11 ก.ย. เวลา 11:06 • ปรัชญา

กรรม กับ ดวงชะตา

วันนี้จะมาเล่าให้ฟังในเรื่อง กรรม กับ โหราศาสตร์ การทำนายเนี่ยมันทำนายได้ยังไง ก็ต้องรู้ก่อนว่าตัวกรรมมันทำงานยังไง ซึ่งผมนับถือ พระพุทธศาสนาก็จะยึดเรื่องของกรรมตามพระไตรปิฎก ไปจนถึงวิธีการทำงานของกรรม ก็ยึดจากพระไตรปิฎกเป็นหลัก
ก่อนจะอ่านกันต่อก็ทำข้อตกลงก่อน ส่วนที่ผมอธิบายเป็นความเข้าใจของผม ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมเข้าใจมานี้ ไม่มีที่ผิดพลาด แต่หากว่าผิดพลาดต้องขออภัย และไม่อยากให้เชื่อผมทั้งหมดโดยไม่สอบทานใด ๆ ก็เอาเป็นว่า ฟังหู ไว้หู อย่าพึ่งปักใจเชื่อก็แล้วกันครับ
ประเภทของกรรมในพระพุทธศาสนา มีหลายประเภทนะครับ อันแรกก็จะเป็นการให้ผลตามเวลา ก็จะมี ให้ผลในชาตินี้ ให้ผลในชาติหน้า ให้ผลในชาติถัดถัดไป และที่เรารู้จักกันดีในชื่อของอโหสิกรรม คือไม่ผลแล้วหมายถึงว่าหมดโอกาสให้ผล ซึ่งถ้าพูดกันตามหลักการแล้วการอโหสิกรรมในศาสนาพุทธไม่มีจริง เช่น เราทำบาปกับพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ถือโทษโกรธอโหสิกรรมให้แล้ว แต่บาปนั้นก็ยังต้องรับอยู่ดี ก็คือว่า มีผู้มาทำกรรมกับเราเพื่อสนองในบาปนั้นเสมอ เพียงแต่เจ้ากรรมนายเวรไม่ใช่พ่อแม่ของเราก็เท่านั้นครับ
ต่อไปก็จะเป็นกรรมตามหน้าที่ ก็จะมีชนกกรรมคือกรรมกำเนิด กรรมสนับสนุน ในส่วนของกรรมสนับสนุนก็พอจะอธิบายได้ว่า ถ้าเราเกิดในชาติตระกูลที่ดีก็จะจะมีการอุ้มชูเลี้ยงดูที่ดีก็จะย้อนกลับมาทำให้ชนกกรรมทำหน้าที่ของมันไปได้อย่างสมบูรณ์เป็นต้นครับ
ต่อไปก็คือกรรมบีบคั้นในส่วนนี้ถ้าจะให้อธิบายก็คือว่าเราเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินมากแต่เมื่อผ่านไปพ่อแม่ของเราประสบปัญหาชีวิตล้มละลายอันเนี่ยก็จะทำให้มันบีบคั้นให้เราต้องตกต่ำและต้องดิ้นรนกลับมาอะไรอย่างนี้เป็นต้น
ต่อไปก็คืออุปฆาตกรรมแปลเป็นไทยก็คือกรรมตัดรอน เช่น อยู่ดีๆก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตอันนี้ก็เป็นอุปฆาตกรรมเช่นกัน แต่เป็นแบบที่ไม่ดี และอีกแบบก็คือ แบบที่ดี เช่น อยู่มาวันนึงไม่ได้ตั้งใจก็ไปซื้อหวยแล้วอยู่ดี ๆ ก็ถูกหวย ชั่วข้ามคืนก็เป็นเศรษฐี 12 ล้าน กันไปอันนี้ก็เป็นอุปฆาตกรรมเช่นกัน หมายถึงตัดรอนในสิ่งที่กรรมผลไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นบาปหรือบุญก็ตาม
ต่อไปคือกรรมที่ให้ผลตามความแรงก็หมายถึงความหนักเบาของกรรมก็จะมี
ครุกกรรม (กรรมหนัก) เป็นกรรมที่มีโทษหรือมีผลบุญมากที่สุดและให้ผลก่อนกรรมอื่น ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว เช่น อนันตริยกรรม เป็นต้น สอง พหุลกรรม (กรรมที่ทำมาก) อีกชื่อหนึ่งคือ อาจิณณกรรม เป็นกรรมที่ทำบ่อย ๆ จนกลายเป็นความเคยชิน ทั้งในด้านดีและด้านชั่ว กรรมประเภทนี้จะให้ผลรองจากครุกกรรม เพราะมีความหนักแน่นจากการกระทำซ้ำ ๆ
