Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มินิซีรี่ย์
•
ติดตาม
15 ก.ย. เวลา 06:43 • ประวัติศาสตร์
( เปรมวดีผู้ถูกอิจฉา ต่อ )
พอหล่อนออกจากเงาไม้ต้นสุดท้าย
เดินลัดทางเดินโรยกรวดข้างหลังตึก ขึ้นบันไดตึกและนึกโล่งใจว่าปลอดภัยจากคนเห็นแล้ว ร่างของอาสายก็ปรากฏที่ประตูหน้าบันไดนั้น อาสายเข้าคว้าข้อมือหล่อนอย่างแน่นทันที ตัวหล่อนจูงตัวหล่อนขึ้นบันไดตึกโดยหล่อนก็ไม่พยายามขัดขวาง ตรงเข้าห้องนอนของหล่อนซึ่งอยู่ไกลจากบันไดชั้นบนขั้นสุดท้ายไม่เกิน ๓ เมตร อาสายปล่อยมือให้เปรมวดีนั่งลงบนเตียงของหล่อน และยังไม่ทันอาสายจะนั่งลงบนที่เดียวกัน อาสายก็พูดเหมือนคนหอบ ด้วยเหตุที่อาสายต้องกลั้นไว้ไม่พูดอะไรเลยตลอดเวลาที่พาตัวเปรมวดีเดินขึ้นบันไดจนเข้าห้องได้
“คุณหนู คุณหนูไปไหนมา ไปไหนมา บอกอาซิ คุณหนูไปไหนมา”
“เปรมไปหาพี่มนมา” เปรมวดีตอบชัดถ้อยคำ มีความกล้าไม่สะทกสะท้านจนตัวหล่อนเองก็แปลกใจตัวเอง
อาสายลดตัวจากเตียงลงไปนั่งบนพื้น เอาหน้าซบกับที่นอนแล้วร้องไห้กระซิก ๆ ทำให้เปรมวดีแปลกใจอย่างที่สุด
“อาสายร้องไห้ทำไมคะ” เปรมวดีถาม ขณะนั้นเปรมวดีรู้สึกแปลกใจอย่างเดียวเท่านั้น
“โธ่ คุณหนู อาสายป้อนข้าวป้อนน้ำมา” อาสายสะอื้นตอบ “อาสายเสียดายเหลือเกิน ทำไมคุณหนูทำได้”
“เปรมลงไปหาพี่มน เพราะมีเรื่องจะต้องพูดกัน” เปรมวดีกล่าว “เป็นคววามผิดของอาสายเองที่เปรมต้องลงไปกลางคืนกลางค่ำอย่างนี้ ถ้าอาสายไม่กีดกัน ไม่ให้เปรมกับพี่มนพบกัน เปรมก็ไม่ต้องลงไปหาเขากลางคืนดึกดื่น”
“อาสายแย่เหลือเกิน มากลายเป็นความผิดของอาสายไป” สายหยุดพูดเหมือนคราง
“ไม่ใช่ความผิดของอาสายคนเดียวหรอก ความผิดของคนทั้งหมด” เปรมวดีตอบ “เปรมไม่เห็นอยากอยู่เลย อยากตาย ๆ เสียรู้แล้วรู้รอดไป”
อาสายเข้ากอดบั้นเอวเปรมวดีไว้แน่น เปรมวดีอยากจะสลัดให้กระเด็นไป แต่หล่อนใจแข็งไม่พอ ได้แต่ทำกิริยาแสดงความอึดอัด อาสายพูดว่า
“คุณหนู ความลับของคุณหนูก็เหมือนความลับของอาสาย ชีวิตของอาสายก็ให้แก่คุณหนูได้ ขอแต่ให้คุณหนูหยุดเพียงเท่านี้ อย่ารักใคร่กับนายมนต่อไปเลย ไม่คู่ควรกันหรอก โธ่ ใครเขาต้องอิจฉาคุณหนูกันทั้งนั้น คนอย่างคุณกิตติ คุณจุฑามาเร่อยู่ตรงหัวกะได เขาจะเอาลูกสาวบ้านไหนใครๆ ก็เอาใส่ถาดวางให้ทั้งนั้น ทำไมคุณหนูไม่ยักคิดจะรักดี”
เปรมวดีแกะมืออาสายออกจากเอวหล่อนจนได้ หล่อนไม่รู้ว่าความรู้สึกของหล่อนคือความรู้สึกโกรธหรือแค้น หรือดูหมิ่นหรืออะไร รู้แต่ว่าหล่อนอยากจะปิดหูเสียไม่อยากฟังต่อไปอีกเลยแม้แต่คำเดียว แต่หล่อนมีกำลังใจพอที่จะตอบด้วยเสียงอันสั่นด้วยความสะเทือนใจว่า “อาสาย โปรดอย่าใช้คำว่าเปรมรักกับพี่มนเลย เขาไม่ได้อาลัยไยดีอะไรกับเปรมเลย เขาว่าเปรมบัดซบ ขี้ขลาด ทำอะไรไม่ได้” พอจบประโยคเปรมวดีก็ซบหน้าลงสะอื้นอยู่บนหมอน
สายหยุดมองตูญาติน้อยอย่างตกตะลึง หล่อนไม่สามารถเข้าใจอะไรมากนัก นอกจากคำว่า “ไม่ได้รัก” ความยินดีในข้อนี้ครอบคลุมความรู้สึกอื่น ๆ เสียสิ้น แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับเปรมวดี จะเข้าไปปลอบก็ไม่กล้า จะกล่าวอะไรต่อไปก็รู้สึกกลัวว่า จะทำให้เกิดอะไรที่ไม่ดีกว่าเท่าที่เป็นอยู่นั้น นั่งจ้องดูเปรมวดีสะอื้นอยู่ครู่ใหญ่แล้ว ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นออกจากห้องไป เปรมวดีสะอื้นอยู่อีกสักครู่ จนรู้สึกค่อยสบายขึ้นเพราะได้ระบายความรู้สึกออกทางน้ำตาแล้ว ก็ลุกขึ้นไปปิดประตูห้อง แล้วก็ผลัดเสื้อผ้าเข้านอน
เช้าขึ้น ปรอทวัดความร้อนแสดงว่าเปรมวดีมีไข้ขึ้นอีก แต่สายหยุดได้ตัดสินใจเด็ดขาด หล่อนไม่รั้งรอ โทรเลขให้พรรณวดีส่งรถมารับเปรมวดีเร็วที่สุดที่จะมาได้
ตกบ่าย กรุแก้วกับลินดาก็มาเยี่ยมเปรมวดีทำใจของหล่อนให้กลับเข้าสภาพที่เคยเป็นมา คือพยายามทำใจไม่ให้หวาดกลัวคำชมเชยของเพื่อน ซึ่งล้วนแล้วไปด้วยความรู้สึกอิจฉาในความโชคดีของหล่อน
กรุแก้วกลับไปบ้านของตนโดยมีภาพสีสด ๆ งาม ๆ ทันสมัย ของเครื่องแต่งตัวสำหรับไปตากอากาศชายทะเลของเปรมวดี ติดตาไปนอนฝันเห็นตลอดคืน ส่วนเปรมวดีนอนหลับโดยมีคำว่า “คุณหนูไม่สู้ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร สงสารน่ะแสนจะสงสาร คุณหนูออกไปเสียจากห้องผม คุณหนูเป็นภัยแก่ผม คุณหนูไม่มีความเข้าใจอะไร คุณหนูบัดซบ” วนไปเวียนมาอยู่ในสมองอันอ่อนต่อชีวิตอ่อนต่อโลก อ่อนต่อความจริงทั้งหลาย ไม่เข้าใจตัวเอง และไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งแวดล้อม อันเป็นสภาพของสมองอีกหลายสมองที่ล้อมรอบตัวของเปรมวดี และมีอำนาจเหนือชีวิตของหล่อน
เปรมวดีไปหัวหินด้วยใจที่พยายามจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพชีวิตของหล่อนซึ่งหล่อนรู้ว่าหล่อนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในเมื่อมารดาของหล่อนมีความประสงค์ให้หล่อนทำตนสนิทสนมกับชายหนุ่มสองคนที่ท่านเห็นว่าคู่ควรกับหล่อน หล่อนก็พยายามเท่าที่จะทำได้ การทำตัวเป็นลูกหลานที่เอาใจคนสูงอายุ ที่เป็นเพื่อนเป็นมิตรของคุณย่า และเป็นญาติผู้ใหญ่ของชายหนุ่มทั้งสอง เปรมวดีทำได้โดยไม่ต้อง
พยายาม มีแต่ความรู้สึกภายในที่หล่อนไม่สามารถบังคับควบคุมได้ คือหล่อนมักรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจหายวาบหวามโดยไม่รู้สึกตัวว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ก็พยายามให้มันหดหายเสียโดยเร็ว โดยเข้าไปหาคุณย่า ไปชวนท่านคุยบ้าง หรืออ่านหนังสือให้ฟังบ้าง หรือไปสนุกกับเพื่อนรุ่นเด็ก ๆ ที่ไม่ต้องกวดวิชา และได้ไปพักผ่อนในระหว่างโรงเรียนปิดภาคกันกับเปรมวดี
เปรมวดีได้ทำใจถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเหนือเกินความคาดฝันของผู้ใดทั้งสิ้น เกินที่เปรมวดีจะปรับตัวปรับใจรับได้ และเกินกว่าที่คนแวดล้อมเปรมวดีจะเรียกร้องให้ผู้ใดปรับตัวปรับใจรับได้ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะชินต่อความยุ่งยากแห่งชีวิตมนุษย์มากกว่าเปรมวดี
พอเปรมวดีไปอยู่หัวหินได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ในเวลาค่ำวันหนึ่ง ลุงสิทธิ์ญาติผู้อาศัยในบ้านคุณย่าและมีหน้าที่รับผิดชอบในบ้านของคุณย่าระหว่างที่คุณย่าและคุณแม่ไม่อยู่บ้านก็มาปรากฏตัวที่หัวหินในค่ำวันหนึ่งโดยไม่มีผู้ใดรู้กำหนดว่ามา นายสิทธิ์แสดงความจำนงขอพบกับคุณแม่โดยมิให้คุณย่าทราบ เพื่อจะไม่ให้ท่านตกใจ
แล้วลุงสิทธิ์กับคุณแม่ก็เลี่ยงไปเจรจากันในที่ลับหูคนคือที่ชายหาด เพราะที่ลับตาในบริเวณที่ตากอากาศนั้นหาได้ยาก รุ่งเช้าขึ้น คุณแม่กับลุงสิทธิ์ก็นั่งรถยนต์เข้าไปกรุงเทพฯ คุณย่าได้รับทราบว่าคุณแม่มีธุระเกี่ยวกับเรื่องเงินก้อนหนึ่ง แต่คุณแม่จะจัดการให้เรียบร้อยได้โดยเร็ว คุณย่าไม่ควรกังวล
๓ วันหลังจากนั้น คุณพ่อก็มาปรากฏตัวขึ้นที่บ้านตากอากาศที่หัวหิน ยังความประหลาดใจให้เปรมวดียิ่งกว่าที่ลุงสิทธิ์มาหลายเท่า คุณพ่อมาถึงที่บ้านพักนั้นแล้วก็รีบแจ้งให้เปรมวดีทราบว่าต้องการพบคุณย่า ทำให้เปรมวดีตื่นเต้นไปทางหวาดหวั่นอย่างยิ่ง คุณพ่อขอพูดกับคุณย่าคนเดียว พูดอยู่ด้วยกันประมาณ ๒๐ นาที ที่ระเบียงเล็กด้านตะวันตกอันเป็นที่สำราญของคุณย่า แล้วคุณพ่อก็ออกมาที่ระเบียงใหญ่หน้าบ้านที่หันหน้าสู่ชายทะเล อันเป็นที่รับประทานข้าวและทำกิจอื่นอีกหลายอย่างตาม
ธรรมดาของการตากอากาศชายทะเล คณพ่อแจ้งกับเปรมวดีว่า คุณพ่อมาขออนุญาตรับเปรมวดีกลับไปกรุงเทพฯ คุณย่าทราบเรื่องแล้ว เข้าใจแล้ว และได้อนุญาตแล้ว พอเปรมวดีอ้าปากจะถามถึงคุณแม่ คุณพ่อก็บอกเสียก่อนที่เปรมวดีจะถามว่า “คุณแม่เปรมเขาก็ทราบแล้ว คืนนี้นอนแต่หัวค่ำให้สบาย ๆ พรุ่งนี้พ่อจะมารับแต่เช้า” แล้วคุณพ่อก็ลงจากเรือน บอกว่าจะไปนอนที่โฮเต็ล โดยไม่ให้โอกาสเปรมวดีถามว่าอย่างไรต่อไป
อาสายกับอาจันทร์ตามเปรมวดีเข้าไปในห้อง เปรมวดีเข้าไปนั่งห้อยเท้าบนเตียงนอน ในใจเปรมวดีรู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาด ไม่สามารถฟังความหวังของญาติทั้งสองได้ “คุณพ่อกับคุณแม่จะดีกันหรือคุณหนู คงจะเป็นเพราะเห็นคุณหนูจะเป็นฝั่งเป็นฝากระมัง” อาสายแสดงความหวัง แต่ในใจของญาติอนาถาทั้งสองก็รู้สึกหวาดหวั่น
เหมือนกัน เปรมวดีสั่นศีรษะ หล่อนเดาอะไรไม่ได้เลย อาจันทร์กล่าวขึ้นอย่างคนมีสติกว่าญาติอีกคนหนึ่งว่า “ยังไง ๆ ก็นอนเสียให้หลับสบาย ๆ เถอะ เดี๋ยวไม่สบายจะลำบากกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” เปรมวดีพอใจที่จะอยู่คนเดียวอยู่แล้ว ก็รีบทำตามคำแนะนำทันที
เป็นครั้งแรกในชีวิต ๑๗ ปีกว่าของเปรมวดี ที่หล่อนต้องอยู่ตามลำพังกับคุณพ่อเป็นเวลานานถึง ๓ ชั่วโมงกว่า กำลังกังวลว่า จะทำให้คุณพ่อรำคาญใจกับความไม่รู้จักพูดคุยของตน และกังวลว่าตนจะต้องรำคาญคุณพ่อ อีกทั้งสงสัยกับธุระที่ทำให้คุณ
พ่อมาพาตัวหล่อนไปอย่างยิ่ง ก็พอดีคุณพ่อทำใจให้สบายขึ้นมาก โดยพูดขึ้นว่า “เปรมไม่ต้องห่วงคุณย่านะ พ่อกำชับอาสายกับอาจันทร์ไว้แล้ว พรุ่งนี้บางทีคุณแม่เขาก็จะกลับมาหัวหิน แล้วก็นอนให้หลับเสียอีกหน่อยในรถจะได้มีแรง เห็นว่าไม่สบายเพิ่งหายมาไม่ใช่รึ” แล้วคุณพ่อเองก็ไม่แสดงว่าอยากคุยกับเปรมวดี เพราะ
ระหว่างที่นั่งรถยนต์เดินทางเข้าไปกรุงเทพฯ ด้วยกันจากหัวหิน คุณพ่ออ่านหนังสือเสียโดยมาก พอเบื่ออ่านหนังสือก็ไปขับรถเอง และระหว่างที่ทำหน้าที่ขับรถคุณพ่อก็เกือบไม่พูดอะไรเลย ตลอดการเดินทางในวันนั้น เปรมวดีจำวาจาของบิดาได้ที่เป็นสาระสำคัญก็คือ คุณพ่อถามว่าเปรมวดีอยากเรียนต่อชั้นอุดมศึกษาหรือไม่ เมื่อเปรมวดีตอบว่าอยากเรียน คุณพ่อก็บอกว่าเห็นด้วย และคุณพ่อถามว่าอยากไปเมืองนอกหรือไม่ เปรมวดีตอบว่าอยากไป คุณพ่อก็พยักหน้าทำอาการเห็นด้วยเช่นเดียวกัน
รถยนต์พาหนะของเปรมวดีกับคุณพ่อมาถึงบ้านของเปรมวดีก่อนเที่ยง รถเลี้ยวเข้าบ้านแล้วแล่นไปตามถนนโรยกรวดเข้าไปจอดหน้าบันไดหินอ่อน มองจากรถเข้าไปในห้องโถงตรงช่องบันได เปรมวดีเห็นคุณแม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมีบุรุษคนหนึ่งแต่งกายเรียบร้อยผูกเน็กไทและสวมเสื้อชั้นนอก เปรมวดีแปลกใจมากเมื่อเห็นคุณพ่อปราดเข้าไปถึงตัวชายผู้นั้นอย่างรีบร้อน จนแม้ประตูรถก็ไม่ปิดเสียก่อน พอเปรมวดีขึ้นบันไดเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินคุณพ่อกล่าวว่า “เถอะครับ ผมขอความ
กรุณา ผมจะให้ความร่วมมือทุกอย่าง สองชั่วโมงคงไม่ทำให้เสียหายอย่างไรได้” ชายนั้นเถียงว่า “โธ่ คุณเอกชาติครับ คุณเห็นใจผมบ้างเถิดครับ” คุณพ่อตอบว่า “คุณก็เห็นใจผมบ้างเถิดครับ ผมรับรองครับ สองชั่วโมง สองชั่วโมง เท่านั้นครับ” ชายนั้นหันมาเห็นหล่อน เขาพิจารณาดูหน้าหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ ก้มศีรษะคำนับคุณพ่อและคุณแม่แล้วก็เดินลงบันไดไป ก่อนลงบันไดเขาหันมากล่าว “สิบสี่นะครับ บ่ายสองโมงนะครับ” คุณพ่อรับ “ครับ ครับ” แล้วชายนั้นก็เดินออกจากบ้านไป
ต่อจากนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ก็จ้องหน้ากัน นัยน์ตาคุณแม่แข็งกระด้าง เป็นอันว่าความใฝ่ฝันของอาสายไม่มีทางเป็นความจริงขึ้นมาได้ คุณพ่อกล่าวเป็นคำสั่งแต่พยายามให้น้ำเสียงละมุนละม่อมว่า “โปรดให้เปรมรับประทานอาหารแล้วก็พักผ่อนเสีย” แล้วคุณพ่อก็ถอยตัวห่างออกไปนิดหน่อย เปรมวดีเข้าไปกราบคุณแม่ที่ตัว คุณแม่หันหลัง
จากคุณพ่อ เดินนำเปรมวดีเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร บอกให้เปรมวดีรับประทานอาหาร ตลอดเวลาที่เปรมวดีทำตามคำสั่ง คุณแม่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้กล่าวถ้อยคำว่าอย่างใดเลย พอเปรมวดีรับประทานเสร็จ ซึ่งก็ไม่กินเวลามากนัก เพราะกินอาหารไม่ได้กี่คำในบรรยากาศที่ตึงเครียดนั้น คุณแม่ก็บอกว่า “ไปพักผ่อนหลับนอนเสียมีธุระถึงจะเรียก” แล้วคุณแม่ก็ออกจากห้องอาหารไป
ด้วยความเพลียเปรมวดีก็นอนหลับไปได้จริง ๆ พอตื่นขึ้นรู้สึกว่ามีกำลังกายกำลังใจมากขึ้นกว่าเมื่อเช้า กำลังบอกกับตัวเองว่า ถ้ามีอาสายกับอาจันทร์อยู่บ้านก็คงไม่มีโอกาสได้พักผ่อนอย่างนี้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินกุกกักหน้าห้อง เปิดประตูออกมาดูเห็นแต่หลังของคุณแม่เดินลงบันไดไป เปรมวดีเข้าห้อง ทำความสะอาด หวีผมผัด
หน้าแล้วก็ลงไปข้างล่างบ้าง พอเปรมวดีลงถึงบันไดขั้นล่างสุด หันหน้าไปทางด้านหน้าของตึก ก็เห็นคุณพ่อกับชายที่พบเมื่อเช้านี้เข้าประตูห้องโถงเข้ามา คุณพ่อตรงเข้ามาจับแขนหล่อน แล้วประคองพาไปหาชายผู้นั้น แต่ยังไม่ทันจะแนะนำชื่อเสียงกัน คุณแม่ก็เข้ามาจากระเบียงทางขวามือของตึก แล้วเชิญว่าให้เข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของตึกใกล้บันได
คุณพ่อยังคงไม่วางแขนเปรมวดี พาตัวหล่อนเข้าไปในห้องรับแขกแล้วให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง คุณพ่อหันไปกล่าวกับชายที่เปรมวดียังไม่รู้จักว่า “คุณจรูญศักดิ์ครับ นี่ลูกผมเปรมวดี ผมตั้งใจจะพูดอะไรกับแกสักหน่อยก่อนที่คุณจะมา แต่คุณก็เร่งรัดเหลือเกิน” หยุดนิดหนึ่ง เมื่อเห็นชายที่เป็นแขกคุณแม่และเปรมวดีนั่งเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อจึงนั่งลงบ้าง แล้วกล่าวว่า “เปรม พ่อคิดจะให้เปรมกินนอนเสียให้สบายก่อน
แล้วจะบอกเปรม แต่คุณจรูญศักดิ์ก็ขอให้เห็นใจ ขอให้รีบ ๆ หน่อย เปรมไม่ต้องตกใจมากนัก ถึงคุณจรูญศักดิ์จะเป็นตำรวจ แต่ก็เป็นเพื่อนฝูงของพ่อ พูดกันฉันมิตรคือคุณจรูญศักดิ์มาค้นห้องสุมนลูกป้ามะลิที่มาอาศัยคุณย่าเรียนหนังสือ แล้วก็อยากให้ลูกช่วยชี้แจงอะไรนิดหน่อย เปรมไม่ต้องกลัวอะไร ไม่ต้องกลัวใคร รู้เท่าไหร่ก็พูดเท่านั้น”
ถ้าใครได้เห็นหน้าของเปรมวดีในขณะนั้น ก็จะเห็นว่าหน้าหล่อนไม่มีเลือดเลย ความรู้สึกเหมือนกับจะเป็นลมล้มพับลงไป เปรมวดีกลัวคนหลายคนและกลัวอะไรหลายอย่าง เหงื่อออกที่มือเย็นเฉียบ ตั้งตัวไว้ไม่ไหว ต้องเอาศีรษะพิงพนักเก้าอี้ไว้แล้วหลับตาลง
“เปรมเพิ่งหายจับไข้ใหม่ ๆ ผมบอกคุณจรูญศักดิ์แล้ว” คุณพ่อพูด หน้าของจรูญศักดิ์เองก็ซีดลงเมื่อเห็นอาการของเปรมวดี เขาจับตาดูหล่อนอย่างพินิจพิเคราะห์ เว้นระยะจนรู้สึกว่าหล่อนค่อยรวบรวมสติได้แล้วเขาก็กล่าว พยายามทำให้เสียงนุ่มนวล
“คุณพ่อของคุณพูดถูกแล้ว คุณไม่ต้องกลัวอะไร รู้แค่ไหนก็พูดแค่นั้น แต่ขอให้บอกความจริงแก่ผมเถิด ขอให้ช่วยเหลือผมและช่วยเหลือตัวเอง เป็นการช่วยเหลือเจ้าบ้านที่ให้นายสุมนอาศัยด้วย”
เปรมวดียึดแขนเก้าอี้ไว้แน่น จ้องดูหน้าชายแปลกหน้าอย่างจะขอความช่วยเหลือ เหลือบตาดูคุณแม่อย่างเกรงกลัวและชำเลืองดูหน้าคุณพ่ออย่างพยายามจะอ่านความคิด คุณพ่อผู้ซึ่งเปรมวดีเกือบไม่รู้จักเลยว่าเป็นคนชนิดใด นอกจากว่าเป็นเจ้าชู้เอาญาติในบ้านเป็นเมีย แล้วก็ทิ้งภรรยาที่เป็นเหมือนน้องแท้ๆ ของตัวไป กับอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นคนมีความรู้มีชื่อเสียงในราชการ บัดนี้ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของเปรมวดี นี่หล่อนจะตกอยู่ในภาวะอย่างใด ในฐานะอะไร
นายตำรวจเอ่ยขึ้นอย่างฉลาด “ผมได้ทราบจากคุณแม่ของคุณว่า คุณไม่ได้สนิทสนมอะไรกับนายสุมนนัก คุณอยู่โรงเรียนประจำ เพิ่งจะกลับมาอยู่บ้าน คุณกับนายสุมนเป็นแต่เพียงคนร่วมบ้านกันใช่ไหม”
เปรมวดีนิ่งอึดไปชั่วขณะ แต่ความสุจริตใจอันเป็นเนื้อแท้ของอัธยาศัยของเปรมวดีทำให้หล่อนคิดว่า เวลานี้สุมนอยู่ในฐานะลำบาก เป็นฝ่ายเสียเปรียบ หน้าที่ของมิตรแท้คือต้องช่วยผดุงฐานะของกันและกัน เปรมวดีมองออกมาจากส่วนลึกของหัวใจว่า “เปรมสนใจกับเขามากค่ะ ดูเขาเป็นคนมีความคิดนึกตรึกตรอง เปรมชอบหาโอกาสคุยกับเขา แต่เขาก็ไม่ฉวยโอกาสค่ะ”
เปรมวดีสังเกตว่าคุณพ่อฟังอย่างไตร่ตรอง ส่วนคุณจรูญศักดิ์นั้นมีอาการเหมือนกับโล่งอก เปรมวดีไม่รู้ว่าสุมนเป็นคนมีความผิดหรือไม่ ความคิดของหล่อนมีอยู่อย่างเดียว แต่ว่าหล่อนจะต้องช่วยเขาให้มากที่สุดที่จะมากได้ นอกนั้นรอไว้ก่อนได้
“ผมขอถามคุณจริง ๆ คุณอย่ากลัวใครหรืออะไรทั้งนั้น” จรูญศักดิ์พูดต่อไป “คุณกับสุมนไม่ได้รักกันฉันคู่รักใช่ไหม” ระหว่างที่ถามนัยน์ตาของเขาจับอยู่ที่หน้าเปรมวดีอย่างเพ่งเล็ง ถึงคำพูดของเปรมวดีจะเป็นอย่างไร เขาก็จะรู้ความจริงจากดวงหน้าหล่อน
เปรมวดีตอบอย่างอาจหาญ “เปล่าเลยค่ะ เขาว่าเปรมเป็นคนไม่รู้จักต่อสู้อะไรค่ะ” วรรคสุดท้ายนี้มีเสียงสะท้อนในอกเจือออกมาด้วยโดยบังคับไว้ไม่ได้
นายจรูญศักดิ์ยิ้ม “อา เป็นอันว่าคุณกับนายสุมนไม่ใช่คู่รักกันแน่นะ” เขาคงจ้องมองหน้าหล่อนต่อไป และยังไม่ทันที่บิดาหรือมารดาของเปรมวดีจะช่วยกล่าวเสริมหรือสนับสนุนคำพูดของลูกสาวอย่างใด เขาก็ควักกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา คลี่ออกแล้วส่งให้เปรมวดี “คุณอ่านซิ อ่านกระดาษแผ่นนี้ซิ แล้วช่วยผมอธิบายอะไรบางอย่างหน่อย”
เปรมวดีรับมาอ่าน เลือดในผิวหน้าของหล่อนหนีไปหมดสิ้นจนหน้าหล่อนเป็นสีน้ำเงิน แต่เปรมวดีก็อ่านต่อไป อ่านต่อไป
“คุณหนูที่รัก
เมื่อคุณหนูได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ก็แปลว่าตัวผมไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์แล้ว ผมทำความผิดเผอเรอมาก พาเอาพวกพ้องต้องลำบากกันหลายคน ผมอยู่ไม่ได้อีกต่อไป แต่ก่อนที่จะลาโลกไป ผมยังอดคิดถึงคุณหนูไม่ได้ ผมอยากให้คุณหนูรู้อะไรบางอย่าง จดหมายนี้มันจะถึงคุณหนูหรือไม่ก็ไม่รู้ ขอได้โปรดด้วยเถิด ท่านผู้ใดยังมีความสงสารเพื่อนมนุษย์อยู่บ้าง ไม่ใช่ประโยชน์ของผมแท้ ๆ หรอก หรือจะไม่ใช่ประโยชน์ของใครเลยก็ไม่รู้ อย่างไรก็ตาม เผื่อคุณหนูจะได้อ่าน ผมจึงขอพูดอะไรให้ฟัง
ผมควรจะรู้ตัวว่า ผมไม่เหมาะสมที่จะทำงานที่เขามอบหมายให้ผมทำตั้งแต่วันที่ผมเรียกคุณหนูว่าคุณหนูแล้ว คือผมได้เข้าเป็นสมาชิกสังคมอันบัดซบไปแล้วในวาระนั้น ผมควรจะเรียกคุณหนูว่า เปรมวดี เมื่อพบก็ควรเรียกคุณเปรมวดีเพื่อสุภาพ แต่เวลาผมอยู่คนเดียว ทำไมผมนึกถึงคุณหนูเสมอ และเวลาผมพบคุณหนู ผมก็เรียกอย่าง
อื่นไม่ได้ รู้ไหมผมตั้งต้นจดหมายนี้กี่หน ทีแรกผมเขียน คุณหนูของผม แล้วก็ คุณหนู แล้วก็คุณหนูที่รัก ในที่สุดก็มาเป็นอย่างนี้ คุณหนู ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของผมต่อคุณหนูมันเป็นความรักหรือเปล่า แต่มันทำให้ผมทรมานจริง ๆ ผมเกลียดคนทุกคนที่แวดล้อมคุณหนู ที่กีดกันไม่ให้ผมกับคุณหนูได้เป็นมิตรกัน ช่างไม่มีความจริงอะไร
เสียเลย คนอื่นที่เขาไม่มีเลือดอะไรร่วมกันสักนิด ก็เป็นคุณป้า คุณน้า คุณอา กันได้ คบกันด้วยเงินแท้ ๆ ญาติแท้ ๆ แต่มันบ้านนอก มันมาอาศัยบ้าน กลับเป็นพี่น้องกันไม่ได้ แต่ถ้านึกถึงคุณหนูก็อดสงสารไม่ได้ ใคร ๆ เขาคงหัวเราะเมื่อได้ยิน แต่วันนั้นคุณหนูบอกกับผมเองว่า คุณหนูอยากได้ยินใครพูดอย่างนี้กับคุณหนูสักคน ผมนะไม่มาชักชวนคุณหนูให้ไปเข้าร่วมงานกับพวกผมหรอก คุณหนูประสาทอ่อน คุณหนูรักและสงสารคนไปหมดเหมือน “ท่าน” นั่นแหละ คน ๆ นี้ผมไม่รู้จะเรียกอย่างไร เพราะ
แท้จริงนับไปก็เป็นยายผม แต่เวลาผมนึกถึงผมมักเรียกในใจว่า คุณย่าของคุณหนู คุณหนูและเป็นตัวทำให้ผมไม่เป็นตัว จะทำอะไรคิดอะไรก็ไปเวียนวนที่คุณหนูไปหมด คุณหนูรู้ไหมถ้าผมจะทำเจ้าชู้กับคุณหนู จะถูกใจพวกพ้องผมอย่างยิ่ง ยิ่งทำให้กลายเป็นไม่ใช่คุณหนูก็จะยิ่งดีใหญ่ คุณหนูโตพอที่จะเข้าใจไหมที่ผมพูดอย่างนี้ ผมว่าคงเข้าใจนะ อย่าให้ผมต้องพูดตรงกว่านี้เลย ผมเข้าสังคมบัดซบไปแล้วเพราะคุณหนู ผมคิดถนอมคุณหนูอย่างแบบที่พ่อแม่สั่งสอน ผมอยากเห็นคุณหนูมีความสุข
อย่างที่สังคมของคุณหนูเขาอยากให้มี ผมเป็นคนใช้ไม่ได้ในสายตาของผมเอง ผมไม่จริงต่ออุดมคติของผมเอง จะว่าเพราะผมรักคุณหนูหรือ ถ้ารักจริงก็ต้องอยากเอามาเป็นเหมือนผมทุกอย่างซิ แต่นี่ทำไมผมกลับโอนไปบัดซบเหมือนเขาทั้งหลายล่ะ อ้อ คุณหนูฟังสำบัดสำนวนของผมแล้ว อย่าไปใฝ่ฝันเอาว่าเป็นภาษาของใครเขาสอนให้ผมพูด เป็นสำนวนของผมเองทั้งนั้น ผมนี่มันยังไงก็ไม่รู้ ดูจะเข้ากับขุมชนไหนก็ไม่ได้สักแห่ง ผมจึงตัดสินลาโลกได้โดยไม่ค่อยเสียดายอะไรนัก แต่ผมเขียน
จดหมายนี้ถึงคุณหนูก็เพราะคุณหนูว่าอยากให้ใครสงสาร ผมจึงต้องบอกมาว่าผมสงสารคุณหนูจริงๆ และคิดถึงคุณหนูเกือบทุกวินาที ผมสงสารคุณหนูเพราะคนอย่างคุณหนูน่ะ ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมชนิดใด ตามอุดมคติของใคร คนอย่างคุณหนู่ก็แย่ ในโลกนี้นะคุณหนู ถ้าเรายอมเขา เขาก็ไม่ยอมเราเข้าทุกที บางทีผมก็นึกจะยุคุณหนูให้ทำอะไรไม่ยอมใครเสียบ้าง แล้วผมก็โลเล ใจอ่อนไปบ้างไม่ไว้ใจคุณหนูบ้าง เพราะการไม่ยอมเขา ถ้าหากเขามีอำนาจ มันก็ต้องมีภัยอันตรายละ ผมก็เป็นห่วงไม่อยาก
ให้คุณหนูเสี่ยงอันตรายอะไรเลย อ้อ แล้วคุณหนูยังว่าผมเกลียดคุณหนู จะเป็นไปได้อย่างไร ผมตอบกับตัวผมเองว่าผมรักคุณหนูหรือเปล่าไม่ได้ แต่เกลียดน่ะไม่เกลียดแน่ ผมนึกอยากอ้อมกอดคุณหนูไว้กับผมให้นาน ๆ ให้อิ่มใจสักที ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในนี้ ผมไม่อยากอะไรเท่าอยากกอดคุณหนูเลย ผมอยากเรียกคุณหนูของผมให้คุณหนุได้ยิน คุณหนูของพี่มน ถ้าผมรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างนี้ ผมจะต้องฉวยโอกาสกอดคุณหนู จูบคุณหนู แทนที่จะไล่คุณหนูไปวันนั้น เวลานี้ผมเสียดายอยู่อย่างเดียวว่าผม
ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน คุณหนูจะได้มีคนรักที่เป็นคนแรกที่ได้คุณหนูไว้แนบกับอก แล้วถ้าเผื่อเขาถามว่าใครเคยกอดคุณหนูบ้างหรือเปล่า คุณหนูจะได้ตอบเขาอย่างเต็มปากว่าไม่เคย แล้วก็คน ๆ นั้น ผมขอให้เขารักคุณหนูด้วยใจจริง รักตัวของคุณหนูเอง ตามที่คุณหนูปรารถนา ทำไมผมเพ้อเจ้อมาถึงคุณหนู ไม่รู้ซี แต่ถ้าผมไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ ผมทำสิ่งที่ผมกะจะทำไม่ได้ อ้อ คุณหนู ถ้าคุณหนูสามารถจะทำได้ จะอย่างไรก็ตาม ถ้าให้แม่ผมแกเข้าใจว่าผมเป็นไข้ตาย หรือผิด
อาหารหรืออะไรก็ได้ คุณหนูช่วยหน่อยเถอะ สำหรับแม่ผมนะ คุณหนูเป็นเทพธิดาเลย ไม่ใช่ผู้ใช่คนละ เพื่อแม่ผม ผมไม่อยากให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงในสังคมจนกว่าแกจะตายไปเสียก่อน ดูซิ ผมจะอยู่ไปอย่างไรได้ ผมมันโลเลสารพัด ผมไม่ควรได้รับความไว้วางใจจากใครเลย แต่คุณหนูต้องไว้วางใจผมอย่างหนึ่ง ผมพูดจริง ๆ นะ ที่ผมว่าผมคิดถึงคุณหนูเกือบทุกลมหายใจ และผมก็จะไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะโอกาสจะโลเลในเรื่องนี้ก็จะไม่มีแล้ว
ลานะ คุณหนูของผม คุณหนูของพี่มน คุณหนูผู้ซึ่งพี่มนจะไม่โลเลด้วยในความคิดถึงจนลมหายใจอันสุดท้าย ลาก่อน
สุมน
พอเปรมวดีอ่านจบ แผ่นกระดาษนั้นก็ปลิวจากมือเปรมวดีไปอยู่บนพรมปูพื้น ตัวของเปรมวดีเอนเอียงไปตามกระดาษม้วนลงมาเกือบจะตกจากเก้าอี้ หากแต่บิดาของหล่อนประคองตัวไว้ทัน เปรมวดีหมดสติ หน้าเขียว ตัวเขียวไปทั่ว จรูญศักดิ์ควักยาด
มออกจากกระเป๋าราวกับว่าได้เตรียมมาพร้อม เขาเข้าทำปฐมพยาบาล เมื่อจับชีพจรรู้สึกว่ายังเดินอยู่เบา ๆ เขาก็พยักหน้ากับบิดาของสาวน้อยกล่าวว่า “เห็นจะต้องเอาไปนอนเสียก่อน” เอกชาติตรงเข้าช้อนร่างของบุตรี พรรณวดีเข้าช่วยยกตอนล่างของร่าง ทั้งสองจึงไม่มีโอกาสได้เห็นลักษณะอักษรในแผ่นกระดาษชิ้นที่ทำให้เปรมวด
หมดสติได้ เพราะจรูญศักดิ์ได้เข้าไปหยิบแล้วเก็บใส่กระเป๋าตามเดิม เขายืนรออยู่ในห้องรับแขกคนเดียวประมาณ ๕ นาที ยังไม่เห็นเจ้าของบ้านกลับมา เขาก้มหน้าลงตรึกตรองอะไรอยู่สักครู่ แล้วก็สั่นหน้าพึมพำกับตัวเอง “คงไม่ได้เรื่องอะไร” แล้วก็เดินออกมาที่หน้าบันไดตึก พบกับคนใช้คนหนึ่งเดินมา เขาจึงเรียกมาสั่งว่าให้บอกลาเจ้าของบ้าน เพราะจะต้องรีบไปธุระที่อื่น แล้วก็เดินออกจากเขตคฤหาสน์อันใหญ่งามนั้นไป
ทั้งที่บิดามารดาได้รับนายแพทย์มาให้การรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุดภายในเวลาเร็วที่สุด รุ่งขึ้นเช้าเปรมวดีก็ยังไม่ได้สติ มีแต่ไข้ขึ้นสูง นอนซมเอาศีรษะซบอยู่กับหมอน ไม่มีผู้ใดทำให้เปรมวดีรับอาหารได้มากกว่าหนึ่งหรือสองช้อน ถ้าเป็นอาหารที่ต้อง
เคี้ยว เปรมวดีก็อ้าปากรับไว้แล้วก็อมนิ่งอยู่ จนมีคนบอกให้คายออกมา ถ้าเป็นอาหารน้ำ เปรมวดีกลืนได้สักสองคำที่มีผู้ป้อนแล้วก็นิ่งหลับตา ไม่อ้าปากขึ้นรับอีก พรรณวดีจึงให้นายสิทธิ์ไปรับคุณย่าและบริวารกลับกรุงเทพฯทั้งหมด โดยแจ้งไปว่าเปรมวดีไม่สบายมาก และหมอยังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร
การที่ทางการตำรวจเข้าเกี่ยวข้องกับชีวิตคนในคฤหาสน์ของคุณหญิงนาฏ ย่าของเปรมวดีนี้ บังเอิญเป็นพฤติการณ์ที่ทางราชการไม่ปรารถนาให้เป็นข่าวเกรียวกราว จึงไม่มีเรื่องลงหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นญาติมิตรของตระกูลนี้ จึงได้ทราบแต่เพียงว่าพรรณวดีมีเรื่องยุ่งยากเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติบางชิ้นซึ่งก็ไม่มีอะไรเป็นที่น่าวิตก และข่าวไข้ของเปรมวดีก็แพร่ไปแต่ว่าไม่สบายมาก อาจเป็นปอดบวมหรือโรคหัวใจ แต่จะเป็นด้วยเทพยดาดลใจหรืออย่างไร หลังจากที่เปรมวดีล้มเจ็บได้สามวัน ครูสุวรรณ
มีธุระกับมิตรคนหนึ่งอยู่ในซอยถัดจากที่บ้านของเปรมวดี ขากลับขึ้นรถประจำทางแล่นผ่านซอยของเปรมวดี ครูสุวรรณเกิดมีความระลึกถึงศิษย์คนโปรดขึ้นมาอย่างมาก ตามปรกติครูสุวรรณไม่มาที่บ้านพรรณวดีเลย ทั้งที่เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเมื่อสมัยเป็นนักเรียน แต่ในวันนั้นครูสุวรรณเกิดตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมเปรมวดี พอเดินเข้าเขตคฤหาสน์ก็พบสายหยุดกำลังจะเดินออกจากบ้าน สายหยุดรู้ดีว่าครูสุวรรณไม่ใช่บุคคลที่พรรณวดีสนใจคบค้าสนิทสนม ก็รีบบอกให้ทราบว่า พรรณวดีมีธุระยุ่ง แต่ครู่
สุวรรณถามถึงเปรมวดี สายหยุดอึกอักอยู่คู่หนึ่งจึงบอกว่าเปรมวดีไม่สบายและหมอไม่อยากให้ใครรบกวน ครูสุวรรณไม่แยแสต่อทีท่าของสายหยุด เดินตรงขึ้นตึกไป เข้าไปยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องโถงอันใหญ่กว้าง แล้วก็ตัดสินใจขึ้นบันไดไปชั้นบน ไม่แลเห็นใครอยู่บนตึกชั้นบนเลย ยืนเคว้งคว้างอีกครู่ใหญ่จนมีสาวใช้เดินมาตามระเบียง ครูสุวรรณถามว่าห้องของเปรมวดีอยู่ไหน เมื่อสาวใช้ชี้ห้องให้ด้วยความที่ไม่เคยคิดจะระวังอะไร ครูสุวรรณก็เปิดประตูห้องนอนของเปรมวดีเข้าไปดื้อ ๆ
เปรมวดีนอนซมอยู่บนเตียงซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง จันทรนั่งอยู่บนพื้นห้องก้มหน้าอ่านหนังสือที่วางอยู่บนกระดานอันขัดเป็นมันสะอาดเอี่ยม ญาติผู้พยาบาลเปรมวดีเงยหน้าขึ้นแล้วอุทาน เพราะหล่อนไม่รู้จักครูสุวรรณ “นั่นจะไปไหน จะหาใคร”
ครูสุวรรณใจหายวาบ แต่แข็งใจตอบ “ดิฉันมาเยี่ยมเปรมวดี ดิฉันเป็นครูของเปรมวดี” แล้วตัดสินใจอย่างไม่รั้งรอตรงเข้าไปทรุดตัวลงตรงหน้าของเปรมวดี ซึ่งเวลานั้นหันหน้าไปจากทิศที่ครูสุวรรณเข้ามา เอามือลูบแขนเปรมวดีเบา ๆ พลางกระซิบเรียก “เปรม เปรม ครูมาหา ครูสุวรรณ”
เปรมวดีเบิกตาขึ้น สีหน้าไม่แสดงว่ามีความสำนึกในเรื่องใด ครูสุวรรณกล่าวเบาๆ ต่อไป “เปรมเป็นอะไรไป จำครูไม่ได้หรือ ครูสุวรรณ”
ทันใดนั้น ดวงตาเปรมวดีก็มีแสงแห่งความเข้าใจเกิดขึ้นทันที ประหนึ่งว่าหล่อนรอคอยคนใดคนหนึ่ง เช่นครูสุวรรณอยู่ เปรมวดีสะอื้นออกมาอย่างแรงพลางเรียก “ครูขา ครูมารึคะ” แล้วก็ดึงมือครูมาประทับไว้กับอก แล้วก็สะอึกสะอื้น หลั่งน้ำตาอย่างที่หล่อนไม่เคยหลั่งมาเลยเป็นเวลาหลายปี
“เปรมเป็นอะไรไป” ครูสุวรรณถามพลางลูบไล้ตามแขนและศีรษะของศิษย์ “เจ็บมากเทียวรึ ทำไมต้องร้องไห้ด้วย บอกครูซิ”
“เปรมอยากตาย” เปรมวดีสะอื้นตอบ “เปรมอยากตายค่ะ ครูขา”
“ตายจริง เป็นอะไรไปนี่” ครูสุวรรณหันไปหาจันทรอย่างขอคำอธิบาย แต่จันทรก็ได้แต่นั่งตะลึงฟังหลานสาวและแขกแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาให้รู้จัก “เปรมเป็นอะไรไป คนฉลาดอย่างเปรมทำไมคิดอะไรอย่างนี้ล่ะ”
เปรมวดีสะอื้นต่อไปจนกระทั่งความรู้สึกที่เครียดมานานผ่อนคลายลงไปบ้าง เสียงสะอื้นค่อย ๆ เบาลง ครูสุวรรณปลอบถามอีก
“เปรม เปรมบอกครูได้ไหมรู้สึกเป็นอย่างไร” จับดูตามร่างกายของศิษย์พลางรำพึงดัง ๆ “ตัวร้อนจัด เป็นโรคอะไรนี่”
เปรมวดีมีสติพอที่จะดึงตัวครูสุวรรณขึ้นไปนั่งบนเตียงใกล้ตัวหล่อน แล้วก็ยกศีรษะจากหมอนมาซบอยู่ที่ตักครูแล้ววอน “ครูอย่าไปไหนนะคะ ครูอยู่กับเปรม อย่าทิ้งเปรมไปนะคะ”
ครูสุวรรณประคองตัวศิษย์ไว้กับอก จันทรเห็นได้โอกาสว่ามีคนทำให้เปรมวดีมีสติขึ้นมาได้ จึงคลานเข้ามาใกล้ “คุณให้รับประทานยาได้ไหมคะ ไม่ยอมกินเลยค่ะ”
ครูสุวรรณพยักหน้า “เปรมกินยาเสียก่อนซิครูจะได้อยู่ด้วยได้ ไม่กินยาตัวก็ร้อนเป็นไฟ ครูก็อยู่ไม่ได้ซิ”
จันทรรินยาใส่ถ้วยมาโดยเร็ว ครูสุวรรณเอารอที่ริมฝีปากของเปรมวดี เปรมวดีค่อย ๆ จิบยาจนเกือบหมดถ้วย แล้วก็หุบปากนิ่งเสียเหมือนหมดแรงที่จะอ้าต่อไป แล้วนัยน์ตาก็ค่อยหรี่ลง แล้วหายใจเป็นจังหวะยาวขึ้น ๆ แสดงว่าได้หลับไป เมื่อเห็นว่าคนไข้หลับแล้ว ไม่ใช่หมดสติ ครูสุวรรณก็ค่อย ๆ ประคองศีรษะไปวางไว้บนหมอน มองหาจันทรไม่เห็นอยู่ในห้องแล้ว นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็เปิดประตูออกมาจากห้อง เห็น
พรรณวดีเดินมาจากอีกด้านหนึ่งของตึก มีจันทรเดินตามมาข้างหลังแสดงว่าจันทรได้ไปรายงานอาการของคนไข้ให้มารดาทราบ พรรณวดีกับครูสุวรรณเดินเข้าไปหากัน พรรณวดีขยับจะกล่าวอะไร แต่ครูสุวรรณถามขึ้นก่อน “พรรณวดี เปรมเป็นอะไรไป ทำไมแกเพ้อหรืออะไร ใครรักษา”
“เพ้อว่ายังไง” มารดาของเปรมวดีถามเสียงแข็ง
ครูสุวรรณลดเสียงลง “แกเพ้อว่าอยากตายแล้วบอกว่าอย่าให้ฉันทิ้งแกไปไหน”
พรรณวดีหยุดยืนตัวแข็ง “แล้วเวลานี้เป็นยังไงใครอยู่ด้วย ทำไมทิ้งออกมาเสียล่ะ”
เมื่อพรรณวดีไปทำความแน่ใจว่าคนไข้หลับอยู่แล้ว ก็ออกมานอกห้อง เห็นครูสุวรรณยังยืนเก้กังอยู่ในห้องโถงจึงบอกว่า “นั่งลงซิ”
สองหญิงนั่งลงบนเก้าอึ้ ต่างนิ่งกันไปพักหนึ่ง พรรณวดีนังชูคอตามเคย แสดงกิริยาว่าไม่มีความกลัวเกรงในสิ่งใด ครูสุวรรณรู้ได้ด้วยเชาวน์ว่าโรคของเปรมวดีไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บอย่างธรรมดา แต่ก็ไม่รู้จะว่ากล่าวแก่มารดาของเปรมวดีอย่างไร จึงจะไม่ฟังเป็นการตำหนิติเตียน แต่ในที่สุดก็ต้องพูดขึ้น
“เปรมวดีแกมีความเดือดร้อนเรื่องอะไร ทำไมถึงร้องไห้ร้องห่ม ไม่ใช่อาการโรคอย่างธรรมดา”
พรรณวดีชูคอสูงขึ้นอีก มองออกไปนอกตึก ในที่สุดก็พูดขึ้น “ฉันมันคนมีกรรม มีลูกก็ไม่เหมือนคนอื่นเขา”
“แกเป็นทุกข์เรื่องอะไร” ครูสุวรรณคงยืนคำถามเดิม
“เหลือที่จะรู้” พรรณวดีตอบ “ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นทุกข์เรื่องอะไร”
ครูสุวรรณถอนใจใหญ่ ถ้าเป็นผู้ปกครองนักเรียนคนอื่น หล่อนก็คงลองเลียบเคียงถามพอให้ได้ข้อเท็จจริงบางประการ แต่ครูสุวรรณรู้จักพรรณวดีเกินไป รู้ว่าหล่อนจะไม่ได้รับคำตอบตามที่ปรารถนา เลยกล่าวว่า “พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่นะ”
พรรณวดีตอบเฉย ๆ ว่า “เชิญซี ฉันจะไปห้ามเธอได้รึ”
ครูสุวรรณลาจากพรรณวดีไป เดินตามถนนซอยออกไปสู่ถนนใหญ่เพื่อจับรถประจำทาง แต่พอไปถึงถนนใหญ่หล่อนก็ตัดสินใจเด็ดขาด เรียกแท็กซี่มาคันหนึ่ง บอกให้ขับไปยังบ้านของเอกชาติบิดาของเปรมวดี
เอกชาติได้เคยรู้จักครูสุวรรณทั้งในฐานะเพื่อนของพรรณวดีและในฐานะครูของเปรมวดี แต่ไม่เคยได้วิสาสะกันสนิทสนมนัก ครูสุวรรณจึงรู้สึกประหม่ามากเมื่อพบกับเขาในห้องรับแขกของบ้านน้อยที่เขามาอยู่กับภรรยาใหม่ แต่หล่อนได้ตัดสินใจแน่นอนมาแล้ว จึงเมื่อได้ปฏิสันถารกันตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว หล่อนก็เล่าเหตุการณ์ที่ประสบให้เขาฟังทีเดียว
เอกชาติเล่าเรื่องที่เกิดมาแล้วเท่าที่เขารู้ให้ครูสุวรรณฟังอย่างไว้วางใจ “ผมไม่รู้จะปรึกษาใคร คุณครูมาก็ดีแล้ว ผมจะได้ปรึกษาคุณครู ลูกคนนี้กับผมเกือบไม่รู้จักกัน ผมพยายามทำดีที่สุด คือพยายามไม่ให้แกตกใจมากเกินไป คิดจะถามเองก่อนพบตำรวจว่าแกมีความสัมพันธ์กับนายสุมนอย่างไร แต่ก็ไม่ทันได้ถาม เพราะตำรวจเขาร้อนใจ เขาอยากถามอยากจับพิรุธเอาเอง ตามเรื่องเขาก็จะต้องไปสอบปากคำจาก
เปรมเอง เขาจะไปรับตัวมาเองจากหัวหิน แต่ผมอ้อนวอนและให้คำมั่นสัญญาแก่รองผู้บังคับการเขา เป็นเพื่อนกัน ว่าผมจะไปรับมาเอง และจะไม่เสี้ยมสอนอะไรทั้งสิ้น เขาก็เชื่อผม ผมเองก็ไม่รู้จะถามลูกว่าอย่างไร พูดกับพรรณวดีไม่ได้เรื่องอะไรเลย เขาบอกว่าเขาไม่เคยให้ติดต่อกันเลย ทำไมใครมาสงสัยลูกเขาว่ารักกับเด็กในบ้าน พูดกับตำรวจราวกับเขาเป็นบ่าวมาตั้งชั่วพ่อชั่วแม่ ตามลักษณะของเขาแหละครับ ไม่
ได้ใช้ถ้อยคำหยาบคาย แต่ความดูถูกคนมันฉายแสงกราดไปหมด ถ้าไม่ใช่นายจรูญศักดิ์เป็นเจ้าของเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะเดือดร้อนกันไปกี่คน ผมก็เป็นห่วงคุณแม่ ไม่อยากให้ท่านตกอกตกใจโดยไม่จำเป็น แต่เหตุมันก็เกิดในบ้านท่าน ท่านเป็นเจ้าของบ้าน ท่านก็ต้องรับผิดชอบด้วย ผมวิ่งชี้แจงกับตำรวจเสียเกือบตาย ให้เขาเข้าใจว่าคุณแม่คงจะช่วยอะไรไม่ได้ ท่านคงไม่รู้เรื่องอะไรเลยเป็นแน่ ใครเข้าบ้านออกบ้านท่านจะไปรู้ได้อย่างไร คนไม่ใช่สองสามคนในบ้านท่าน”
“แล้วเขาก็เลยไม่รบกวนท่านใช่ไหมคะ แล้วเขาจะเอาอะไรกับเปรมคะ เขาถึงเอาตัวแกมาซักถาม”
“คือเขาไม่เชื่อพรรณวดีครับ ที่พรรณวดีบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เขาก็ไม่ได้บอกเราเสียด้วยว่าเขามีจดหมายฉบับนั้นอยู่ในมือ ผมก็เห็นใจเขา เขาต้องทำหน้าที่ของเขา ถ้าเขาบอกอะไร ๆ แก่เราหมด เขาก็เอาความจริงไม่ได้”
“แล้วท่านได้เห็นจดหมายฉบับนั้นไหมคะ” ครูสุวรรณถาม
“ผมได้เห็นในที่สุด ผมไปอ้อนวอนจนเขาให้ดู ตอนนี้เขาบอกว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องแล้ว ที่เขาอยากรู้นั้นใครไปหาสุมนบ้าง เพื่อนคนไหน แต่เปรมมาเจ็บลงอย่างนี้ก็เลยไม่เป็นประโยชน์อะไรสำหรับเขา จดหมายนั้นเขาก็ว่าเห็นจะไม่ให้ประโยชน์อะไรนัก แต่เขาก็ต้องเก็บไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นเอง”
“จดหมายว่าอย่างไรคะ” ครูสุวรรณถามต่อไป เพราะเห็นเอกชาติกำลังมีอารมณ์ที่จะเล่า
“ผมอ่านแล้วก็งงไปหมดครับ เห็นจะเข้าใจกันระหว่างเปรมกับนายสุมนเท่านั้น” เอกชาติตอบ “แต่ก็ไม่ใช่คู่รักกัน แต่ดูเหมือนเขาเคยพูดแลกเปลี่ยนทรรศนะอะไรกัน พอยายเปรมอ่านจบแกก็เป็นลมม้วนลงไปทันที”
ครูสุวรรณนิ่งตรึกตรองอยู่หลายวินาที คิดทบทวนไปมาว่าที่หล่อนจะกล่าวต่อไปนี้จะสมควรกล่าวหรือไม่ แล้วก็ตัดสินว่าคนที่จะช่วยศิษย์มีคนเดียวคือบิดาของเด็กเอง เพราะมารดาของเด็กครูสุวรรณก็รู้จักเต็มอกเสียแล้ว จึงกล่าวว่า
“ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับนายสุมนเท่าที่เล่ามา ดิฉันว่าวันเวลาล่วงไป ก็คงจะค่อย ๆ จางไป ๆ แต่ดิฉันกลัวว่า ที่เปรมวดีว่าอยากตายนั้น มันไม่ใช่เรื่องนายสุมน มันจะมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น เพราะถ้าแกไม่ได้รักกับสุมน แกจะอยากตายเพราะสุมนเชียวรึ แล้วทำไมร้องขอให้ดิฉันอยู่ด้วย ไม่ให้ทิ้งแกไปไหน ตามธรรมดา เด็กไม่เรียกร้องขออย่างนี้จากครูหรอกค่ะ นอกเสียจากว่าแกรู้สึกว่าคนสำคัญ ๆ ในชีวิตของแกทอดทิ้งแก เช่นพ่อแม่”
เอกชาติทำหน้าเศร้า “ผมน่ะเห็นจะต้องรับผิดเต็มที่กระมังในเรื่องนี้” เขาพูดเสียงเรียบ ๆ “แต่เมื่อคุณมาหาผมและผมเชื่อในความสุจริตใจของคุณ ทั้งกำลังต้องการความช่วยเหลือ ผมก็อยากจะขอความช่วยเหลือคุณ ถ้าคุณทำได้ ผมอยากให้คุณทำให้เปรมเชื่อว่าผมรักแกเป็นห่วงแก ผมได้พยายามที่จะสนิทสนมกับแก แต่พรรณวดีไม่ให้โอกาสเลย ผมจะทำอะไรหักหาญกับพรรณวดีก็ไม่ได้ เพราะติดที่คุณแม่”
“ดิฉันขอทราบเรื่องราวของท่านสักหน่อยจะได้ไหม” ครูสุวรรณพูดอย่างเกรงใจแต่ไม่เกรงกลัวตำแหน่งหน้าที่ราชการสูงของเอกชาติ “ขอทราบแต่เพียงเตรียมพร้อมสำหรับอธิบายเผื่อถูกเด็กเถียง เพราะแกอาจรำพันว่า ไม่มีใครเห็นความสำคัญอะไรของแกทำนองนั้นก็ได้ ตามธรรมดาของเด็กวัยนี้”
“คุณเป็นคนรู้จักกับพรรณวดีดี” เอกชาติว่า “คุณพอจะเดาได้ไหมว่าทำไมผมถึงทิ้งเขามา”
ครูสุวรรณตั้งใจจะทำให้บิดาของเปรมวดีสะดวกใจในการที่จะปรึกษาเรื่องของเปรมวดีกับหล่อน จึงกล่าวว่า “เมื่อคุณเลิกกับพรรณวดี ดิฉันได้ฟังเรื่องร้อยแปด แต่ดิฉันเดาเอาว่า คุณก็คงหลงเสน่ห์พรรณวดีเหมือนคนทั่วไป แต่พออยู่ไปนิสัยก็คงไม่เหมาะกันก็เลยแตกกัน แต่ว่าจะมีเรื่องอะไรยังไงดิฉันก็ไม่ทราบ พรรณวดีเขาชอบว่าเสมอ ว่าคนอย่างดิฉันไม่รู้อะไรหรอกในเรื่องชีวิต เพราะแก่อยู่กับโรงเรียน”
เอกชาติยิ้มออกมานิดหนึ่ง ทำให้ครูสุวรรณสังเกตว่า เขากับศิษย์รักของหล่อนเหมือนกันไม่น้อยเลย
“พรรณวดีเขาก็ชอบอ้างว่าผมเจ้าชู้” เขาว่า “ก็อาจเป็นจริงก็ได้ แต่ผมเคยมาคิดทวนดูหลายหนเวลาที่สังเกตว่าเปรมแกดูหงอย ๆ จ๋อย ๆ ผมคิดว่าผมได้กับบังอรก็เพราะไม่มีทางจะไปรักใครที่ไหนได้อีก ผมหลงเสน่ห์พรรณวดีจริง แต่พออยู่กันไปก็ผิดหวังเข้าทุกที ๆ พรรณวดีไม่ยอมให้ใครดีกว่าตัวเลย หรือแม้แต่ดีเท่าตัวก็ไม่ได้ พรรณวดีคบกับใครก็เพราะประโยชน์ในทางที่จะทำให้ตัวเด่นขึ้นเท่านั้น และเขาพยายามทำให้ผมเห็นเด่นชัดว่าเขาจะไม่ยอมให้ผมทำให้เขาเด่นน้อยลงเลย เพราะ
ยังงั้นจะเห็นว่า พรรณวดีไม่ทำตัวให้ใครสงสารว่าผัวทิ้งเลย เขาพยายามให้ทุกคนเห็นว่าผมทิ้งเขาเพราะผมเจ้าชู้อย่างแก้ไม่ได้ การที่ผมเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาในราชการ และการที่ผมอยู่กับครอบครัวใหม่ได้เรียบร้อย เป็นเรื่องที่พรรณวดีไม่อยากให้เป็นไปเลย จึงไม่ยอมที่จะให้ผมเข้าใกล้เปรมเป็นอันขาด แต่คราวนี้มีเรื่องกับตำรวจ จำเป็นต้องให้ผมเข้ามีส่วนด้วย แต่ผมก็ไม่มีความหมายสำหรับเปรมเลย ผมพยายามไปเยี่ยมแกทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร ถ้าคุณทำให้เปรมมมีสติขึ้นมาได้ ผมก็จะยินดีที่สุด”
“ถ้าเปรมจะค่อยยังชั่วขึ้น” ครูสุวรรณกล่าว “ท่านเห็นทางอย่างไรที่จะทำให้ชีวิตแกสดใสได้ไหม ให้แกได้เปลี่ยนชีวิตทางใดทางหนึ่ง ดิฉันใจหายยังไงก็ไม่ทราบ จะกลัวเกินเหตุหรือยังไงก็ไม่รู้ได้”
เอกชาติก้มหน้าตรึกตรองอยู่สักครู่แล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ถ้าผมทำให้แกสามารถไปเมืองนอกได้ คุณจะช่วยพูดกับเปรมให้แกยอมไปได้ไหม”
“ดิฉันจะพยายาม แต่จะให้รับรองอะไรก็ไม่ได้” ครูสุวรรณตอบ
วันรุ่งขึ้น ครูสุวรรณก็ไปเยี่ยมเปรมวดีในเวลาเช้า เอกชาติก็ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะได้นัดแนะกันไว้แล้ว ครูสุวรรณเดินตรงขึ้นไปถึงห้องเปรมวดี โดยไม่รอให้ใครบอกหรือกีดกัน เปรมวดีนอนลืมตา แต่มีแววเซื่องซึมไม่แลเห็นอะไร ครูสุวรรณตรงเข้าไปนั่งบนเตียงข้างตัวศิษย์ เอามือลูบไล้ไปมาแล้วก็พูดเบา ๆ
“เปรม ครูมาหาเปรมอีกแล้วยังไง วันนี้เป็นยังไงบ้าง”
ด้วยธรรมขาติของมนุษย์ที่อยู่ในวัยแห่งความเจริญเติบโต ไม่ใช่อยู่ในวัยที่จะเสื่อมโทรม เสียงของครูสุวรรณสำหรับเปรมวดี เปรียบได้กับน้ำฝนอันชะต้องพืชที่เหี่ยวแห้ง เพราะความแผดเผาของดวงอาทิตย์ เปรมวดีมีแววตาแสดงความสนใจขึ้นมาทันที ความสุขของเปรมวดีตลอด ๘ ปีที่แล้วมา คือการไปอยู่โรงเรียน ดังนั้นอะไรหรือคนใดมาจากโรงเรียน ย่อมเรียกให้หล่อนรำลึกถึงความสุขอันเคยได้รับ เปรมวดีช้อนตาขึ้นดูหน้าครูสุวรรณ แล้วก็เอื้อมมือมาดึงมือครูสุวรรณไปกุมไว้
สายหยุดเข้ามารับเวรพยาบาลแทนจันทร เมื่อเห็นครูสุวรรณอยู่ในอาการสนิทสนมกับศิษย์ ก็ฉวยโอกาสขอให้ช่วยให้ยา ครูสุวรรณอยู่พยาบาลเปรมวดีตลอดเช้า ส่วนบิดาของเปรมวดี เมื่อไต่ถามถึงอาการของบุตรีพอสมควร ทราบถึงความสำเร็จขั้นแรกของครูสุวรรณแล้วก็ลากลับไป
ครูสุวรรณไปพยาบาลเปรมวดีอยู่สามวัน ไข้ของเปรมวดีค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ หล่อนต้องอดทนที่สุดเมื่อพบกับพรรณวดี เพราะพรรณวดีไม่ได้พยายามซ่อนเร้นความรู้สึกหมั่นไส้ครูสุวรรณเลย ครูสุวรรณนึกในใจว่า “เอาละ เอากันที เผื่อจะช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ แม่เขาจะทำท่าคอแข็งยังไงก็ยอม อย่างน้อยพ่อเขาก็ดูเข้าใจดี ว่าเราไม่ได้บ้าผิดมนุษย์มนาอะไรหนักหนา อย่างน้อยเจ้าหล่อนเพื่อนร่วมชั้นคนสวยคนเด่นก็ต้องรักษามรรยาทผู้ดี อย่างน้อยแกก็ต้องเรียกเรากินของว่าง”
ไข้ของเปรมวดีค่อยๆ ลดลง จนกระทั่งปรอทปรกติ ถึงแม้สีหน้าและกิริยายังเชื่องซึมอยู่ แต่ก็ยังมีเวลายิ้มบ้างเป็นครั้งคราว และมรรยาผู้ดีของเปรมวดีก็กลับมาพอที่จะให้เปรมวดีไม่หันหน้าหนีสายหยุดและจันทร เวลาที่อาผู้ภักดีนำอาหารหรือรินยาให้รับ
ประทาน แต่เปรมวดีจะพูดจะตอบเป็นคำพูดเฉพาะแต่กับครูสุวรรณเท่านั้น เมื่อคุณย่าเข้ามาเยี่ยม เปรมวดีมีสติพอที่ยกมือขึ้นพนมไหว้ท่าน แต่ไม่ยอมตอบคำถามอันแสดงความห่วงใยทั้งสิ้น ถ้ามารดาเข้ามาถามอาการ เปรมวดีหลับตานิ่งหรือทำปากหมุบหมิบเป็นทีว่าได้ตอบแล้ว เหมือนคนหมดแรงไม่สามารถทำอะไรยิ่งไปกว่านั้นได้
ในวันที่แปดนับจากวันที่เปรมวดีล้มเจ็บ และเมื่อได้รับฟังรายงานอาการทั้งหมดจากครูสุวรรณ เอกชาติผู้ซึ่งมาฟังอาการบุตรีทุกวัน แต่เข้าไปเยี่ยมแต่พอให้เปรมวดีรู้ว่าพ่อมาเยี่ยม โดยเขาไม่รบกวนให้ตอบให้พูดอะไรเลย ก็เข้าไปหามารดาของเขา และเรียนว่าเขาปรารถนาจะพูดธุระเฉพาะกับท่าน
เมื่อไต่ถามทุกข์สุขกันตามธรรมเนียมแล้ว เอกชาติก็เริ่มเรื่องที่เขาตั้งใจจะพูด
“คุณแม่ครับ คุณแม่ทราบอาการของเปรมทั้งหมดหรือเปล่าครับ”
สีหน้าของคุณหญิงนาฏหม่นหมอง ญาติมิตรที่มีวิจารณญาณย่อมเล็งรู้ได้อย่างดีว่าท่านสลดใจในความแตกร้าวระหว่างบุตรชายคนเดียวกับหลานสาวสุดที่รักอย่างไร แต่คนที่ไม่นิยมจะเพ่งเล็งในสิ่งใดย่อมจะมองไม่เห็นเลยว่าท่านมีความรู้สึกอย่างใด เพราะท่านไม่ทำความรำคาญให้แก่ใครด้วยการบ่นรำพัน มีแต่ชื่นชมความเป็นผู้ดีอ่อนหวานของท่านเท่านั้น เมื่อถูกลูกชายถามเอาตรง ๆ ดังกล่าว ท่านก็เตรียมใจว่าจะต้องทนฟังสิ่งที่ท่านเกลียดกลัวที่จะฟังเป็นแน่ และตอบเขาอย่างสงบเสงี่ยมว่า “ก็รู้เท่าที่แม่พรรณเล่า”
“เขาเล่าให้คุณแม่ฟังหรือเปล่าว่าเปรมไม่ยอมพูดกับใครนอกจากครูของแก”
“ก็เล่าเหมือนกัน” ท่านตอบสั้น ๆ
“คุณแม่ครับ” เอกชาติเริ่มกล่าวสิ่งที่เขาตั้งใจมาเจรจากับมารดา “ผมไม่เคยขออะไรคุณแม่ให้แก่ตัวผมเลย แต่คราวนี้ผมขอให้เปรม ผมขอให้คุณแม่ส่งเปรมไปเมืองนอก ถ้าแกยอมไป”
“แม่พรรณเขาก็เตรียมไว้ว่าจะให้ไปเหมือนกัน” คุณหญิงมารดาว่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ผมขอกราบคุณแม่ คราวนี้ผมขอให้คุณแม่ไม่ต้องฟังพรรณวดีจะว่าอย่างไร ถ้าเปรมจะไป ผมให้คุณแม่ออกคำขาดว่าให้แกไป” เอกชาติว่า “คุณแม่ครับ สำหรับตัวผม ผมขอรับผิดว่าผมทำให้คุณแม่เดือดร้อนใจมาก และผมเห็นว่าคุณแม่ได้ตัดสินถูกตลอดมา ผมไม่เคยน้อยใจเลยที่ผมต้องจากบ้านคุณแม่ไป ทั้งที่เดิมทีเดียวมันก็เป็นบ้านของคุณพ่อด้วย แต่ผมก็เห็นว่าผมมีส่วนผิด เพราะการที่ผมแต่งงานกับพรรณวดี
นั้น ไม่มีใครกะเกณฑ์ ผมทำโดยสมัครใจของผมเอง แต่คุณแม่คงทราบดีว่าใครอยู่กับพรรณวดีก็ไม่มีความสุข ถึงคุณแม่ก็ไม่มีความสุขเต็มที่อย่างที่คุณแม่ควรจะมี เพราะคนที่ต้องการเด่นอยู่เสมอตลอดวันตลอดปีไม่สามารถจะหาความสุขได้ และคนที่ไม่มีความสุขไม่อาจทำให้คนที่อยู่ด้วยเป็นสุขได้ เราทุกคนต้องรับผิดชอบกับการที่เปรมไม่ใช่เด็กมีความสุข” เขากล่าวตอนนี้โดยพยายามทำเสียงให้ละมุน
ละม่อมที่สุด เพราะไม่อยากให้มารดาได้รับความกระทบกระเทือนใจเกินกว่าจำเป็น “เปรมเป็นเด็กรักเรียน ถ้าได้เรียนก็จะมีความสุข และเรายังมีบุญพอที่มีเงินทองพอที่จะให้แกหาความสุขได้ เด็กหน้าตาอย่างเปรมไม่จำเป็นต้องรีบหาสามีหรอกครับ แกคงหาได้วันหนึ่งในเมื่อแกสนใจที่จะหา ผมก็ไม่ได้ขออะไรมาก ทรัพย์สมบัติอะไร ผมจะไม่รบกวนคุณแม่เลย แต่ผมขออย่างเดียวว่า ถ้าแกยินดีจะไปเรียน ผมขอกราบเท้าคุณแม่ ขอให้ช่วยให้แกไปให้ได้”
คุณหญิงนาฏถอนใจเบา ๆ “แม่มองไปฟังไปแล้วก็งงไปหมด อะไร ๆ มันไม่เหมือนที่แม่เคยเชื่อเคยคิดเลยสักอย่างเดียว” ท่านรำพัน “แต่พ่อเอกพูดมาแม่ก็พอเข้าใจได้ลาง ๆ ถ้าแม่เปรมอยากไปเมืองนอกแม่ก็จะช่วยให้ไป” ท่านสัญญา ซึ่งเอกชาติรู้ว่าจะไม่มีอะไรในโลกนี้ทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงคำมั่นของท่านได้
เมื่อได้รับความมั่นใจทางมารดาแล้ว เอกชาติจึงแจ้งข่าวให้ครูสุวรรณทราบ พอมาถึงตอนนี้ ตอนที่จะเล้าโลมให้ศิษย์สาวน้อยตัดสินใจไปจากบ้าน ครูสุวรรณก็หมดปัญญา คงได้แต่รอให้เปรมวดีแข็งแรงขึ้นเสียก่อน เปรมวดีค่อยๆ มีแรงขึ้นทีละน้อยๆ จนลุกขึ้นนั่งเล่นบนเตียงได้บ้างแล้ว แต่ทุกคราวที่ครูสุวรรณมาเยี่ยม พอครูจะลากลับ เปรมวดีก็จะถามว่า “ครูขา แล้วพรุ่งนี้ครูจะมาไหม” จนกระทั่งวันหนึ่งที่เปรม
วดีมีแรงขึ้นมาก นัยน์ตาแจ่มใสเกือบเป็นคนสุขภาพดีแล้ว พอครูสุวรรณกำลังคิดยินดีว่าเปรมวดีจะหายไข้ ก็สังเกตสีหน้าของสาวน้อยว่า กลับเหมือนก่อนที่จะล้มเจ็บ คือพอครูสุวรรณบอกลาเปรมวดีก็ทำสีหน้าสงบเสงี่ยม มีทีท่าอาการเดิมของเปรมวดี คือไม่อยากรบกวนผู้ใดเกินกว่าความจำเป็นจริงๆ ยกมือไหว้แล้วไม่ขอร้องให้มาอีก เหมือนอย่างที่เคยทำในระหว่างที่เป็นคนเจ็บมาก มีสติไม่เป็นปกติ ขาดการบังคับตนตามนิสัยของเปรมวดีเอง
ครูสุวรรณใจหายวาบทันทีที่เห็นสีหน้านั้น นึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเจรจาให้เปรมวดีไปจากบ้านตามแผนการที่ตนกะไว้ แต่ก็ยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จนกระทั่งกลับมาบ้าน เห็นประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ถึงวันสอบคัดเลือกเข้าเรียนในชั้นอุดมศึกษาของสถาบันอื่นๆ จึงคิดขึ้นได้ว่าจะต้องใช้กรุแก้วเป็นเครื่องมือ
ครูสุวรรณส่งจดหมายไปถึงกรุแก้วและลินดาที่สถานกวดวิชา บอกให้ทราบว่าเปรมวดีกำลังพักฟื้นและกำลังต้องการให้เพื่อนไปเยี่ยม คะเนว่าลินดาจะต้องพากรุแก้วไปแน่ ในตอนเลิกเรียนในวันที่ได้รับจดหมายนั้น เพราะรู้จักสาวน้อยเหล่านี้ดีพอที่จะเดาอะไรได้ถูกเกือบหมด เกี่ยวกับว่าเจ้าหล่อนเหล่านั้น ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างใดต่อสิ่งใด
ครูสุวรรณนัดให้เอกชาติไปรอพบที่บ้านเปรมวดี ก่อนเวลาเลิกเรียนของลินดาและกรุแก้ว การณ์ก็เป็นไปตามที่คาดคะเนสมใจของหล่อน พอรถของลินดาเข้าประตูบ้านของเปรมวดี ครูสุวรรณผู้ซึ่งนั่งรออยุ่กับเอกชาติในห้องรับแขกหน้าตึก ก็เดินออกมารับ
“อ้อ ครูก็มาหรือคะ” กรุแก้วทักครูเก่าด้วยความแปลกใจและไม่ค่อยพอใจนัก กลัวว่าครูสุวรรณจะขัดความสำราญเป็นแน่ แต่พอมองไปพบบิดาของเปรมวดี เห็นร่างสูงระหงภาคภูมิซึ่งกรุแก้วนิยมนักหนา สีหน้าเปลี่ยนจากไม่ค่อยพอใจเป็นพอใจมากแต่ก็แปลกใจมากด้วย เพราะหล่อนไม่เคยพบเอกชาติที่บ้านนี้เลย
ครูสุวรรณช่วยฟื้นความจำให้เอกชาติเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของลินดาและกรุแก้ว ว่าเป็นลูกใครหลานใคร มีความสัมพันธ์กับเปรมวดีอย่างไร เอกชาติแสดงความสนใจกับสาวรุ่นทั้งสองเป็นอย่างดีแล้วทั้งสี่คนก็ขึ้นไปเยี่ยมเปรมวดี
“เอ๊ะ นี่ยังไม่ได้กราบคุณแม่เลย” กรุแก้วนึกขึ้นได้ถึงพรรณวดีระหว่างที่ขึ้นบันได้ เอกชาติได้ยินก็เดินเลยไปสั่งจันทรให้แจ้งแก่พรรณวดีว่า เพื่อนของเปรมวดีมาเยี่ยมไข้หล่อน
ถ้ามีโอกาสจะเข้าไปอยู่กับลูกสาวในขณะที่บิดามาเยี่ยมได้ พรรณวดีย่อมจะมาอยู่ด้วยโดยไม่ให้ดูน่าเกลียดเกินไป จนเป็นที่เห็นชัดว่าหล่อนไม่ปรารถนาให้บุตรกับบิดาสนิทสนมกัน เมื่อได้รับบอกเล่าดังนี้พรรณวดีก็มาที่ห้องของเปรมวดีโดยเร็ว
เปรมวดีมีเลือดฝาดพอสมควรแล้ว และลุกนั่งได้บ้าง แต่ยังไม่ค่อยมีแรง เมื่อเห็นเพื่อนมาเยี่ยมก็ยิ้มต้อนรับได้อย่างเคย แต่พอกรุแก้วกับลินดาเล่าถึงการเรียนกวดวิชา และการคาดคะเนถึงผลในการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย เปรมวดีก็มีสีหน้าสลดลงทันที
ครูสุวรรณจ้องดูว่าเมื่อใดที่จะได้พูดสิ่งที่ใคร่พูด พอลินดาเล่าความรู้สึกของหล่อน ว่ามีหวังน้อยกว่ากรุแก้วมากในการที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัย ครูสุวรรณก็ถามขึ้น
“ลินดาเมื่อไหร่เธอจะไปเมืองนอก จะเข้ามหาวิทยาลัยเมืองไทยได้แล้วถึงจะไปอย่างนั้นรึ”
“หนูไม่ค่อยนึกอยากไปเองละค่ะ” ลินดาตอบ “หนูคิดถึงเพื่อน”
“แก้วเชียร์เขาแล้วเขาก็ไม่เอาค่ะ” กรุแก้วว่า “ถ้าเธอจะรอฉัน เธอจะแก่ตายเสียก่อนได้ไป”
“อยากลองฝีมือดูบ้างเหมือนกันละ” ลินดาว่า “ไม่งั้นกรุแก้วก็ว่า คนรวยไปเมืองนอก แต่คนเก่งอยู่เมืองไทย”
“กรุแก้วเขาเข้าใจคิดเข้าใจพูด” พรรณวดีเอ่ยขึ้น “แต่ว่าคนที่ไปเมืองนอกเขาไม่ได้ไปเพราะไม่เก่ง เขาไปเพื่อเหตุอื่นก็มี”
เอกชาติรีบพูดขึ้นทันที “เปรมล่ะ ถ้าคุณย่าจะส่งไปเมืองนอก เปรมจะไปไหม”
เปรมวดีหน้าซีดลงทันที เหลือบตาไปดูหน้ามารดา แล้วเอาศีรษะซบลงบนหมอน ส่ายหน้าและพึมพำว่า “เปรมไม่รู้หรอกค่ะ”
“เปรมต้องรู้ อยู่ที่เปรมเอง ถ้าเปรมอยากจะไป คุณย่าจะให้ไป”
พรรณวดีหันไปดูหน้าสามีในอดีตด้วยดวงตาที่มีสีประหลาดหน้าของหล่อนแดงจนเห็นชัด เปรมวดีเหลือบดูหน้ามารดาหลายครั้ง อยากจะฟังว่ามารดาจะตอบบิดาว่าอย่างไร แต่พรรณวดีก็ติดขัดอยู่ที่กรุแก้วกับลินดาอยู่ในที่นั้น หล่อนไม่อาจกล่าวอะไรที่แสดงความรู้สึกขัดเคืองต่อหน้าเพื่อนของลูกได้โดยไม่ทำให้ค่าของตนตกไปในสายตาสาวน้อยทั้งสอง
ครูสุวรรณรีบฉวยโอกาสอีก “ถ้าเปรมไปลินดาก็คงอยากไปใช่ไหม กรุแก้วน่ะ เขาคงได้ทุนอะไรมิอะไรอย่างหนึ่งแน่ละ แต่จะช้าหน่อยเร็วนิดอย่างไรไม่แน่เท่านั้น”
“มีโอกาสไปเมืองนอกแล้วไม่ไปก็โง่เต็มที” กรุแก้วว่า “คนอยากไปก็ไม่มีทางไป ท่านที่จะไปได้ท่านก็เล่นตัวกัน โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ”
“จริงๆ นะเปรม พ่อไม่ได้พูดเล่น” เอกชาติกล่าวขึ้นอีก “ไม่เชื่อก็ถามคุณย่าเองซิ”
“ไปซิ เปรม” กรุแก้วสนับสนุน “คุณย่าท่านวางกฎเกณฑ์อย่างไรหรือเปล่าคะ” หล่อนหันไปถามบิดาของเพื่อนโดยซื่อ “ท่านว่าต้องเข้ามหาวิทยาลัยได้เสียก่อนหรือเปล่า”
“ท่านว่าทุกอย่างแล้วแต่เปรม” เอกชาติตอบ
เปรมวดีเริ่มจะจับได้ว่าบิดาของหล่อนมีแผนการอะไร ไม่ใช่พูดไปตามที่เพิ่งนึกคิดขึ้นมา หล่อนมองดูหน้ามารดาทีหนึ่ง บิดาทีหนึ่ง ในที่สุดก็จับตาดูหน้าครูอย่างวิงวอนขอความช่วยเหลือ ครูสุวรรณพยักหน้านิดหนึ่ง ทำทีให้รู้ว่าไว้โอกาสอื่นจึงค่อยพูดกัน กรุแก้วกับลินดาคุยต่อไป พรรณวดีค่อยเลี่ยงออกไปข้างนอก แล้วเอกชาติก็ตามออกไป แต่เขารีบออกจากบ้านโดยไม่ให้โอกาสพบกับภรรยาเดิม ครูและศิษย์คุยกันอยู่จนเห็นสมควรแก่เวลาในการเยี่ยมคนไข้ แล้วครูสุวรรณก็แนะให้กรุแก้วกับลินดามาใหม่ในวันหน้า ทั้งสองก็ลากลับไป
ครูสุวรรณเขยิบเข้าไปหาเปรมวดีทันทีที่กรุแก้วกับลินดาออกจากห้องไป และกล่าวว่า “เปรม เปรมจะอนุญาตให้ครูพูดอะไรกับเปรมเหมือนญาติสนิทเลยได้ไหม เพราะครูหวังดีแท้ ๆ ไม่มีความประสงค์อะไรอื่นเลย”
เปรมวดีดึงมือครูมากำไว้แน่น น้ำตาคลอตา แสดงอาการอนุญาตโดยไม่ใช้วาจา
“เปรม” ครูสุวรรณขึ้นต้น “ครูอยากบอกเปรมสั้น ๆ ที่สุด แต่ขอให้เปรมเชื่อครู ไม่มีใครหวังร้ายต่อเปรมเลย คุณพ่อของเปรมก็รักเปรม ห่วงเปรมที่สุด คนในโลกนี้ทำอะไรผิดพลาดกันไปบ้างอะไรบ้างทุกคน ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะทำอะไรถูกทุก
อย่าง เด็กก็ควรอภัยให้ผู้ใหญ่เหมือนกับที่อยากให้ผู้ใหญ่อภัยแก่ตัวเหมือนกัน คุณพ่อหวังดีที่สุด ได้เจรจากับคุณย่าแล้วว่าขอให้เปรมไปเมืองนอก คุณย่าก็ยอมจะให้ไป ครูขอร้องให้เปรมไป ไปเปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ชีวิตของเปรมยังมีข้างหน้าอีกมากนัก เรื่องที่เกิดแล้วนั้นเมื่อเปรมมีอายุมากขึ้น เปรมก็จะเอามาเป็น
บทเรียนสอนเรื่องชีวิตมนุษย์ได้เป็นอย่างดี อาจทำประโยชน์แก่คนอื่นได้มาก เพราะเปรมได้ผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่มีประโยชน์เลยที่จะรื้อฟื้นเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้มาเป็นทุกข์ คุณแม่ก็รักเปรม และการที่เปรมได้อยู่ห่างคุณแม่ เปรมจะได้เป็นตัวของเปรมได้ดี และจะทำความเข้าใจกันได้ดีขึ้น ในโลกนี้คุณแม่ก็ไม่มีใครนอกจากเปรม ถ้าเปรมได้เรียนดีมีชื่อเสียง คุณแม่ก็คงจะภูมิใจในที่สุด เพราะฉะนั้นครูขอร้องเปรม ขอให้ตัดสินใจไปเมืองนอกตามที่คุณย่าได้ตกลงกับคุณพ่อว่าจะให้เปรมไป
เปรมวดีรีบก้มลงร้องไห้กระซิก ๆ แทนคำตอบ แต่ครูสุวรรณรู้ว่าบทบาทของหล่อนในชีวิตเปรมวดีจบลงแล้วด้วยดี
วันที่เปรมวดีออกเดินทางไปต่างประเทศ ที่ท่าอากาศยานคึกคักไปด้วยญาติมิตรของพรรณวดี จุฑากับกิตติมานก็มาส่ง และอวยพรให้เปรมวดีเดินทางไปโดยสวัสดิภาพ จุฑากระซิบกับเปรมวดีว่าเขาจะได้พบกับหล่อนที่ประเทศอังกฤษ เพราะได้ตกลงใจจะไปศึกษาต่อเพื่อให้ได้ปริญญาที่สูงขึ้นไป พรรณวดีผู้ซึ่งเลือกวิถีทางตกบันไดพลอยโจน ก็ทำหน้าให้ยิ้มแย้มและเศร้าสร้อยเล็กน้อยพอให้เหมาะแก่โอกาส เปรม
วดีขอบตาแดงช้ำจากการร้องไห้ก่อนจะออกจากบ้าน เพราะอาจันทร์กับอาสายได้ผลัดกันร้องไห้และกอดรัดแสดงความอาลัย จนกระทั่งเปรมวดีต้องร้องไห้อีกเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน คุณหญิงนาฏก็มาส่งหลานสุดสวาทด้วย ท่านพยายามจะให้น้ำตาท่านหยุดไหลริน แต่ก็จำเป็นต้องเช็ดอยู่เป็นระยะ ๆ กรุแก้วกับลินดาผู้ซึ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วทั้งสองคนก็ได้ลาอาจารย์มาส่งเพื่อนพร้อมด้วยมารดาและน้าๆ ของกรุแก้ว โดยอาศัยพาหนะของลินดา เอกชาติพาครูสุวรรณและบุตรีคนรองจาก
เปรมวดีมาส่งที่ท่าอากาศยานด้วย เสียงญาติมิตรกระซิบกันให้ดูอนุนาฏ บุตรีคนรองของเขาว่าเหมือนพรรณวดีราวกับเป็นลูกแท้ ๆ บางคนก็หัวเราะคิกคักโดยจงใจให้พรรณวดีได้ยิน เพราะเป็นของสนุกสำหรับเขาเหล่านั้น บางคนก็ขยิบตาบุ้ยใบ้ให้รู้ว่าพรรณวดีอยู่ในที่ใกล้ที่อาจได้ยินบางคนก็เข้าไปพะเน้าพะนอคุณหญิงนาฏ บางคนก็ถามว่า ท่านเห็นหลานย่าคนนั้นหรือไม่ว่า เหมือนแม่เลี้ยงราวกับแกะออกมา บางคนก็ถอนใจใหญ่เบาๆ เมื่อแลเห็นพฤติกรรมของเพื่อนร่วมสังคม
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เปรมวดีต้องอำลาบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่และมิตรเพื่อไปศึกษายังถิ่นแปลกและไกล ระหว่างที่ยืนรอดูเครื่องบิน ที่จะพาเปรมวดีจากไป แล่นไปตามพื้นดินเพื่อออกไปยังลานวิ่ง และยืนฟังเสียงเครื่องยนต์สำแดงเสียงสนั่นสะท้านอากาศ กรุแก้วยืนอยู่ข้างมารดาของตนมองดูเครื่องบินด้วยความรู้สึกระคนปนกันหลายประการ ทั้งยินดีกับเพื่อนที่มีโชคดี ทั้งรู้สึกน้อยใจในความอยุติธรรมของชีวิต ก็ได้ยินเสียงมารดาของตัวกล่าวแก่ครูสุวรรณ และน้าของหล่อนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“สุวรรณ รุ่นเรานี่มีอะไรแปลก ๆ กันนะ”
“มนุษย์มันก็แปลกทั้งนั้นแหละเธอ” ครูสุวรรณตอบ
“แต่รุ่นเรานี่มันมีหลายชนิดจัง” มารดากรุแก้วกล่าวต่อไป “พรรณวดีก็ชนิดหนึ่ง แล้วรจิตก็ชนิดหนึ่ง ฉันก็ชนิดหนึ่งไปเลย”
เธอน่ะเป็นไง” ครูสุวรรณถาม ชำเลืองตามองกรุแก้วแวบหนึ่ง เห็นกำลังตั้งใจฟังมารดา
“ฉันน่ะเรอะ ก็เป็นหม้ายแต่สาว ๆ ได้น้อง ๆ แล้วก็เพื่อนอย่างเธอช่วยกันแทบตาย แต่ก็ชักจะเห็นธงไชยละ เพราะลูกได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว”
“แล้วพรรณวดีล่ะ เป็นไง อย่างเธอกับพรรณวดีเป็นยังไงกัน”
“ไม่ต้องพูดหรอกน่า ฉันสงสารแกจะตาย” มารดากรุแก้วตอบ “วันนี้เขาพยายามจะทำน่ารักเป็นพิเศษนะ ทักทายปราศรัยทั่วถึง แต่สำหรับฉันเขาดีเสมอนะที่จริงน่ะ”
ครูสุวรรณหัวเราะหึ ๆ มารดากรุแก้วพูดต่อไป “เป็นหม้ายพร้อม ๆ กันนี่ เราผัวตาย เขาถูกผัวทิ้งแล้วฉันก็ไม่ได้ไปเทียมไปเทียบกับเขาได้เลย เราก็ต้องทำมาหากินแทบตาย เขาก็อยู่อย่างของเขา แต่มาตอนยายแก้วเป็นเพื่อนกับเปรม เขาก็ดี ชมเชยลูกเราอยู่เสมอ แต่เรามันบ้านะ ดันไปสงสารเขา ถ้าพูดกับคนอื่นเขาต้องว่าบ้าแน่ นี่พูดกับคนบ้าด้วยกันถึงพูดได้”
ไม่มีใครตอบว่าอย่างไร แต่ดูเหมือนแม่คุณจะกำลังอยู่ในอารมณ์ที่จะระบายความในใจ จึงกล่าวต่อไปอีก “ตอนพ่อของแก้วตายใหม่ ๆ ฉันทนดูใครเขามีผัวมีเมียไม่ได้ไปหมด พอพรรณวดีเขาเลิกกับคุณเอก ใคร ๆ พูดว่าสงสาร ฉันโกร๊ธโกรธ ฉันคิดว่าถึงจะมีเมียใหม่สัก ๕ คน ก็ขอให้อยู่ให้ได้เห็นหน้ากันเถิด มาทีหลังถึงได้คิดว่าเขาน่าสงสารกว่าเราอีก ยิ่งคนอย่างพรรณวดีถูกผัวทิ้งนี่ ผัวตายดีกว่า แหมคงเหนื่อยพิลึกละ ต้องตีหน้าต่าง ๆ แม้แต่กับลูกของตัวเอง แม้แต่กับแม่ผัวซึ่งเหมือนกับแม่ตัว”
“ฟังเธอแล้วดูเหมือนต้องตัดสินใจว่าบ้าจริง ๆ” ครูสุวรรณว่า กรุแก่วเหลือบตาดูหน้ามารดา ทุกครั้งที่ครูสุวรรณพบกับแม่คุณ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องว่าอีกฝ่ายหนึ่ง “บ้า” เสมอ แต่กรุแก้วไม่เคยสนใจเลย เพิ่งจะรู้สึกว่ามีความหมายอะไรอยู่ในคำ ๆ นี้ในคราวนี้เท่านั้น
พอดีมีการเคลื่อนไหวใหญ่เกิดขึ้น เครื่องบินได้ขึ้นสู่อากาศแล้ว คนทั้งหลายกำลังละจากที่ที่ยืนออกไปยังพาหนะของตน ครูสุวรรณก็ส่ายตาหาเอกชาติด้วยกลัวว่าเสร็จธุระของเขาแล้ว เขาอาจลืมผู้โดยสารรถของเขาเสียคนหนึ่งก็ได้ ระหว่างนี้กรุแก้วได้ยินมารดากล่าวแก่ครูสุวรรณว่า “นี่ ยังไม่ได้บอกเธอ รจิตเจ็บเป็นมะเร็งอยู่โรงพยาบาล ดูเถอะ พอลูกผัวจะดีก็จะตายเสียแล้ว แต่ก่อนก็ทุกข์ทรมาน เงินเป็นโอ่งเป็นไหไม่ได้เรื่องเสียเลย”
พอดีลินดามาเรียกกรุแก้วและแม่คุณ ให้ไปขึ้นรถ กรุแก้วจึงต้องละจากที่นั้น แล้วครูสุวรรณกับคณะของหล่อนก็แยกทางกัน ต่างคนก็ต่างกลับเข้ากรุง
ระหว่างทาง กรุแก้วถามมารดาว่า “แม่คุณคะ รจิตที่กำลังจะตายน่ะ รจิตไหนคะ”
“ก็รจิตที่แก้วเคยถูกใคร ๆ สอนให้เรียกว่าน้าซินเดอเรลลายังไงล่ะ” แม่คุณตอบ “เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับแม่ กับครูสุวรรณ กับพรรณวดี เขาเป็นลูกกำพร้า อาจารย์ใหญ่เอามาเลี้ยงไว้ พอเรียนจบก็มีท่านสามีนี่แหละ แสนจะหนุ่มหล่อรวยมารักขอ
แต่งงานด้วย เพื่อนรุ่นแม่ตื่นเต้นกันจะตาย เรียกกันว่าซินเดอเรลลา แต่พอแต่งงานกันไม่กี่ปี ท่านสามีท่านก็มีเมียน้อยไป มีไป ไม่รู้ว่ากี่คน แล้วลูกก็ไม่ได้เรื่อง ไปเมืองนอกก็ไปถูกส่งกลับทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่มาตอนหลังเร็ว ๆ นี้ ท่านสามีกลับมาอยู่บ้านอยู่ช่อง ลูกชายกลับตัว ที่เคยกินเหล้าก็เลิกกิน ไปทำงานกับฝรั่งเขาก็ว่าตั้งอกตั้ง
ใจดี ลูกผู้หญิงก็กำลังจะแต่งงาน แต่นั่นแหละ มนุษย์เรามันมีอะไรกันมาแปลก ๆ รจิตเกิดล้มเจ็บ เป็นมะเร็งจะตายภายในไม่กี่เดือน สงสารแกจริงๆ เมื่อตอนพ่อแก้วตายใหม่ ๆ แม่นึกว่าตัวเป็นคนน่าสงสารที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้ดู ๆ ไปเห็นคนน่าสงสารกว่าเรามากเหลือเกิน ยิ่งตั้งแต่แก้วเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม่เลยนึกว่าเป็นคนมีบุญไปแล้ว มีลูกเป็นที่ระลึกของคนที่เรารักไว้คนเดียวก็ได้สมใจทุกอย่าง แล้วแม่คุณก็ตบศีรษะเป็นเชิงล้อเล่นแก้กระดากเบา ๆ
“เปรมไปถึงไหนแล้วนะ” กรุแก้วเอ่ยขึ้นเหมือนกับว่า เรื่องที่มารดากล่าว ทำให้หล่อนรำลึกอะไรที่สำคัญขึ้นมาอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเปรมวดีและตัวหล่อน
“ป่านนี้คงไปถึงพม่าถึงมอญไปแล้วกระมัง” น้าของกรุแก้วตอบคำปรารภ
“ดีใจจริงที่แกไปเสียได้” แม่คุณว่า “น่าสงสารด้วยกันทั้งนั้น คุณหญิงก็น่าสงสาร ยายเปรมก็น่าสงสาร ถึงพรรณวดีก็น่าสงสาร”
สงสารเขาทำไมกันคะ แม่คุณ” กรุแก้วถาม รู้สึกว่าตัวมีอาการใจเต้นพิกล
“คนที่ผูกใจเจ็บเรื่องอะไร น่าสงสารทั้งนั้นแหละลูก” แม่คุณตอบ “พรรณวดีเขาผูกใจเจ็บเรื่องคุณพ่อเปรมทิ้งไปไม่รู้จักหาย ที่แกขอดค่อนยายเปรมต่าง ๆ ก็เพราะ...เออ เพราะอะไรแม่ก็ไม่รู้ แม่ก็ไม่ใช่นักจิตวิทยาหรืออะไร รู้แต่ว่าความสวยความงาม เกียรติยศเงินทองไม่ทำให้แกมีความสุขเลย แล้วแกก็เลยทำให้ลูกแกไม่มีความสุขไปด้วย แม่ก็ไม่ค่อยรู้ตื้นลึกหนาบางของเขานัก แม่มัวแต่ต้องทำมาหากิน แต่แม่
สังเกตว่าเวลายายเปรมแกได้มาบ้านเราทีหนึ่ง ๆ ดูแกรื่นเริงผิดกับเวลาแกใส่เครื่องเพชรชั้นหนึ่ง ไปเข้าสังคมกับแม่แก แม่อาจจะเป็นคนเข้ากับตัวเองอย่างมากก็ได้ แต่แม่กำลังรู้สึกว่าแม่มีบุญจริง ๆ นาน ๆ แม่ก็ฝันถึงคุณพ่อว่ามาคุยกัน รักกัน แม่มีความสุขตลอดคืนไปเลย ตื่นขึ้นไปทำงานก็ยิ้มไปเรื่อย จะบ้าอย่างที่ครูสุวรรณเขาว่าหรือยังไงก็ไม่รู้”
กรุแก้วกับลินดา นั่งตรึกตรองมาตลอดทางที่รถแล่นเข้ากรุงเทพฯ สมองของสาวน้อยทั้งสองเต็มไปด้วยปัญหาชีวิต มองเห็นเป็นแสงขาว ๆ บ้าง แสงรุ้งพรายงดงามบ้าง เงาเทา ๆ บ้าง แต่ความเร่าร้อนด้วยความอิจฉาในโชคของเปรมวดี จางหายจากใจของเจ้าหล่อนทั้งสองไปหมดสิ้น
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย