11 ก.ย. เวลา 06:28 • ความคิดเห็น
ชนวนมันเริ่มจากเรื่องง่ายๆ แต่แรง รัฐบาลเนปาลดันประกาศปิดแพลตฟอร์มโซเชียลทีเดียวชุดใหญ่ ทั้งเฟสบุ๊ก เอ็กซ์ ยูทูบ ฯลฯ อ้างว่าจะให้ไปจดทะเบียนตามกฎใหม่ แต่ดันมาชนกับกระแสที่เด็กๆกำลังแฉเส้นสายลูกหลานนักการเมืองพอดี มันเลยเหมือนปิดปากคนทั้งรุ่น คนก็ยิ่งเดือด พอออกถนนทีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเน็ตแล้ว แต่เป็นของเก่าที่ค้างคาใจ ทั้งคอร์รัปชัน เส้นสาย งานไม่มี อนาคตมืด จนไหลรวมกันเป็นคลื่นใหญ่ของเจนซี
สุดท้ายก็ปะทะ ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง มีรายงานว่ามีการใช้กระสุนจริง มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก จนรัฐบาลต้องยอมยกเลิกคำสั่งบล็อก สุดท้ายผู้นำถึงขั้นลาออก สถานการณ์หนักจนกองทัพต้องประกาศเคอร์ฟิวคุมเมือง อารมณ์ประมาณว่า เรื่องออนไลน์ที่คิดว่าเล็กๆ กลายเป็นไฟลุกทั้งเมืองเพราะไปกดแผลเดิมของประเทศเข้าเต็มๆ เรื่องนี้ยืนยันจากสำนักข่าวใหญ่หลายเจ้า ทั้งรอยเตอร์ การ์เดียน และอัลจาซีรา ที่รายงานตรงกันถึงการแบนโซเชียล การปะทะ การเสียชีวิต และการลาออกของนายกโอลี ก่อนกองทัพจะคุมเข้มทั้งประเทศด้วยเคอร์ฟิว
อะไรทำให้เด็กเนปาล กล้าขนาดนั้น ก็เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่สู้ตอนนี้ อนาคตก็ถูกล็อกด้วยระบบเดิมอยู่ดี ยุคนี้คนรุ่นใหม่หากินบนโลกออนไลน์ ทำงาน เรียน ติดต่อครอบครัวอยู่ต่างประเทศ พอโดนปิดโซเชียลมันเหมือนถูกตัดเส้นเลือดใหญ่ของชีวิต บวกกับภาพการเมืองหน้าเดิมๆ ที่อยู่มานานและข่าวเส้นสายเลี้ยงพวกพ้อง คนรุ่นใหม่เลยคิดกันตรงๆ ว่าถ้าไม่ลุกตอนนี้แล้วจะลุกเมื่อไหร่ ไฟเลยติดง่ายและลามเร็ว
2
พอรัฐตอบโต้ด้วยกำลัง ความโกรธก็ยิ่งพุ่ง จุดเปลี่ยนก็มาจากความรู้สึกว่าเสรีภาพดิจิทัลที่ดูเหมือนเรื่องเล็ก มันผูกกับศักดิ์ศรีและปากท้องของทั้งรุ่น รายงานหลายชิ้นก็สะท้อนแบบนี้ ทั้งการยกเลิกแบนหลังเหตุรุนแรง ตัวเลขผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ การประกาศเคอร์ฟิวในหลายเมือง รวมถึงการเผาสถานที่ราชการบางแห่งด้วย
หันมามองไทยแบบพูดกันตรงๆ ภาพมันคุ้นๆ ใช่ไหม เวลารัฐใช้อำนาจเกินงามกับประชาชน เรื่องก็ไม่เคยลงเอยดี ประวัติศาสตร์เรามีบาดแผลใหญ่ปี 2519 ที่ธรรมศาสตร์ เหตุสังหารหมู่กลางมหาวิทยาลัยและสนามหลวง ภาพนั้นไม่เคยเลือนหาย แล้วก็มาปี 2553 กรุงเทพ มีการสลายการชุมนุมใหญ่ มีคนตายเกินเก้าสิบ บาดเจ็บเป็นพัน หลายรายงานบอกว่ามีการใช้กระสุนจริงและสไนเปอร์
สังคมก็เถียงกันไม่จบ แต่ข้อเท็จจริงเรื่องการเสียชีวิตและการใช้กำลังเกินกว่าเหตุที่ไม่เคยถูกสอบสวนจริงจัง มันฝังอยู่ในใจคนเสมอ นี่คืออดีตที่เตือนว่าเมื่อใดที่รัฐไม่ฟังประชาชน เส้นบางๆ ระหว่าง “ควบคุม” กับ “ทำร้าย” มันขาดง่ายมาก
เพราะงั้นเวลาคนไทยเห็นเนปาลปิดโซเชียลแล้วคนระเบิดอารมณ์ มันเถียงยากว่ามันไม่เกี่ยวกับชีวิตจริง บ้านเราก็มีปัญหาเสรีภาพออนไลน์ของตัวเอง ทั้งคดีออนไลน์ การลบเนื้อหา การกดเสียงวิจารณ์ นี่ยังไม่นับบทเรียนการเมืองคุกรุ่นที่เคยปิดกั้นสื่อสังคมชั่วคราว สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่แค่เรื่องคลิกไลค์ แต่มันคือช่องทางหายใจของคนรุ่นใหม่ พอถูกปิด ความอัดอั้นก็ยิ่งระเบิดแรง
อีกเรื่องที่ต้องพูดกันตรงๆ คือการล้มรัฐบาลด้วยพลังข้างถนน ถ้าไม่มีคนในรัฐหรือกองทัพบางส่วนยอมเปิดทาง มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จ ประวัติศาสตร์หลายประเทศก็ยืนยัน แต่ต่อให้มีไฟเขียวจากคนใน สุดท้ายสังคมก็ยังต้องเผชิญคำถามใหญ่ ว่าจะทำให้กติกามันโปร่งใส มีส่วนร่วม และไม่ปล่อยให้ความรุนแรงกลายเป็นคำตอบซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ยังไง อย่างเนปาลตอนนี้ สื่อก็รายงานว่ากองทัพลงมาคุมพื้นที่ ออกเคอร์ฟิว เดินเกมคุยเรื่องผู้นำชั่วคราว นี่แหละจุดที่ต้องจับตา ว่าการเปลี่ยนผ่านจะพาไปทางไหนและใครได้สิทธิ์นิยามอนาคตประเทศ
1
สรุปกันแบบบ้านๆ เนปาลมันเดือดเพราะรัฐไปปิดช่องหายใจของคนรุ่นใหม่ ที่จริงๆก็เดือดอยู่แล้วกับความรู้สึกว่าอนาคตถูกล็อกด้วยคอร์รัปชันและระบบเส้นสาย พอรัฐเลือกใช้กำลัง แทนที่จะดับไฟ กลับกลายเป็นเทน้ำมัน สุดท้ายผู้นำต้องลาออก ทหารคุมเมือง ประเทศเข้าสู่โหมดเสี่ยง ส่วนไทยเราเองก็มีบทเรียนเลือดให้เห็นแล้ว ว่าพอรัฐไม่ฟัง ประชาชนถูกผลักไปสุดทาง และนี่คือความจริงที่ปฏิเสธยากครับ
โฆษณา