วันนี้ เวลา 09:40 • การเมือง
รัฐธรรมนูญไทยคือกฎหมายสูงสุด ที่มีศักดิ์เหนือกฎหมายอื่นทั้งหมด ดังนั้นกฎหมายอื่นที่มีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนุญจะออกมาขัดหรือแย้งไม่ได้ เปรียบเทียบแล้วก็เหมือนพระไตรปิฏกใบลานสมัยพระเจ้าติโลกราช แห่งเจียงใหม่ (พ.ศ. 2020) จนต่อมา 300 กว่าปีผ่าน คือในพ.ศ. 2331 สมัยร. 1 ท่านก็ทรงเอามาชำระ (แก้ไขข้อบกพร่อง) จนผ่านมาอีก 100 กว่าปีเศษ ก็มาถึงการชำระครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เปลี่ยนจากใบลานมาเป็นกระดาษเป็นหนังสือ ถัดมาอีกก็ร. 7 จนมาถึงการสังคายนาล่าสุดสมัย ร.9
เหตุการณ์นี้แหละที่ทำให้พระสงฆ์
ที่ต่างก็มีอัตตาว่าตนศึกษาพระไตรปิฏก
เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ว่าก็ฉันถือเล่มนี้ เล่มนี้ว่านี้ๆ ฉันผิดตรงไหน
จะเห็นได้ว่า การชำระหรือสังคายนาแต่ละครั้ง จะเกิดขึ้นแล้วแต่ว่ายุคสมัยรัชกาลใดจะทรงให้ความสำคัญ แต่โปรดสังเกตมารยาท คือจะไม่ทรงขัดแข้งขัดขากันในการชำระ คือระยะเวลาจะทิ้งห่างกัน
ประเทศอินเดีย เริ่มร่างรัฐธรรมนุญฉบับแรก คือนั่งถกกันเถียงกันจนพลบค่ำ คิดกันหัวแตก พุดกันน้ำไหลไฟดับ อยู่ราว 3 ปี คณะที่ร่างมาจากสมาชิกสภาจังหวัด 300 กว่าคนเองค่ะ จนได้ออกมาใช้ในปี พ.ศ. 2493 และใช้ฉบับแรกนี้มาจนถึงปัจจุบันกว่า 75 ปีแล้ว ถูกจัดเก็บไว้ในกล่องอย่างดี ล็อคกุญแจแน่นหนา
ตัดกลับมาที่ประเทศไทย ฉบับแรกคือ พ.ศ. 2475 ปัจจุบันปีพ.ศ. 2568 รวมระยะเวลา 93 ปี มีทั้งหมด 20 ฉบับ!!.....ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินรัชสมัยมาแล้ว 4 ครั้ง นับถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์ชำระสังคายนารัฐธรรมนุญนี่แหละ
ที่ทำให้ฆราวาสที่ต่างก็อ้างสิทธิ เสรีภาพ
และความจงรักภักดีเป็นที่สุด
เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่จบไม่สิ้น
หากจะว่ากันตรงไปตรงมา การชำระสังคายนาพระไตรปิฏก หรือแม้แต่การชำระสังคายนารัฐธรรมนุญ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปากท้องประชาชน ไม่ได้ช่วยให้คนจนรวยขึ้น แต่มันเป็นหนทางแห่งการแสวงหาอำนาจ การเพิ่มอำนาจ และการลดอำนาจ มันจะวนๆอยู่แค่นี้ ก็เท่านั้นเอง
โฆษณา