12 ก.ย. เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ว่าด้วยความแตกต่าง ของรัฐบาลเก่าและใหม่!!!

  • รัฐบาล “แพทองธาร” เริ่มต้นด้วยเสียงข้างมาก 324 เสียง ต่างจากรัฐบาล “อนุทิน” ที่ตั้งต้นเสียงข้างน้อยเพียง 147 เสียง
  • ระยะเวลาในตำแหน่งต่างกันชัด “แพทองธาร” เดิมมีโอกาสบริหารต่อเนื่องเกือบ 3 ปี แต่ “อนุทิน” มีเวลาเพียงประมาณ 9 เดือน
  • เศรษฐกิจโลกต่างบริบท “แพทองธาร” เจอโจทย์สหรัฐยุคไบเดนต่อเนื่องสู่ทรัมป์ ขณะที่ “อนุทิน” ต้องเริ่มรับมือ “ภาษีทรัมป์” เต็มตัว
  • หุ้นที่ได้อานิสงส์ต่างกัน “แพทองธาร” ดันดิจิทัลวอลเลต–บันเทิงครบวงจร–รถไฟฟ้า 20 บาท ส่วน “อนุทิน” เน้นคนละครึ่ง–ก่อสร้าง–ไอซีที
ถึงแม้รัฐบาลของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล และรัฐบาลของ “อุ๊งอิ๊งค์” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2566 เช่นกัน ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ของ นางสาวแพทองธาร และ พรรคภูมิใจไทย ของ นายอนุทิน ต่างก็ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง มาเป็นที่หนึ่งด้วยกันทั้งคู่
นอกจากนี้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทั้งสอง ล้วนแล้วแต่ต้อง “แบกความคาดหวัง” ในการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำของประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเงื่อนไขหลักที่ประชาชน “ฝากความหวัง” ไว้ไม่ต่างกัน...
ว่าแต่หากมองผ่านมุมมองทางเศรษฐกิจ เปรียบเทียบรัฐบาลของ นายอนุทิน และ รัฐบาลของ นางสาวแพทองธาร ยังมีสิ่งใดที่แตกต่างและเหมือนกันอยู่อีกบ้าง?
ความแตกต่างเรื่องแรก เมื่อเทียบสัดส่วนของเสียงพรรคร่วมรัฐบาลที่มีต่อพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งจะส่งผลต่อการผลักดันนโยบาย พบว่าแรกเริ่มในการตั้งรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ถือได้ว่าเป็น “รัฐบาลเสียงข้างมาก” ซึ่งมีจำนวนเสียงสนับสนุนมากถึง 324 เสียง จากจำนวน สส. ทั้งสภาที่มีอยู่ 495 เสียง ในขณะที่รัฐบาลของ นายอนุทินในช่วงเริ่มต้นจะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ซึ่งมีอยู่เพียง 147 เสียงเท่านั้น
ความแตกต่างเรื่องที่สอง คือ เรื่องของระยะเวลาในการทำงาน ซึ่งจะพบว่า ในช่วงเริ่มต้นหากไม่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง รัฐบาลของนางสาวแพทองธาร มีโอกาสทำงานเกือบ 3 ปี ก่อนจะถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่เมื่อเกิดปัญหาทางเทคนิคจนทำให้ นายอนุทิน ได้มาเป็นนายกฯ จากการลงนามในบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล (MOA) กับ พรรคประชาชน ส่งผลให้ รัฐบาลอนุทิน มีเวลาทำงานเพียง 6-7 เดือน เท่านั้น
ความแตกต่างกันเรื่องที่สาม คือ สงครามเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกา และ จีน อยู่ในภาวะที่แตกต่าง ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้นรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ถึงแม้จีนจะมี สี จิ้นผิง เป็นประธานาธิบดี โดยที่สหรัฐ ยังอยู่ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ ในภายหลัง
แต่ในส่วนรัฐบาลของนายอนุทิน จะเริ่มต้นด้วยการรับมือกับ “ภาษีทรัมป์” ซึ่งแม้จะเป็นการต่อยอดมาจากรัฐบาลเดิม แต่รัฐบาลของนายอนุทิน ก็จะเริ่มต้นด้วยการนับหนึ่ง ในการรับมือ “ภาษีทรัมป์” อย่างเต็มตัวนั่นเอง
ในส่วนที่เหมือนกันของรัฐบาลทั้งสอง นอกจากสิ่งที่เจ๊เมาธ์ว่ามาในเรื่องของแหล่งที่มา ซึ่งเกิดจากการเลือกตั้งกลางในปี 2566 ก็ยังมีเรื่องของความคาดหวังในการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนผ่านความคาดหวังของบริษัทในตลาดหุ้น
เด่นที่สุดในส่วนของรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร นอกจากกลุ่มหุ้นที่จะได้อานิสงส์ตามปกติ ยังมีกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายเฉพาะ ซึ่งประกอบไปด้วย อานิสงส์จากโครงการ DIGITAL WALLET โดยหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว คือ หุ้นกลุ่มเช่าซื้อ เกษตร-อาหาร และ ค้าปลีก อาทิ MTC BAM TIDLOR TU TFG GFPT CPALL CPAXT BJC
ต่อมาคือ หุ้นธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เป็นส่วนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในนโยบายของ รัฐบาลแพทองธาร ซึ่งประกอบไปด้วย บมจ.วีจีไอ หรือ VGI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่ม BTS ต่อมาคือ บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC และกลุ่มบมจ. เอ็ม บี เค หรือ MBK รวมไปถึง บมจ. อสมท หรือ MCOT ซึ่งเคยมีข่าวว่าจะได้ขายที่ดินเพื่อตั้งสถานบันเทิงฯ ที่ว่า
ท้ายที่สุดเป็นหุ้นรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งประกอบด้วยหุ้นรถไฟฟ้า BTS BEM หุ้นอสังหา AP SIRI SPALI และหุ้นค้าปลีก (ค่าครองชีพลดลง) CPALL CPAXT BJC
ส่วนทางฝั่งรัฐบาลของนายอนุทิน ...หุ้นที่จะได้อานิสงส์จากการประเมินเบื้องต้น พบว่า การกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ผ่านโครงการ "คนละครึ่ง" เพื่อการลดค่าครองชีพ และช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ดีขึ้น หุ้นที่ได้ประโยชน์ได้แก่ CPAXT CPALL GLOBAL DOHOME KTB (แอฟเป๋าตัง)
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการก่อสร้างภาครัฐ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ STECON CK และ กลุ่มไอซีทีผ่านการลงทุนด้าน Digital ID, Cyber Security, Data Center โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ ADVANC TRUE BBIK ส่วนที่เหลือก็เป็นหุ้นปกติทั่วไป ที่ได้อานิสงส์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ต่างไปจากรัฐบาลนางสาวแพทองธาร
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดมาบริหารประเทศ นอกจากอานิสงส์ในทางอ้อมที่เกิดผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว และการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ควรจะทำและทำได้ ก็คือ การช่วยตัวเองก่อน ...ก่อนที่จะหวัง หรือ รอความช่วยเหลือของคนอื่น
เจ๊เมาธ์บอกเลยว่า เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ช่วยใครไม่ได้ จะช่วยได้ก็แค่ช่วยตัวเองเท่านั้น สิ่งที่ประชานชนทั่วไปต้องทำต่อไป ยังเป็นเรื่องของปากท้อง ที่ผ่านการประกอบสัมมาอาชีพของตนเป็นหลัก ก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ
โฆษณา