4. การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการรักษาที่แม่นยำ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ ประวัติการรักษา และข้อมูลอื่นๆ เพื่อช่วยให้นักบำบัดหรือจิตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความน่าเชื่อถือของ AI ในด้านสุขภาพจิตมีมากน้อยเพียงใด?
แม้ว่า AI จะมีศักยภาพที่น่าทึ่ง แต่ความน่าเชื่อถือยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบครับ
1. ขาดความเข้าใจในบริบทที่ซับซ้อน โดย AI ยังมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจความรู้สึกและบริบททางสังคมที่ซับซ้อนของมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการให้คำปรึกษา
2. ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การใช้ AI ในการดูแลสุขภาพจิตจำเป็นต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่รัดกุม เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
3. อคติในอัลกอริทึม โดย หาก AI ถูกพัฒนาขึ้นจากข้อมูลที่ไม่หลากหลาย อาจนำไปสู่การให้คำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรมกับคนบางกลุ่มได้
4. การตอบสนองในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่อาจทำได้ช้า ซึ่งการพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวในสถานการณ์วิกฤต เช่น ความคิดฆ่าตัวตาย อาจมีความเสี่ยงสูง เนื่องจาก AI อาจไม่สามารถประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมเท่ามนุษย์
5. ขาดการเชื่อมโยงทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับคำปรึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบำบัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทดแทนได้อย่างสมบูรณ์
6. ความเสี่ยงที่มนุษย์ อาจลืมว่าคนที่คุยอยู่คือ AI ซึ่งเรื่องนี้มีความกังวลอย่างมาก เพราะล่าสุด มีข่าวว่า AI คุยกับผู้สูงอายุท่านนึง แล้วหลอกเค้าไปเจอ ซึ่งเป็นตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เกิดข้อกังวลได้เช่นกัน
ต้องยอมรับว่า AI มีศักยภาพที่จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพในด้านสุขภาพจิต สามารถช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการและให้การดูแลเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี แต่ในปัจจุบัน AI ยังไม่สามารถทำหน้าที่แทนผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่เป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์
การนำ AI มาใช้ควรอยู่ในลักษณะของการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษา และต้องมีการกำกับดูแลด้านจริยธรรมและความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น