15 ก.ย. เวลา 04:34 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Dreadnaught พยัคฆ์ขาวกับเด็กซักผ้า ในหนังกังฟูสแลชเชอร์

ในปี 1981 วงการภาพยนตร์ฮ่องกงกำลังเต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ หนังบู๊ยังคงเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรม แต่แล้วก็มีผลงานเรื่องหนึ่งโผล่ขึ้นมาเปลี่ยนทิศทางของแนวทางที่ผู้ชมเคยคุ้นเคย นั่นคือ Dreadnaught ผลงานของยอดปรมาจารย์คิวบู๊หยวนหวู่ปิง หากย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 80 หนังเรื่องนี้คือบทพิสูจน์ถึงความบ้าคลั่งในการผสมผสานแนวทางหลากหลาย ทั้งศิลปะการต่อสู้สุดประณีต ความตลกแบบหน้าตาย และบรรยากาศสยองขวัญที่หลอนราวกับหนังฆาตกรสวมหน้ากากหรือสแลชเชอร์ฟิล์มแบบอเมริกัน
เรื่องราวเริ่มต้นจาก White Tiger หรือ “พยัคฆ์ขาว” รับบทโดยหยวนซุ่นอี้อาชญากรโรคจิตที่ไม่เพียงหนีการจับกุม แต่ยังพร้อมฆ่าทุกคนที่ขัดขวางหรือแม้แต่ทำให้เขารู้สึกรำคาญ ในการต่อสู้ครั้งหนึ่งภรรยาของเขาถูกฆ่าตายต่อหน้า ส่งผลให้จิตใจที่เปราะบางอยู่แล้วแตกสลายลง เขากลายเป็นฆาตกรที่มาแอบซ่อนตัวอยู่ในคณะงิ้ว และเมื่อแต่งหน้าสวมหน้ากากงิ้วเมื่อไหร่ ความอำมหิตของเขาก็จะขยายจนกลายเป็นฆาตกรสวมหน้ากากที่สุดอำมหิต
ความเงียบงันที่ไร้คำพูดของพยัคฆ์หน้าขาวกลายเป็นอาวุธสำคัญที่จะเพิ่มความตึงเครียดให้กับเรื่องราว เพราะไม่มีบทสนทนาใดจะทำให้ผู้ชมขนลุกได้เท่ากับเสียงหอบ เสียงคำราม และสายตาดุดันภายใต้หน้ากากงิ้ว เหมือนกับที่ ไมค์ มายเยอร์ ในHalloween หรือเจสัน วอร์ฮีในศุกร์ 13 แต่กลายร่างเป็นเวอร์ชันหน้ากากงิ้วที่สยองพอกัน
ตรงข้ามกับตัวร้ายอำมหิต พระเอกของเรื่องกลับเป็นชายหนุ่มขี้ขลาดอย่างที่สุด ซึ่งแสดงโดยหยวนเปียวหนึ่งในสามทหารเสือโรงงิ้วที่เติบโตมาพร้อมกับเฉินหลงและหงจินเป่า หากสองคนนั้นก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว ในเวลานั้นหยวนเปียวยังคงถูกมองว่าเป็นดาราสายบู๊ที่รอวันแจ้งเกิดเต็มตัว และ Dreadnaught คือเวทีที่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงทั้งทักษะกายกรรมอันเหลือเชื่อและเสน่ห์การแสดงที่ทำให้ผู้ชมเอาใจช่วยตั้งแต่ต้นจนจบ
หยวนเปียวชายหนุ่มขี้ขลาดผู้หาเลี้ยงชีพด้วยการซักผ้า เขามักตกเป็นเป้าล้อเลียนของชาวเมือง ถูกกลั่นแกล้งสารพัด แต่โชคยังดีที่เขามีเพื่อนสนิทอย่างเลี่ยงฟู่ที่รับบโดยไบรอัน เหลียงคอยอยู่ข้างกาย และอาฟู่เองก็ไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นศิษย์เอกของหวงเฟยหง เมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ พาหนุ่มซักผ้าเข้ามาเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ขาว เขาทำได้เพียงวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น โดยไม่รู้เลยว่า ที่ผ่านมาเขาได้ฝึกเคล็ดวิชากรงเล็บที่แทรกซึมลงไปในกิจกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเขาอย่างแนบเนียนโดยไม่รู้ตัว
และทักษะนั้นเองจะกลายเป็นอาวุธลับสำคัญ เมื่อโชคชะตาบีบให้เขาต้องยืนหยัดต่อสู้กับวายร้ายร้ายกาจเพียงลำพัง โดยปราศจากการช่วยเหลือจากทั้งอาฟูหรือหวงเฟยหง