สาม อาสันนกรรม (กรรมใกล้ตาย) เป็นกรรมที่ทำในขณะใกล้จะตาย หรือกรรมที่นึกถึงได้ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว กรรมประเภทนี้จะให้ผลเป็นลำดับถัดไปหลังจากครุกกรรมและพหุลกรรม ตัวนี้มีผลโดยตรงกับการกำหนดภพชาติ คือ กำหนดชาติภพที่จะไปเกิด เช่น จิตสุดท้ายนึกถึงปลาที่เคยขอดเกล็ด แบบนี้ก็ได้ไปเป็นปลา จิตสุดท้ายระลึกได้ว่า อยากครองแผ่นดิน แบบนี้ก็ไปเป็นไส้เดือน จิคสุดท้ายระลึกได้ถึงอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน แบบนี้ก็ไปอยู่ในสุขคติภพ เป็นต้น
สี่ กตัตตากรรม (กรรมสักว่าทำ) เป็นกรรมที่ทำเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่กรรมที่ทำบ่อย ๆ หรือตั้งใจทำอย่างจริงจัง กรรมนี้จะให้ผลเป็นลำดับสุดท้ายหากไม่มีกรรมอื่น ๆ ที่จะส่งผลก่อน คือ ทำ ๆ ไป ไม่ได้คิดอะไร เช่น ทำทานเล็กน้อย เขาขอ ก็ให้ อะไรประมาณนี้ หรือทำความสะอาดบ้าง ก็กวาดแมลงไปโดยไม่ตั้งใจ อะไรแบบนั้น เป็นต้น
ตอนนี้ก็รู้แล้วนะครับว่ากรรมมีกี่ประเภทมีอะไรบ้างทีนี้เราก็ต้องมาสรุปกันว่ากรรมน่ะให้ผลกันในแบบไหน
ตัวกรรมเองเนี่ยเค้ามี concept ของเค้าอยู่ คือ ยิ่งผู้ที่เราทำกรรมด้วยความดีมาก ก็จะหนักมาก มีความดีน้อยก็จะหนักน้อยลงไป อันนี้เป็นเบื้องต้น เพราะฉะนั้นเวลาคุณจะทำบุญหรือบาปกับใครก็แล้วแต่ ก็ต้องดูด้วยว่าเค้าดีมากหรือดีน้อย อย่างเช่น พระเทวทัตคิดจะทำร้ายพระพุทธเจ้าด้วยการกลิ้งหินลงมาจนทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่ดีมีความดีมาก แบบประมาณไม่ได้ ด้วยบาปตัวนั้นเพราะเทวทต้องถูกธรณีสูบอย่างนี้เป็นต้นครับ
ทีนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วนะครับว่ากรรมทำงานยังไง ทีนี้ในส่วนของการเกิดภพชาติ ถ้ากรรมที่เราทำมีความหนักมากก็จะให้ผลในชาติปัจจุบัน หรือชาติถัดต่อจากนี้ 1 ชาติ แต่ถ้าหนักน้อยลงไปก็จะให้ผลในชาติถัดไป อย่างนี้เป็นต้น นี่คือ concept การให้ผลของกรรมนะครับ
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็เอาตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพานต้องเดินทางด้วยเกวียนไปในเมืองที่พระองค์จะต้องปรินิพพาน
ในตอนนั้นพระพุทธเจ้าทรงกระหายน้ำจึงใช้พระอานนท์ให้ไปตักน้ำมาให้ พระอานนท์ไปรอบแรก หนองน้ำนั้นขุ่น พระอานนท์กลับมา ไม่ได้ตักน้ำมาให้พระพุทธเจ้าได้ฉัน พระพุทธเจ้าจึงทรงให้พระอานนท์ไปรอบสอง ครั้งนี้หนองน้ำนั้นใสพระอานนท์จึงตักมาให้พระพระพุทธเจ้าได้ฉัน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ครั้งนึงพระพุทธองค์เคยเกิดเป็นคนเลี้ยงวัว พาวัวเดินไป วัวกระหายน้ำ เมื่อเจอหนองน้ำแรก หนองน้ำนั้นขุ่น พระองค์จึงตัดสินใจว่า ให้วัวเดินไปต่ออีกหน่อย เพราะหนองน้ำนั้นขุ่นจะให้วัวได้กินได้อย่างไร เมื่อไปถึงหนองน้ำที่สอง หนองน้ำนี้ใสนัก พระองค์จึงให้วัวได้กินน้ำ ด้วยกรรมตัวนี้นี่แหละที่ทำให้พระพระพุทธเจ้าได้ฉันน้ำในครั้งที่สองไม่ได้ฉันน้ำในครั้งแรกในทันที
