Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
12 ก.ย. เวลา 07:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
นายกฯ สั่งลุย แลนด์บริดจ์ 1 ล้านล้าน ดึงลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว
●
นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เดินหน้าผลักดันเมกะโปรเจกต์ "แลนด์บริดจ์" มูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนในระยะยาว
●
โครงการมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งและการค้าของภูมิภาค โดยเชื่อมทะเลอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งทางเลือกใหม่แทนช่องแคบมะละกา
●
รัฐบาลเตรียมเปิดประมูลให้เอกชนรายเดียวร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP สัญญาสัมปทาน 50 ปี ภายในปี 2569 โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการเฟสแรกได้ในปี 2573
1
การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่จากรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สู่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราว
โดยรัฐบาลชุดนี้้ได้มีการยกร่างโรดแมปเตรียมไว้แล้ว เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือน คาดว่าภายในเดือนนี้น่าจะได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
และเป็นที่น่าจับตาว่า หากสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชนได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้
ในขณะเดียวกันโครงการไหนที่มองว่าเป็นภาระงบประมาณประเทศนายอนุทินสั่งการให้พับแผนทันที จากการตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” พบว่าโครงการที่คาดว่าจะเดินหน้าต่อในสมัยรัฐบาลอนุทิน 17 โครงการ รวมวงเงิน 2.27 ล้านล้านบาท ซึ่งมีทั้ง โครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมและโครงการของกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง
■
เข็นแลนด์บริดจ์เชื่อม 2 ท่าเรือ
เริ่มจากโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคม ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า โครงการที่ยังคงผลักดันอย่างต่อเนื่อง คือ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ถึงแม้ว่ารัฐบาลนี้จะมีอายุเพียง 4 เดือน แต่ระยะยาวสามารถศึกษาดำเนินการได้ต่อเนื่อง
ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ทำการจัดสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ทั้งหมด 3 ครั้ง
โดยมีการจัดไปแล้ว 2 ครั้งที่จังหวัดระนองเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 และที่จังหวัดชุมพรเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568
ตามแผนหลังจากสรุปผลการศึกษาในครั้งนี้จะใช้เวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายในปีนี้ ในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) SEC ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากนี้สนข.อยู่ระหว่างเตรียมเอกสารเพื่อประกาศประกวดราคา (ทีโออาร์) ใช้เวลาดำเนินการ 5-6 เดือน คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนและเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 คาดว่าจะเปิดให้บริการเฟสแรกได้ภายในปี 2573
ส่วนการปรับลดมูลค่าการลงทุนของโครงการจากเดิมที่มีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาทเหลือ 9.97 แสนล้านบาทนั้น เพื่อสอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้บริษัทที่ปรึกษามีการปรับระยะเวลาการก่อสร้างในการลงทุนใหม่
ขณะเดียวกันจากการศึกษาในครั้งนี้ยังใกล้เคียงกับบริษัทที่ปรึกษาต่างชาติ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของโลกที่ได้รับการยอมรับ
อย่างไรก็ดีด้านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) จะใช้รูปแบบ PPP Net Cost สัญญาสัมปทาน 50 ปี โดยการเปิดประมูลจะให้เอกชนรายเดียวเป็นผู้รับสัมปทานในการก่อสร้าง และบริหารงานพร้อมกันทั้งโครงการในสัญญาเดียว
สำหรับเป้าหมาย โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งและการค้าแห่งภูมิภาคและของโลก โดยเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ผ่านการสร้างท่าเรือนํ้าลึกสองฝั่ง และเชื่อมโยงด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น
ทางรถไฟรางคู่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) และระบบท่อ เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งทางเลือกแทนการใช้ช่องแคบมะละกา
■
สานต่อไฮสปีด-ทางคู่ เฟส 2