ฉากซักผ้าในหนังเรื่องนี้กลายเป็นตำนานที่ถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้ เพราะมันคือการเล่าเรื่องด้วยภาพที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ไม่มีบทพูดยืดยาว ไม่มีครูฝึกตะโกน ไม่มีเสียงดนตรีเร้าอารมณ์ มีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังทำงานประจำวัน แต่ด้วยลีลาและการออกแบบท่วงท่าโดยหยวนหวู่ปิง ทำให้กิจกรรมธรรมดากลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ทั้งงดงามและมีพลัง อิทธิพลของฉากนี้ไปไกลถึงฮอลลีวูด เพราะหนัง Batman Forever ในปี 1995 ถึงกับหยิบฉากซักผ้ามาอ้างอิงตรงๆ ในฉากที่รอบินฝึกกังฟูด้วยการห้อยผ้าและบิดผ้าในลักษณะเดียวกัน
นี่คือหนึ่งในหลักฐานชัดเจนว่า Dreadnaught ไม่ได้หยุดอยู่ที่การเป็นหนังฮ่องกงยุคทอง แต่ส่งแรงสะเทือนต่อไปทั่วโลก
อีกสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษคือการปรากฏตัวของ กวานตักหิง (Kwan Tak-hing) ในบทหวงเฟยหงเป็นครั้งสุดท้าย กวานคือผู้รับบทวีรบุรุษผู้นี้มาตั้งแต่ยุคขาวดำในช่วงกลางทศวรรษ 1940 และทำให้หวงเฟยหงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความดีงามและคุณธรรมบนจอภาพยนตร์มานับร้อยเรื่อง
Dreadnaught จึงไม่ใช่เพียงหนังบู๊แอ็กชัน แต่ยังเป็นบทสรุปทางประวัติศาสตร์ของการแสดงหวงเฟยหงในยุคกวานตักหิงด้วย ในหนังหวงเฟยหงยังคงเป็นเสาหลักของคุณธรรม เข้าช่วยเหลือทั้งศิษย์และคู่แข่ง และยังมีฉากการประลองกับช่างตัดเสื้อปีศาจกับนักแสดงอย่างเฟิงเค่ออันที่เราคุ้นหน้ากันดีและถือเป็นหนึ่งในฉากไฮไลต์ ทั้งการออกแบบการต่อสู้และการแต่งหน้าขาวซีดของเฟิงเค่ออันที่ทำให้ผู้ชมขนลุกไม่แพ้พนัคฆ์ขาว
ถึงจะเป็นหนังบู๊ แต่ Dreadnaught แทบไม่มี “ฉากฝึกวิชา” แบบที่เป็นสูตรสำเร็จของหนังฮ่องกงในยุคนั้น ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยการเติบโตของหยวนเปียวผ่านประสบการณ์จริง การเรียนรู้จากความกลัว และการค้นพบว่าความถนัดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันสามารถกลายเป็นอาวุธได้เมื่อถึงคราวจำเป็น หนังยังเต็มไปด้วยการเล่นกับแนวทางอย่างมีชั้นเชิง เช่น การใช้การเชิดสิงโตที่ยืดยาวจนกลายเป็นการต่อสู้ผ่านศิลปะประเพณี หรือการให้พระเอกวิ่งหนีแทนที่จะสู้ ซึ่งกลายเป็นการโชว์ความคล่องแคล่วและศักยภาพทางกายของหยวนเปียวได้อย่างสมบูรณ์
แต่เหนือสิ่งอื่นใด หนังเรื่องนี้คือการทดลองผสมผสานแนวทางที่แทบไม่มีใครกล้าทำในเวลานั้น มันคือหนังบู๊ตลกที่มีกลิ่นอายสยองขวัญ มันคือหนังสแลชเชอร์ที่มีฉากประลองยุทธ์แบบจีน มันคือหนังหวงเฟยหงที่แทรกตัวละครพระเอกขี้ขลาด และมันคือหนังคอมเมดี้ที่สามารถทำให้ผู้ชมขำกลิ้งไปพร้อมกับรู้สึกเสียวสันหลัง Dreadnaught จึงกลายเป็นงานที่แฟนหนังรุ่นเก่าอาจวิจารณ์ว่าไม่ใช่หยวนหวู่ปิงในแบบที่คุ้นเคย เพราะฉากบู๊อาจไม่มากเท่าหนังกังฟูยุคเดียวกัน แต่ในความจริงมันคือการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ที่เปิดทางให้หนังในยุคถัดมา
และหากถามว่าทำไม Dreadnaught ถึงยังถูกจดจำ คำตอบคงอยู่ตรงความกล้าที่จะหลอมรวมทุกสิ่งที่ขัดแย้งให้เข้าด้วยกัน มันไม่ใช่หนังที่เดินตามสูตร แต่มันคือหนังที่สร้างสูตรใหม่ขึ้นมาเอง
โฆษณา