หรือแม้แต่ฐานะของพระพุทธเจ้าเอง ก็ด้วยพระองค์ทรงบำเพ็ญเพียร เริ่มจากคิดก่อน คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ฉันอยากเป็นพระพุทธเจ้า คิดไป 7 อสงไขย ระหว่างนั้นก็สะสมบารมีไปด้วย ก็คือ สั่งสมบารมีสิบทัศน์ หลังจากนั้นเมื่อถึงในระดับหนึ่ง คือมีบุญมากพอ สั่งสมมามากพอแล้ว คือ ถึง 7 อสงไขยแล้วเนี่ย พระโพธิสัตว์ก็จะประกาศแล้ว ประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่า ฉันคือพระโพธิสัตว์ ฉันนี้ปารถนาพุทธภูมิ ประกาศกันไป สะสมบารมีต่อไป อีก 9 อสงไขย
อันนี้พูดถึงพระสมณะโคดมของเรานะ ที่เป็นสายปัญญาธิกะ
เมื่อบารมีเต็ม แล้วก็จะได้พบพระพุทธเจ้า และได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ตอนนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจะได้เป็น นี่คือถอยไปไหนไม่ได้แล้ว ลาพุทธภูมิไม่ได้แล้ว ก็ไปกันต่ออีก 4 อสงไขย กับ แสนมหากัปป์ จะเห็นว่า กว่ากรรมจะให้ผลในแต่ละครั้งนั้นไม่ใช่ง่าย ๆ ต้องผ่านการคิด คือ มโนกรรม ผ่านการพูดคือ วจีกรรม ผ่านการทำคือ กายกรรม จนครบองค์ที่กรรมจะเกิดได้อย่างสมบูรณ์
เราเกิดมาให้แ ละเกิดมารับของที่เราเคยให้ไป และเกิดมาเพื่อพัฒนาตัวเองขึ้น
ถ้าอธิบายให้ยาวขึ้นก็คือ เราเกิดมาเราทำกรรมกับผู้อื่น นี่คือการให้ ไม่ว่า การกระทำนั้นจะเป็นบุญ หรือเป็นบาปก็ตาม เมื่อเราทำไปแล้ว จะต้องรับสิ่งนั้นในภพชาติถัดไป หรือถ้ามันหนักมันก็จะให้ผลในชาตินี้ก็คือ เราได้รับกลับคืนสิ่งที่เราให้ออกไป ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือเป็นบาปก็ตาม ผลส่วนนั้นนั่นแหละคือชะตากรรมของคนในภพชาติต่อไป เรากำลังเขียนภพชาติต่อๆไปด้วยการกระทำของเราในปัจจุบัน อดีตเราแก้ไขไม่ได้ อนาคตเราเขียนขึ้นใหม่ได้ แต่ของที่เขียนขึ้นใหม่นั้นก็จะพัวพันกับผลของอดีตที่เราเคยทำไปเสมอ
เพราะอนาคตที่ว่า มันก็เป็นอนาคตของอดีตนั้นนั้นเช่นกัน
ในส่วนของโหราศาสตร์ ก็ต้องมาดูความเป็นมากันก่อน คนโบราณเขาดูดาว และเริ่มสังเกตุเห็นว่า เมื่อดาวโคจรถึงตำแหน่งนั้น ตำแหน่งนี้ แล้วก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นในชีวิตเขา ก็เริ่มเกิดการบันทึกขึ้นเป็นหลักวิชา
สิ่งที่อยู่นานที่สุดในเอกภพนี้คือ ดวงดาว แผ่นดินราบลง ขึ้นสูง เกิดแม่น้ำ แผ่นดินทลาย แยกออก แตกเป็นทวีป สิ่งที่ยังไม่สลายไปคือ ดวงดาว การโคจรของดวงดาว ไม่ต่างกับฝนตก ไม่ต่างกับแดดออก ไม่ต่างกับน้ำค้างบนยอดหญ้า ไม่ต่างกับความมืด ความสว่าง ไม่ต่างกับลมพัดมา
