดเล่าเรื่องมีละคอนแก้สินบนที่บ้านของละคอนเอง เปนความรู้ที่ข้าพระพุทธเจ้าเพิ่งซาบ เปนอันเกือบเข้าขั้นทำตุ๊กตาเรียกว่าละคอนยกไปแขวนไว้ถวายเจ้าพ่อเจ้าแม่ เดี๋ยวนี้หายไปหมด ไม่พบปะมีแขวนกันเหมือนเมื่อก่อน คนทำขายก็คงไม่มี เพราะมีผู้ต้องการน้อย เรื่องเหล่านี้ฝรั่งเรียกว่า folkways คือความเปนไปของชาวบ้านหรือชาวชนบท ซึ่งมีความคิดความเห็น ความเชื่อถือ
และความเปนอยู่ สืบต่อเปนประเพนีกันมา ถ้าแยกออกเปนประเภทก็จะมีเรื่องคำพูด เครื่องแต่งและประดับกาย บ้านเรือนที่อยู่อาสัย เครื่องไช้ไม้สอย วิธีหุงต้ม และการกินหยู่ จารีตประเพนีทางสาสนา พิธีเกี่ยวกับเกิด แต่งงานและตาย เครื่องมือทำมา​หากิน วิชาช่างและหัตถ์กัม การคมนาคมและการขนส่ง ค้าขาย การเล่นและการรื่นเริง เหล่านี้ เปนเรื่องที่ชาวบ้านถือและสืบต่อกันมา เรื่องเหล่านี้ข้าพระพุทธเจ้าไฝ่ฝันอยู่เสมอ ที่ใคร่จะรวบรวมเอาไว้ก่อนจะสูสิ้นไป
สมเด็จพระมหาวีระวงส์ มีลิขิตมาขอให้ข้าพระพุทธเจ้าเขียนคำนำเรื่องท้าวเจือง เรียกเปนสามัว่า ท้าวหุ่ง หรือ ท้าวฮุ่ง ซึ่งเปนกสัตริย์ลือชื่อครั้งดึกดำบรรพ์ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าแต่งคำนำ นึกสกิดไจไนตอนที่ท้าวฮุ่งไปรบกับพวกแมน ซึ่งมีชื่อแม่ทัพ มีคำว่า แมน นำหน้าไว้เสมอ พวกแมนสู้ไม่ได้ ไปขอความช่วยเหลือจากพวกแถน ท้าวฮุ่งเสียที ตายไนที่รบ ไปเกิดเปนผี ยกทัพขึ้นไปรบกับพวกแถน พระยาอินทร
หรือหัวหน้าพวกแถนยอมแพ้ ยกเมืองสวงไห้ท้าวฮุ่งครอบครอง พวกแมนนั้นตามประวัติสาสตรว่า ได้แก่พวกข่าซึ่งจีนเรียกว่า หม่านจื๊อ มีตลอดไปถึงประเทศจีนตอนไต้ ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยว่า แมน จะได้มาจากพวกหม่าน หรือ แมน ซึ่งหยู่เขาที่สูง ไนหนังสือเรื่องนั้นลางทีก็เรียกว่า ผีแมน กับคำว่า ฮุ่ง ก็ไกล้กับคำว่า ร่วง จะเปนผู้แต่งเอาชื่อพระร่วงไปตั้งไห้ก็ยังไม่ซาบเกล้า ฯ
มิ ซงเหนว่าไม่จำเปนก็ไม่ควนไช้ ข้าพระพุทธเจ้าเหนกับกะแสพระดำหรินี้ ไนภาสาไทยถิ่นต่างๆ ไช้ มิ และ บ่อ หม่อ หม่าย มากกว่าไช้ว่า ไม่ หรือจะเปนเพราะ มิ ไกล้กับ มี มาก จึงได้แปลงเสียง มิ เปนไม่ ไป ข้าพระพุทธเจ้ายังสอบสวนไม่ได้ตลอด
เรื่องแมลงผีเสื้อ มีผู้อธิบายไห้ข้าพระพุทธเจ้าฟังว่า ทางอีสานถือว่าวิานของคนตายสิงอยู่ไนตัวสัตว์นั้น เปนคติคล้ายคลึงกับชาติต่าง ๆ ที่ว่าตัวเจตภูตเปนตัวมแลง ทางพะม่าว่าตัวขวัคือตัวผีเสื้อ เช่นนี้เองมแลงชะนิดนี้จึงได้ชื่อว่า ผีเชื้อ ดังที่เคยตรัดบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า ชาวอีสานกลัวฝูงผีเสื้อมาก ว่าจะนำตัวเชื้อโรคมาไห้
​อนึ่ง คำว่า เบื้อ ไนปทานุกรมว่า เปนสัตว์ชะนิดหนึ่งไม่มีลูกสบ้า แต่ตามความหมายนี้เข้ากันไม่ได้กับคำว่า เนื้อเบื้อนาเนกล้ำ หลายพันธุ์ กับคำว่า มุกแกมเบื้อ ก็เปนอีกหย่างหนึ่ง ไนภาสาจีนมีคำว่า ปวย หรือ ปุย ว่าเปนสัตว์ชะนิดหนึ่ง เดินไม่ได้ ไปไหนก็กะโดดไป ฝรั่งว่าอาดจะเปนตัว Jerdao ซึ่งรูปร่างคล้ายตัวจิงโจ้ แดงการู แต่เล็กกว่ากันมาก ไนภาสาไทยคำที่มีคำ เบื้อ แปลว่า Animal แต่อธิบายว่ากินความไม่