“ฐานเศรษฐกิจ” ยังพบว่า มีอีกหลายโครงการของกระทรวงคมนาคมที่คาดว่านายอนุทินจะสานต่อ เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 224,544 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา
โดยอัยการสูงสุดได้ตอบกลับร่างแก้ไขสัญญาโครงการดังกล่าวมาที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้ว
อย่างไรก็ดีจากการตรวจร่างสัญญาฯของอัยการสูงสุดพบว่าในรายละเอียดของร่างสัญญาส่วนใหญ่มากกว่า 95% ทางอัยการเห็นด้วยและไม่ได้มีการปรับแก้ไขร่างสัญญา
แต่อีก 5% นั้น โดยทางอัยการสูงสุดมีความเห็นเพิ่มเติมว่าหากรัฐแก้ไขจะทำให้รัฐได้ประโยชน์มากกว่า ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างเจรจาหารือกับเอกชนเพื่อหารือร่วมกันก่อนดำเนินตามขั้นตอนต่อไป
ขณะที่โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กิโลเมตร (กม.) กรอบวงเงินลงทุน 341,351.42 ล้านบาท ที่ผ่านมาครม.มีมติอนุมัติโครงการแล้ว
ปัจจุบันรฟท. อยู่ระหว่างเตรียมการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (TOR) โดยโครงการในเฟส 2 มีค่างานก่อสร้างโยธา 237,454.86 ล้านบา ซึ่งไทยจะดำเนินการเอง ทั้งหมดตั้งแต่การออกแบบการก่อสร้าง และการควบคุมงาน
ด้านโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เหลืออีก 6 เส้นทาง วงเงินรวม 2.97 แสนล้านบาท ที่จะขับเคลื่อนต่อเนื่อง
จากเดิมเติมเต็มการเดินทางและเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ประกอบด้วย ช่วงปากนํ้าโพ-เด่นชัย วงเงิน 81,143 ล้านบาท, ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 30,422 ล้านบาท
และช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา วงเงิน 66,270 ล้านบาท, ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 44,095 ล้านบาท
ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ วงเงิน 68,222 ล้านบาท และช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 7,772 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่เห็นชอบ
■
ปิดจ็อบ “พระราม 2”
ส่วนโครงการถนนพระราม 2 ที่ปัจจุบันมีหลายโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นโควตาของพรรคภูมิใจไทยในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงผลักดันโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และต่อมาในสมัยรัฐบาลแพทองธาร ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจเข้ามากำกับดูแลในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้โครงการต่างๆบนถนนพระราม 2 ต้องจบภายในปี 2568 เพื่อลดอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกประชาชน
แต่ยังไม่ทันได้ดำเนินการแล้วเสร็จ ปรากฎว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเสียก่อน
สำหรับโครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ประกอบด้วย โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (M82) ช่วงเอกชัย - บ้านแพ้ว วงเงิน 18,759 ล้านบาท
โครงการก่อสร้างทางยกระดับทางหลวงหมายเลข 35 ช่วงทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน-เอกชัย วงเงิน 10,477 ล้านบาท โครงการเป็นงานก่อสร้าง ทางแยกต่างระดับบ้านแพ้ว วงเงิน 595 ล้านบาท
โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก วงเงิน 30,437 ล้านบาท
ปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งรัดการก่อสร้าง ซึ่งตามแผนคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปลายปีนี้
■
ลุยอู่ตะเภา-ขยาย3สนามบิน
โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา แผนขยาย 3 สนามบินของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ฉายแววได้ไปต่อรอแค่ชงเข้าครม.ใหม่รับทราบ
สำหรับโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องกับด้านการบินที่มีแนวโน้มจะได้ไปต่อในรัฐบาลนายกฯอนุทิน หลักๆจะมีโครงการลงทุนเร่งด่วน 5 โครงการ เตรียมชงครม.ใหม่รับทราบ
โดยการลงทุนจะเป็นเงินของภาคเอกชน และทอท. ซึ่งไม่ต้องพึ่งพางบลงทุนจากรัฐบาล อีกทั้งโครงการเหล่านี้มีการเจรจา และทำแผนคืบหน้าไปมากแล้ว ประกอบกับเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ได้แก่
1.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 2.โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา หรือ MRO อู่ตะเภา ในพื้นที่ 210 ไร่ ของสนามบินอู่ตะเภา
3.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของทอท. 4.โครงการขยายสนามบินดอนเมืองเฟส 3 ของทอท. 5. โครงการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ของทอท.