ผลของดวงดาว มันก็ไม่ต่างกับการที่ฝนตกลงมาแล้วตัวคุณเปียก คุณชื้น คุณแฉะ ไม่ต่างกับลมพัดมาแล้วคุณรู้สึกเย็น ไม่ต่างกับเดินกลางแดดแล้วคุณรู้สึกร้อน เพราะมันเป็นธรรมชาติ
คนในสมัยโบราณน่าจะว่าง เขาก็ดูดาวกันจนสังเกตุได้ว่า ดาวอยู่ในตำแหน่งใด เกิดผลแบบไหน เมื่อบันทึกนานเข้า เป็นสถิติที่ชัดเจน ก็เกิดเป็นหลักวิชาด้านการคำนวณต่าง ๆ เพื่อทายชะตา
ถ้าเกิดเวลาเกิดถูกต้อง ตามหลักวิชาสามารถทายได้จนถึงหลักวินาที ในโหราศาสตร์ไทย มีวิชาที่ถือเป็นที่สุดของวิชาชื่อว่า อิทภาษบาทจันทร์ พวกผมตั้งชื่อเล่นว่า อินภาษลำบากจัง เพราะว่ากว่าจะคำนวณได้ครบค่อนข้างใช้เวลามาก และผิดหนึ่งที่ก็ทายผิดทั้งหมด เวลาทำนาย จะมีหลักปี หลักเดือน หลักวัน ให้อ่าน จึงทำนายได้แบบนี้ คุณจะต้องประสบปัญหานี้มาแล้ว 2 ปี 9 เดือน 28 วัน และเรื่องนี้จะจบใน 1 ปี 3 เดือน 2 วัน จะบอกเวลาเริ่มเรื่อง และจุดจบของเรื่องได้
ซึ่งตามตำราไม่มีใครตั้งหลักชั่วโมง กับหลักนาที หลักวินาที ตอนคำนวณก็เห็นแหละว่ามี แต่มันเหนื่อยที่จะต้องนั่งคำนวณต่อ อาจารย์ผม (อาจารย์สะพานเดินเรือ) ท่านว่า เท่านี้ก็พอแล้ว ละเอียดแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นในจักรวาล ในเอกภพ ไม่ต้องไปจักรวาลอื่น ดูที่จักรวาลของเราก็พอ ไม่ต้องไปจักรวาลของคนอื่น
จักรวาลเกิดจากกองกิเลสของหมู่สัตว์ คิดแล้วจึงเป็น ก็ให้บุญ ให้บาป ติดในบุญ และบาป สร้างวงจรขึ้นมา หมู่จิตที่นับไม่ถ้วนนี้ ต่างทำแบบนี้ ส่งความคิด ความยึดติดในเรื่องต่าง ๆ ลงมาในวัฏสงสารนี้ จึงหมุนวนกันไป เป็นจักรวาลนี้
ที่ทำนายกันได้ด้วยตำแหน่งดาวที่เป็นธรรมชาติ เพราะที่ตรงนี้ คือที่เดียวกัน ทุกสิ่งหมุนวน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไป ในที่เดียวกัน มันจึงถึงกันทั้งหมด เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ไม่รู้ว่าใครพูด แต่ไม่เกินจริงครับ
มวลกิเลสของสรรพสัตว์ ทำให้เกิดจักรวาลนี้ขึ้น ทุกอย่างจึงเชื่อมถึงกันหมด คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะว่า หมอดูทำนายหวยแม่น ทำไมไม่ซื้อเอง หรือไม่ก็หมอดูลืมดูดวงตัวเอง
หมอดูเอง ก็มีกรรมเป็นของตนเช่นกัน รู้เลข ไปซื้อ ไม่มีเลขให้ซื้อ หรือรู้เลข ไปซื้อแล้ว ไม่ถูก ย้อนกลับมาดูที่ตัวเองคำนวณไว้ ตายล่ะคำนวณผิด ก็เอวังกันไป ไม่ใช่เรื่องตลกนะ มันมีกรรมครอบใหญ่ ครอบไว้ เราก็ดิ้นกันไปบนบทที่เราแต่งขึ้นเอง เรื่องราวมันก็เป็นแบบนี้มานาน และมันก็จะเป็นต่อไป
หมอดูทายไม่ถูก แต่ทายอดีตรง เคสแบบนี้ก็มีอยู่ ดาวมันก็อยู่ของมันแบบนั้น วิธีคำนวณก็เหมือนเดิม ตอนเราอยู่ในอดีตดาวที่เห็นคือดาวในอนาคต พอเรามาถึงอนาคตที่ว่า ดาวที่เห็นก็เป็นในปัจุบัน เวลาเลยผ่านไปดาวที่เห็นก็เป็นดาวในอดีต
ที่ทายอดีตถูก เพราะเรื่องนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว เป็นเรื่องที่ดิ้นไปไม่ได้แล้ว จึงตีความได้อย่างเที่ยงตรง ที่ทายอนาคตผิดบ้างถูกบ้าง เพราะเรื่องในอนาคตยังไม่เกิดขึ้น และมีอีกส่วนคือ ความหมายดาวมีมาก มีทั้งด้านดี และด้านร้าย
เช่น ดาวอาทิตย์
บุคคล คือ พ่อผู้ให้กำเนิด สามี บุรุษเพศ เจ้าเมือง ผู้มียศศักดิ์ ผู้นำ ช่างโลหะ
ในด้านอื่น ก็เรื่อง ยศศักดิ์ ไม่มียศศักดิ์ ถือตัว ไม่ถือตัว เจ้ายศเจ้าอย่าง คนง่าย ๆ สบาย ๆ
ในส่วนของนิสัยทำไมทายทั้ง มี และ ไม่มี นั่นก็เพราะว่า ดาวอาทิตย์ถ้าเสีย ก็ต้องทายกลับด้าน นอกจากนี้ก็ยังมีตำแหน่งดาวอีก
และอีกเหตุผลที่ทายอนาคตไม่ถูก ก็เพราะ หมอดูก็อยู่ภายใต้กรรม ล้วนเป็นผู้หมุนกรรมให้ขับเคลื่อนไป มีพี่ที่รู้จัก ไปหาหมอดูถามว่าลงทุนได้ไหม หมอดูบอกลงทุนได้ แกก็ทำ สุดท้ายเจ๊ง แต่เอาดวงมาดู ก็บอกว่า แกจะฐานะเปลี่ยนจากรวยเป็นจน จะเห็นว่าหมอดูเป็นกรรมสนับสนุนให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น
ทุกคนที่ผ่านมาในช่วงชีวิตหนึ่ง จึงล้วนเป็นจักร ของกันและกัน เหมือนผลัดกันหมุน ให้ชะตามันวนไป
ตอนนี้ถ้าอธิบายดาวง่ายสุดน่าจะเป็นดาวใหญ่อย่างมฤตยู ตัวมฤตยูจะอยู่ราศีละ 7 ปี ตอนนี้เขาเข้าราศีพฤษภ เป็นกดุมภะของลัคนาโลก แปลเป็นไทยคือ การเงินของโลก มฤตยูเขามีหน้าที่ กิน และปฏิวัติ อยู่เรือนเงิน ก็กินเงินโลกไง ทำให้เงินมันผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ หน้าที่ปฏิวัติ ก็ทำให้โลกเริ่มหันเข้าหาประเภทอื่น อย่างพวกเงินดิจิตอลเป็นต้น
คนที่เรียนโหราศาสตร์ก็ได้ศึกษาเรื่องกรรมไปด้วย จะเห็นภาพชัดกว่าคนทั่วไป และที่เล่ามาถึงตอนนี้ ก็อยากจะย้ำวิธีการของกรรมอีกครั้งรวมถึงวิธีการให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี คือ เมื่อถึงเวลาที่กรรมให้ผล เขาจะสร้างสถานการณ์ขึ้น และดึงให้คุณไปอยู่ท่ามกลางสถานการณ์นั้น ในตอนนั้นคุณจะมีโอกาสได้เลือก ถ้าคุณอยากให้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไปดี และบาปที่ได้รับในปัจจุบัน หรือต้องรับในอนาคตเบาบางลง
สิ่งที่คุณควรต้องเลือก คือ ไม่ผิดศีล
ไม่โหดร้าย ไม่มือไว ไม่ใจเร็ว ไม่พูดปด ไม่หมดสติ
เพียงเท่านี้ บทที่คุณเขียนขึ้นใหม่ ก็จะค่อย ๆ เข้าไปแทนที่ของเดิม เมื่อบทใหม่ที่เขียนขึ้น มันมีน้ำหนักมากกว่า คุณก็จะมีชีวิตที่ปกติสุข และเมือตัวคุณพัฒนาถึงที่สุด คุณก็จะหลุดจากโลกสมมุตินี้ไปได้ในที่สุด ขอให้ทุกท่านอยู่ในทางที่จะเจริญขึ้นไปครับ
ThaiLocalAstro
-
วิธวัฒน์ แก้วดก
Witawat Kaewdok
-
นักอ่านชะตา
ชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/943JctvmiX8
โฆษณา