วันนี้ เวลา 04:00 • ธุรกิจ

“ธนาคารครอบครัว” สูตรลับส่งต่อมรดก ให้ไม่มีวันหมด แบบหนึ่งในตระกูลที่รวยที่สุดในโลก

หากพูดถึงตระกูล Rockefeller สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง ก็คือคุณ John D. Rockefeller มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำมัน Standard Oil ผู้เคยถูกจัดอันดับว่าเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว
1
แต่ในขณะที่หลายตระกูลเศรษฐีในรุ่นเดียวกัน วันนี้ไม่ได้เป็นตระกูลที่มั่งคั่งในระดับโลกเหมือนเก่า
ตระกูล Rockefeller กลับยังคงถูกจัดอันดับให้เป็น หนึ่งในตระกูลที่รวยที่สุดของโลก ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งกว่า 897,000 ล้านบาท
โดยในปัจจุบันนี้ตระกูล Rockefeller ก็ได้รักษาความมั่งคั่งจนมาถึงรุ่นที่ 7 แล้วด้วย
แน่นอนว่าการจะรักษาความมั่งคั่งมหาศาลให้อยู่ยั้งยืนยง คงจะมีศาสตร์การส่งต่อความมั่งคั่งที่ไม่ธรรมดา จนกลายเป็นกรณีศึกษาระดับโลก ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ต่อยอดจนถึงปัจจุบัน
และหากอยากรู้ว่าพวกเขาทำอย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
“พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำพัง” ไม่ได้เป็นเพียงแค่สุภาษิตโบราณ ที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์
เพราะงานวิจัยจำนวนมากพบว่า โดยทั่วไปแล้วความมั่งคั่งของครอบครัวมักส่งต่อไปได้ไม่เกิน 3 รุ่น หรือที่เรียกกันว่า Third-Generation Curse หรือ “คำสาปรุ่นที่ 3”
แต่ตระกูล Rockefeller กลับหลีกเลี่ยงคำสาปนี้ได้ ด้วยการสร้างระบบที่ทำให้ทรัพย์สินยังคงอยู่ยาวนานกว่าศตวรรษ และยังส่งต่อความมั่งคั่งได้ต่อเนื่องมาถึงรุ่นที่ 7 ในปัจจุบัน
เพื่อเข้าใจจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ต้องย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19
เมื่อคุณ John D. Rockefeller สร้างอาณาจักรน้ำมัน Standard Oil ที่ควบคุมโรงกลั่นและท่อส่งน้ำมันกว่า 90% ของสหรัฐฯ และกลายเป็นมหาเศรษฐี 1,000 ล้านคนแรกของโลก
แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การสร้างธุรกิจ คือ การปลูกฝังแนวคิดทางการเงินและสอนลูกให้มีวินัยในการใช้เงิน
แนวคิดเหล่านี้ กลายเป็นรากฐานให้ลูกชายของเขา คุณ John D. Rockefeller Jr. นำไปต่อยอดและสร้างระบบการส่งต่อความมั่งคั่งอย่างเป็นรูปธรรม จนกลายเป็นกุญแจสำคัญในการรักษามรดกของตระกูล
ระบบนี้ต่อมาได้รับการยกเป็นกรณีศึกษา และถูกวงการที่ปรึกษาการเงินยุคหลังเรียกด้วยหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น..
1
Rockefeller Waterfall Method หรือ Rockefeller Cascade ที่สื่อถึงแนวคิดการสร้างความมั่งคั่งที่หมุนเวียน และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เปรียบเสมือนน้ำตกที่น้ำไหลลงมาไม่หยุดจากรุ่นสู่รุ่น
1
อีกชื่อที่ถูกใช้บ่อยคือ Family Bank Strategy หรือ “กลยุทธ์ธนาคารครอบครัว” แนวคิดที่เปรียบว่าตระกูล Rockefeller มีกองความมั่งคั่งที่เป็นเหมือนแหล่งเงินทุนให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวสามารถกู้ยืมไปใช้ได้
ถึงแม้ตระกูล Rockefeller จะไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ แต่ในแวดวงผู้เชี่ยวชาญการวางแผนการเงินต่างยกให้กรณีนี้เป็นตัวอย่างคลาสสิก
และหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ก็คือ
1. กองทุนทรัสต์ของครอบครัว หรือ Family Trust
เป็นกุญแจดอกแรกที่ตระกูล Rockefeller ใช้ในการรักษาความมั่งคั่ง
ลองนึกภาพว่า Family Trust ก็เหมือนกับ “ตู้เซฟอัจฉริยะ” ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บสมบัติของครอบครัว
