13 ก.ย. เวลา 11:30 • ไลฟ์สไตล์

ทำไมเราไม่ควรมองว่าการทำประกันคือการ “จ่ายเบี้ยทิ้ง”

5 ประโยชน์ของ “ประกัน” ที่บอกว่าการ "จ่ายเบี้ยประกัน" ไม่เคยสูญเปล่า
"ประกัน…ทำไปก็ไม่ได้ใช้ เหมือนจ่ายเบี้ยทิ้ง"
ถ้าใครเคยมีความคิดแบบนี้ เบื้องต้นอาจลองรีวิวดูว่า “เราซื้อประกันที่เกินความจำเป็นอยู่หรือไม่” เช่น มีหลายกรมธรรม์เกินไป หรือทุนประกันสูงเกินไปหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ อาจเป็นเหตุผลทำให้รู้สึกว่า ต้องแบกรับภาระการจ่าย “ค่าเบี้ยประกัน” ที่สูงเกินกว่า “ความเสี่ยง” ที่เราต้องจัดการ
ยิ่งทำประกันไป จ่ายเบี้ยประกันไปทุกปีๆ แต่ไม่เคยได้ใช้เลย ก็พลอยคิดไปว่า “เบี้ยประกันที่จ่ายไป ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรกลับมาเลย” รู้สึกเหมือน "จ่ายทิ้ง" ไปเฉยๆ
แต่ๆ aomMONEY อยากชวนคิดในมองมุมใหม่ การทำประกันจริงๆ แล้วมีประโยชน์มากมายตั้งแต่เราเริ่ม "จ่ายเบี้ยประกัน" เลยต่างหาก เพราะเบี้ยประกันที่เราจ่ายออกไปในแต่ละงวด ไม่เคยสูญเปล่าเลย…
[ 5 ประโยชน์ของ “ประกัน” ที่บอกว่าการ "จ่ายเบี้ยประกัน" ไม่เคยสูญเปล่า ]
➡️1. จ่ายค่าเบี้ย = ได้ความคุ้มครองและความสบายใจ
ข้อนี้ถือเป็นหัวใจหลักของ “ประกัน” เช่น เวลาที่เราจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ ตลอดระยะเวลาที่สัญญามีผลบังคับใช้ เราจะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกัน ทำให้เราสบายใจและไม่ต้องกังวลว่า ถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะมีเงินเพียงพอที่จะรักษาหรือไม่
ซึ่งความสบายใจนี้ยังรวมถึงการที่ความคุ้มครองไม่ได้จำกัดแค่เรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินด้วย เช่น “ประกันรถยนต์” ที่ช่วยดูแลค่าซ่อมแซมหรือค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ หรือ “ประกันชีวิต” ที่เป็นหลักประกันให้กับคนข้างหลังในกรณีที่เราจากไปก่อนวัยอันควรด้วย
➡️2. จ่ายค่าเบี้ย = ได้สิทธิลดหย่อนภาษี
อย่างที่เรารู้กันดีว่า การทำประกันไม่ได้เป็นแค่การซื้อความคุ้มครอง แต่ยังเป็นเครื่องมือวางแผนภาษีอีกด้วย ต้องบอกว่า หลายคนเริ่มต้นทำประกัน เพราะต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แต่เมื่อนานวันไปก็อาจจะลืมไปว่า ค่าเบี้ยที่จ่ายไปนั้น เคยให้ประโยชน์ในส่วนหนี้อยู่
อย่างเบี้ยประกันชีวิตสามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และเบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท รวมกันแล้วสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
นอกจากนี้เบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้เช่นกันไม่เกินคนละ 15,000 บาท หากท่านไม่มีรายได้และเราเป็นลูกคนเดียว
จริงๆ แล้วการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีนี้ก็เหมือนกับการได้รับเงินส่วนหนึ่งกลับคืนมา หรือก็คือการจ่ายเบี้ยประกันที่ไม่ได้จ่ายทิ้งไปเปล่าๆ แต่ยังช่วยให้ประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกทางหนึ่งนั่นเอง
➡️3. จ่ายค่าเบี้ย = ได้เป็นเงินออมยามเกษียณ
ยกตัวอย่าง "ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์" หรือ "ประกันบำนาญ" ประกันประเภทนี้จะไม่ได้ให้แค่ความคุ้มครองเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือการออมเงินระยะยาวไปในตัวด้วย