กว้างเหมือนคำว่า Animal ถ้าเช่นนั้น เบื้อ ต้องเปนสัตว์ป่า ไม่ใช่สัตว์ทั่วไป ซึ่งรวมทั้งสัตว์บ้านด้วย ดูความก็ตรงกันกับที่ไช้ว่า เนื้อเบื้อ ไนไทยไหย่มีคำว่า เมอ แปลว่าโง่หย่างบัดซบก็ไกล้กับสำนวนที่พูดกันว่า นั่งเปนเบื้อ น่าจะตรงกับสัตว์ที่ไม่มีสบ้า เบื้อ อีกความหนึ่ง พายัพหมายถึงแสงเลื่อมพราย ก็เข้ากันได้กับคำว่า มุกแกมเบื้อ คือมุกแกมสิ่งที่มีเลื่อมพราย ได้แก่กะจกเงา ถ้ากะจกธัมดาไม่ขึ้นเงาก็ไม่เปนกะจกเบื้อ
ข้าพระพุทธเจ้าลองจับเอาคำสันสกริดและบาลีลางคำมาพิจารนาดู รู้สึกด้วยเกล้า ฯ ว่า การกลายไนระหว่างสองภาสานี้ไม่ได้เปนไปตามบุตามกัม การกลายนั้นย่อมเปนไปตามหลักโฟเนติ๊กไนวิชานิรุกติสาสตร์ เช่น ภารยา-ภริยา อาจารย-อาจริย สุรย-สุริยา ที่บาลีเปนเสียงมี อิ หยู่ที่เสียง ร เปนเพราะบาลีว่าเสียงกล้ำไม่ได้ ต้องอาสัยเสียง อิ เปตสวรภักดิ์เข้าช่วย เปนหย่าง กรม ถ้าว่ากล้ำไม่ได้ ก็จะเปน กิรม
พูดเร็วเข้าเสียงเพี้ยนเปน เกรียม ไป เช่น กรมเกรียม หรือหย่างที่เคยตรัดถึงคำ ควาย เด็กว่าเสียงควบไม่ได้ก็ต้องสอนไห้อ่านว่า ค่-วาย เมื่อเกิดมีเสียง อิ ขึ้น ก็แบ่งกำลังของเสียงสระคำหน้ามาเสียครึ่งหนึ่ง เสียง อา ก็หดสั้นเปน อะ ไป ภารยา จึงเป็น ภริยา สูรย จึงเปน สุริย การอ่านออกเสียงไนคำ ควาย เปน ค่-วาย ย่อมมีช่องโหว่ไนเสียงระหว่าง ค่ กับ วาย ทางสันสกริตและบาลีไม่ชอบ ต้องพูดไม่ไห้มีช่องว่าง เมื่อ
ไม่มีซ่องว่าง เสียงก็กลมกลืนกันเกิดเปนสนธิขึ้น ช่นถ้าพูดว่า ท่าอุเทน ถ้าแขกพูด ไม่ยอมไห้มีช่องว่างระหว่างเสียง ท่า กับ อุเทน จะต้องไห้เสียง อา+อุ กลืนกันเกิดเปน เทาเทน ​หรือ โทเทน ถ้าเน้นเสียง อา หนักกว่า อุ ก็เกิดเปน เอา หย่างสันสกริด ถ้าเน้นเสียง อุ หนักกว่า อา ก็เกิดเปน โอ หย่างบาลี เหตุนี้คำที่สันสกริดมีเสียง เอา บาลีก็เปนเสียง โอ ถ้าสันสกริดเปน ไอ บาลีเปน เอ ก็เปนไปไนหลักเดียวกัน คือเกิดจากเสียง อา+อิ ยังคำ สุเมรุ กับ สิเนรุ ก็เปนคำเดียวกัน เพราะ อุ กับ อิ เปนสระหยู่
ระดับของลิ้นเท่ากัน ต่างแต่ อุ หยู่ที่โคนลิ้นและริมฝีปาก อิ อยู่ที่โคนฟัน เหตุนี้ในภาสาไทย เมื่อพูดคำคู่จึงเปน อ้อ-แอ้ โอ้-เอ้ อู้-อี้ ไนภาสาไทยมีคำเช่น ข้าวตอก ไนไทยไหย่เปน ข้าวแตก ก็อยู่ไนแนว แฮ-ออ เมื่อสระตัวหน้าเปน อุ ตัวพยัชนะตามก็ต้องไห้กลืนกัน เสียงพยัชนะที่อยู่ริมฝีปากพวกเดียวกับ อุ ก็คือวัด บ ป เสียงพยัชนะที่อยู่ไกล้กับ อิ คือวัค ด ต เหตุนี้จึงได้เปน สุเมรุ-สิเนรุ คิดด้วยเกล้า ฯ ว่า การเรียนบาลี ถ้าได้รู้หลักเหล่านี้ไว้ จะทุ่นเวลาท่องเรื่องสนธิได้มาก
ควนมิควนแล้วแต่จะโปรดเกล้า ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า ยง อนุมานราชธน
โฆษณา