1
แต่ไม่ใช่แค่เก็บไว้เฉย ๆ เพราะตู้เซฟนี้มีกติกาเขียนกำกับไว้อย่างละเอียดว่า ใครจะเปิดได้เมื่อไร และจะนำเงินไปใช้อย่างไรบ้าง
คุณ John D. Rockefeller Jr. คือคนที่มีบทบาทสำคัญที่เข้ามาจัดระบบนี้ โดยเลือกจัดตั้งกองทุนทรัสต์ประเภทที่ไม่สามารถเพิกถอนได้ (Irrevocable Trusts) เพื่อให้กติกาที่วางไว้คงอยู่ยาวนานและเปลี่ยนแปลงได้ยาก
ยิ่งไปกว่านั้นข้อดีของกองทรัสต์คือ ทรัพย์สินทั้งหมดในกองจะถูกแยกออกมาจากทรัพย์สินส่วนตัว ทำให้ป้องกันการถูกฟ้องร้องหรือถูกยึดจากเจ้าหนี้ได้
อีกทั้งทรัพย์สินในทรัสต์จะไม่ถูกนับรวมในกองมรดกที่ต้องเสียภาษี ทำให้ทายาทได้รับมรดกแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
2. ประกันชีวิต
หาก Family Trust เปรียบเสมือนตู้เซฟอัจฉริยะ ที่เก็บสมบัติของครอบครัวเอาไว้ ประกันชีวิตก็เปรียบได้กับระบบเติมเงินอัตโนมัติที่คอยเติมเงินให้ตู้เซฟนั้นอยู่เสมอ
โดยกองทรัสต์จากข้อก่อนหน้า ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่เก็บทรัพย์สมบัติอย่างเดียว แต่ยังเป็นผู้ซื้อประกันชีวิตให้กับสมาชิกทุกคน และกองทรัสต์นั้น ก็จะถูกระบุให้เป็นผู้รับผลประโยชน์โดยตรงของกรมธรรม์เหล่านั้นด้วย
หมายความว่า เมื่อสมาชิกคนใดเสียชีวิต เงินสินไหมก้อนใหญ่จะถูกส่งตรงกลับเข้ากองทรัสต์ทันทีโดยไม่ถูกหักภาษี
1
ทำหน้าที่เติมทุนใหม่ให้ทรัพย์สินกองกลางของครอบครัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นวงจรแห่งการส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น
เมื่อคนรุ่นเก่าจากไป เงินประกันก็ไหลกลับเข้ากองกลาง ให้รุ่นที่อยู่ได้รับประโยชน์ และเมื่อมีคนรุ่นใหม่เพิ่มเข้ามา ก็ทำประกันใหม่เพิ่มเติม เพื่อเตรียมส่งต่อวนกลับเข้าสู่ระบบในอนาคตอีกครั้ง
เปรียบเหมือนสายน้ำตกจากคนรุ่นเก่า ที่ไหลมาหล่อเลี้ยงสมาชิกครอบครัวรุ่นต่อไปอย่างไม่รู้จบ..
อีกความน่าสนใจก็คือ เมื่อจ่ายเบี้ยประกันไปในระยะหนึ่ง กรมธรรม์จะมีมูลค่าเงินสดสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสามารถขอกู้ยืมเงินจากมูลค่าเงินสดนี้ได้
ซึ่งทาง Family Trust ของตระกูลก็กำหนดให้สมาชิกสามารถกู้ยืมเงินออกมาใช้ได้ตลอด ทำให้กองทรัสต์นี้เปรียบเสมือน “ธนาคารครอบครัว”
ที่พร้อมให้สมาชิกครอบครัว Rockefeller กู้ได้ทุกเมื่อ เพราะมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากธนาคาร การชำระคืนก็ไม่เข้มงวด แถมดอกเบี้ยก็มักจะต่ำกว่าการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
เมื่อเงินกู้ต้นทุนต่ำเหล่านี้ถูกนำไปใช้กับสิ่งที่สร้างคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การลงทุน หรือธุรกิจใหม่ ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนความมั่งคั่งให้เติบโตต่อไปในอนาคต
และที่สำคัญคือแม้จะมีการกู้ยืม แต่กรมธรรม์ก็ยังคงให้ความคุ้มครองตามปกติ ทำให้ระบบนี้ทำหน้าที่ทั้งปกป้องและต่อยอดไปพร้อม ๆ กัน
อ่านถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่า ประกันชีวิตในความหมายของตระกูล Rockefeller ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือคุ้มครองชีวิต แต่กลายเป็นกลไกทางการเงินที่หมุนเวียนและสร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัวไปตลอดอย่างไม่มีวันหมด
ประกันชีวิตจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่กระดาษสัญญา แต่เป็นหนึ่งในอาวุธลับทางการเงิน ที่ช่วยให้ตระกูลสามารถส่งต่อความมั่งคั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตระกูล Rockefeller ถูกยกให้กลายเป็นกรณีศึกษาระดับโลกในการส่งต่อมรดก ที่มีการนำมาประยุกต์ใช้และต่อยอดจนถึงปัจจุบัน..
#วางแผนการเงิน
#ประกัน
#Rockefeller
โฆษณา