ในส่วนของ “ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์” จะมีการกำหนดระยะเวลาชำระเบี้ยและระยะเวลาคุ้มครอง เมื่อครบกำหนดตามสัญญาก็จะได้รับเงินคืนพร้อมผลตอบแทนตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ในขณะที่ “ประกันบำนาญ” ถูกออกแบบมาเพื่อการออมเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณโดยเฉพาะ เมื่อถึงวัยที่กำหนดเราจะได้รับเงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ
➡️4. จ่ายค่าเบี้ย = ได้สร้างหลักประกันให้ครอบครัว
หลักประกันของครอบครัวไม่ได้หมายถึงการมี “ทรัพย์สิน” จำนวนมากให้ทายาทในวันที่เราจากไปเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการปกป้องไม่ให้ทรัพย์สินเหล่านั้นต้องถูกนำไปใช้หนี้ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นด้วย
เคยได้ยินคำว่า "มรดกเป็นหนี้" หรือไม่? ถึงแม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้ทายาทไม่ต้องรับผิดชอบหนี้สินของเจ้ามรดกเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับ แต่การที่ทรัพย์สินเหล่านั้นต้องถูกนำไปใช้หนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
ดังนั้น การทำ “ประกันชีวิต” จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นหลักประกันในส่วนนี้ เพราะเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต บริษัทประกันจะจ่ายเงินสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งเงินก้อนนี้จะถือเป็นเงินที่อยู่นอกเหนือจากทรัพย์มรดก และจะไม่ถูกนำไปใช้ชำระหนี้สินของผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด ทำให้เงินก้อนนี้สามารถเป็นหลักประกันให้กับครอบครัวได้โดยตรง และยังช่วยปกป้องทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่ให้ถูกกระทบกระเทือนได้อีกด้วย
➡️5. จ่ายค่าเบี้ย = ได้สร้างวินัยทางการเงิน
การทำประกัน โดยเฉพาะประกันชีวิตหรือประกันแบบสะสมทรัพย์ ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างวินัยทางการเงินได้เป็นอย่างดี เพราะการจ่ายเบี้ยประกันจะต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอในแต่ละปีหรือแต่ละงวด หากคุณหยุดจ่ายหรือปล่อยให้กรมธรรม์ขาดอายุ อาจส่งผลให้คุณเสียสิทธิประโยชน์และต้องจ่ายเบี้ยประกันที่สูงขึ้นเมื่อต้องการกลับมาทำใหม่
การที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันอย่างต่อเนื่องนี้เอง ทำให้เรามีวินัยในการจัดสรรเงินในแต่ละเดือนเพื่อนำไปชำระเบี้ยประกัน และเมื่อคุณทำเป็นประจำทุกปี ก็จะทำให้การออมเงินหรือการวางแผนทางการเงินกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย
จากประโยชน์ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการจ่ายเบี้ยประกันไม่ได้เป็นการ "จ่ายทิ้ง" เลย แต่ให้ประโยชน์ในรูปของความคุ้มครอง ความอุ่นใจ สิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น ในมุมมองของ aomMONEY มองว่าการทำประกันจึงไม่ใช่การ “จ่ายเบี้ยทิ้ง” แต่เป็นการ “บริหารเงิน” เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงในชีวิต เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน วันนี้เราอาจจะแข็งแรงดี แต่ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง การมีประกันก็เหมือนกับการสร้างแผนสำรองให้กับตัวเองและคนที่คุณรักครับ
เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ, AFPT™
#aomMONEY #ประกัน #เบี้ยประกัน #ประกันชีวิต #ประกันสุขภาพ #บริหารความเสี่ยง
โฆษณา