ขณะนี้ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีแผนสร้าง อาคารใหม่เพื่อรองรับทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ รวมถึงปรับปรุงภายในทั้งหมดและแก้ไขปัญหาจราจรหน้าสนามบิน ซึ่งคาดว่าจะนำแบบและงบประมาณเสนอครม.ต่อไป
■
30 บาท-หวยเกษียณไปต่อ
ขณะโครงการเกี่ยวกับสุขภาพประชาชน ของกระทรวงสาธารณสุข โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ของรัฐบาลแพทองธาร นายอนุทิน ต้องการสานต่อ เนื่องจากมีประโยชน์กับประชาชน ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท สามารถเข้ารับบริการสาธารณสุขที่หน่วยบริการใดก็ได้ทั่วประเทศ เพียงแค่ใช้ บัตรประชาชนใบเดียว ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว
โครงการนี้ช่วยให้เข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่าย สะดวก รวดเร็วขึ้น ลดความแออัดในโรงพยาบาล และสามารถเลือกรักษาได้ตามความสะดวกที่ร้านยา คลินิก หรือโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ
1
นอกจาก 30 บาทรักษาทุกโรคในสมัยรัฐบาลทักษิณ นอกจากนี้ยังมีโครงการสลากกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ “หวยเกษียณ” วุฒิสภา ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ...เรียบร้อยแล้ว
■
20บาทตลอดสาย ซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้ไปต่อ
ส่วนโครงการเรือธงของรัฐที่ผ่านมามีหลายโครงการภายใต้รัฐบาลแพทองธาร ที่ยังดำเนินการไม่สำเร็จตามที่แถลงในสภาฯ ไว้ และไม่ถูกนำมาสานต่อในรัฐบาลใหม่ของนายอนุทิน ทั้งเงินดิจิทัล 10,000 บาท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ของรัฐบาลชุดก่อนที่เตรียมให้ประชาชนได้ใช้ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายนนั้น
และแม้ว่าในปัจจุบัน พบว่ามียอดผู้ลงทะเบียนพร้อมใช้สิทธิผ่านแอปทางรัฐกว่า 2.6 แสนราย และร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็ตาม
โดยนายอนุทินมองว่าหากทำแล้วประชาชนได้ประโยชน์แน่ เพราะที่ผ่านมาบางโครงการดำเนินการแล้วพบว่ามีการขาดทุน ซึ่งเราต้องรักษาวินัยทางการเงินการคลังด้วย เพื่อให้โครงการสามารถอยู่รอดได้
หากรัฐต้องหางบประมาณเพื่อมาชดเชยส่วนต่างทุกๆปีในการดำเนินการเพื่อซื้อกิจการคืนจากผู้ที่ลงทุนก็คงไม่ใช่
นอกจากนี้ยังมี โครงการบ้านเพื่อคนไทย ที่ประเมินว่าอาจไม่ได้ไปต่อ
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมมีแผนจะดำเนินการจับสลากผู้ที่ลงทะเบียนโครงการบ้านเพื่อคนไทย ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ภายในวันที่ 18 กันยายนนี้
ทั้งนี้ในปัจจุบันพบว่ามีประชาชนลงทะเบียนผ่านการตรวจสอบจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แล้ว กว่า 140,000 รายตามขั้นตอนเดิมการจับสลากของโครงการฯกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้สำนักสลากฯ เป็นผู้ดำเนินการ โดยมุ่งเน้นความโปร่งใสในการจับฉลาก
ตามแผนคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างและเปิดให้ประชาชนเข้าอยู่เฟสแรกได้ภายในปี 2569 ส่วนอีกหนึ่งนโยบายสวยหรูของรัฐบาลที่แล้ว
แต่ถูกค้านโดยพรรคภูมิใจไทย คือ โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ต้องการปลุกปั้นให้เป็นเมกะโปรเจ็กต์ใหญ่ หวังสร้างรายได้เข้าประเทศ
แต่เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ครม. มีมติถอนร่างออกจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร อีกหนึ่งนโยบายเรือธงของรัฐบาลชุดแล้ว
ที่มีแนวโน้มจะไม่ได้ไปต่อ คือ การผลักดันให้ สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ซึ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ของประเทศไทย ให้เป็นองค์การมหาชน
โดยมีแผนจะผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดตั้ง THACCA ให้แล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งเมื่อจัดตั้งเป็นทางการแล้ว สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) จะถูกยุบรวมเข้ากับ THACCA
และภารกิจซอฟต์พาวเวอร์ ทั้ง 11 ด้าน อาทิ อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี เกม แฟชั่น และอื่นๆ ที่เคยอยู่ในการดูแลของทุกหน่วยงานทั้งหมดจะโอนมาอยู่ที่นี่
หากกฎหมายผ่าน THACCA จะมีรายได้จากหลายทาง ได้แก่ เงินทุนประเดิมจากรัฐบาล, เงินอุดหนุนผ่านงบประมาณ, เงินที่ได้จากคณะรัฐมนตรี, รายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, ค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยว, ผลตอบแทนการลงทุน, และเงินบริจาค
โดยล่าสุดในงบประมาณปี 2569 มีการตั้งงบสำหรับขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทย รวมกว่า 4,044.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2568 ซึ่งมีงบประมาณประมาณ 2.1 พันล้านบาท โดยงบประมาณนี้ส่วนหนึ่งจะจัดสรรให้ THACCA เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้ง 11 ด้าน เช่น
หนังสือ เฟสติวัล อาหาร การท่องเที่ยว ดนตรี เกม กีฬา ศิลปะ ออกแบบ ภาพยนตร์/ซีรีส์ และแฟชั่น
ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลงบซอฟต์เพาเวอร์ ที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ตั้งเรื่องไว้ให้ THACCA ก็จะกลับมาเป็นงบประมาณของแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่เดิม
ซึ่งในทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบางหน่วยงาน ก็เริ่มส่งสัญญาณในการเบรคแผนใช้งบซอฟต์พาวเวอร์แล้ว เพื่อดูความชัดเจน รวมถึงอาจปรับแผนการใช้งบที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
3 บันทึก
10
6
3
10
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย