Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
7 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ
เอกชนชง 5 เรื่องด่วน ‘นายกฯ’ แก้บาทแข็ง-ภาษีสหรัฐฯ-ลดต้นทุนค่าไฟ
●
สภาอุตสาหกรรมฯ (ส.อ.ท.) เสนอ 5 เรื่องเร่งด่วนต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเน้นการรับมือเงินบาทแข็งค่า ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลดต้นทุนค่าไฟฟ้า
●
เรียกร้องให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรับมือผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าคู่แข่งในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก
●
ผลักดันการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ และเสนอมาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินเร่งด่วนแก่กลุ่ม SMEs ที่ประสบปัญหา
●
เสนอแนวทางแก้ปัญหาและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการเสนอแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องหลักในระยะเร่งด่วนต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย
●
การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า
●
การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs
●
การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ
●
การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
●
การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
ทั้งนี้ ส.อ.ท. มีความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยได้เสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษาและแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโตเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ
ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน รวมถึงเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
สำหรับกลไกความร่วมมือในอนาคต ส.อ.ท. เห็นควรให้ขับเคลื่อนการหารือผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) และจัดให้มีเวทีระดมความคิดเห็นในประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น มาตรการภาษีสหรัฐฯ การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม
“การหารือดังกล่าว ถือเป็นจุดเริ่มของการสร้างความร่วมมือเชิงรุกระหว่างภาครัฐและเอกชน โดย ส.อ.ท. จะสนับสนุนและทำงานกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนในอนาคต”
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. ระบุว่า ปัจจุบันไทยถูกสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีอัตราที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 แต่จะมีการเรียกภาษีอยู่ 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 สำหรับการเรียกเก็บภาษีอัตราที่ 19% ใช้กับสินค้าที่ตกอยู่ในขอบเขตของมาตรการนี้โดยรวมยกเว้นสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กและอลูมิเนียม ทองแดงกึ่งสำเร็จรูป เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีกรอบกฎเกณฑ์ต่างหาก
สำหรับกรณีที่ 2 เรียกเก็บภาษีอัตราที่ 40% จะบังคับใช้เมื่อสินค้าถูกพิจารณาว่า เกิดจากการสวมสิทธิ์ของประเทศที่สาม หรือมีกรณี transshipment โดยสินค้าในกรณีนี้จะต้องผ่านการตรวจสอบและพิสูจน์โดย U.S. Customs and Border Protection (CBP) ก่อน
และหากพบว่ามีการสวมสิทธิ์จริงจะถูกเรียกเก็บอัตรานี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่มีหลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ที่ชัดเจน ภาครัฐจึงต้องติดตามแนวปฏิบัติของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้ทัน
ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐฯ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณ RVC ตลอดจนการส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัว (Transformation) เพื่อปรับซัพพลายเชน (Supply Chain) ของไทยให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัย พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ภาครัฐดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ กำกับดูแลสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand: MiT)
ด้านการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs นั้น นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. ระบุถึงสถานะความเปราะบางของ SMEs ไทยเดือนมิถุนายน 2568 ว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในกลุ่ม SMEs คิดเป็น 243,026 ล้านบาท และยอดหนี้คงค้างรวม (สินเชื่อ SMEs) คิดเป็น 3,119,525 ล้านบาท
ส.อ.ท. จึงนำเสนอแนวทางส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน ภายใต้มาตรการ Fast Track เพื่อ SMEs ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อฉุกเฉิน (Emergency Credit Guarantee) ที่อนุมัติได้ภายใน 3-7 วัน โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าธรรมเนียมช่วงแรก และเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสูงกว่าปกติ เช่น 80–100% เพื่อธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อทันทีให้ SMEs ที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME ด่วนพิเศษ 1% ผ่านกองทุนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
โดยให้ธนาคารรัฐเป็นผู้ดำเนินการ และเปิดช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับสินเชื่อวงเงิน 5-10 ล้านบาท รวมทั้งสำหรับ SMEs ที่อยู่ในระบบภาษี โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเติมสภาพคล่องระยะสั้นให้ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และลดความเสี่ยงที่จะลุกลามเป็น NPL และมาตรการ “Hair Cut” สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้เสีย (NPL) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ที่เหลือได้และปิดบัญชี รวมทั้งลดปริมาณหนี้เสียในระบบโดยรวม
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต โดยเน้นถึงความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างค่าไฟที่เป็นธรรม สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และเอื้อต่อการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม
รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนพลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ดี ได้เน้นย้ำให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยราคาที่เป็นธรรม และมีความมั่นคงด้านพลังงาน
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ปรับโครงสร้างการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนส่วนเกินที่ไม่จำเป็นและส่งเสริมการเปิดเสรีไฟฟ้า รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระตามกำหนด เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ
นายเวทิต โชควัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. สะท้อนปัญหาการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า การแก้ไขปัญหาด่านศุลกากร รวมถึงการเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อสร้างความชัดเจนในกฎระเบียบการค้าชายแดน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับระยะเร่งด่วนควรมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายด้านการโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบการ ผ่านการเสริมช่องทางโลจิสติกส์เดิม การเพิ่มเรือชายฝั่งในการส่งสินค้า เข้าในช่องทางที่ไม่ใช่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดกัน เช่น จันทบุรี และตราด และการพิจารณาอนุญาตให้ส่งออกและนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ที่จะนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตใน Supply Chain ได้ในด่านที่ไม่มีความขัดแย้ง รวมทั้งการเยียวยาผู้ประกอบการที่ต้องขนส่งในช่วงที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้ง โดยขอให้นำค่าขนส่งที่ชัดเจน มาใช้หักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่าได้
ระยะสั้น เสนอแนะให้พิจารณา Soft Loan ให้ผู้ประกอบการเพื่อรักษาสภาพคล่องของกลุ่ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา หรือผู้ที่มีหลักฐานการค้าขายต่อเนื่องกับกัมพูชา เพิ่มเติมจากมาตรการที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) หรือ EXIM Bank ออกมา รวมถึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) พิจารณาให้สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Supply Chain ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนในไทยสำหรับชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากกัมพูชา
ส่วนของมาตรการระยะยาว พิจารณาตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จะให้ทั้งสองประเทศกลับมาทำการค้าร่วมกัน และมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย สร้างความเจริญเติบโตร่วมกันให้กับภูมิภาค
thansettakij.com
เอกชนชง 5 เรื่องด่วน ‘นายกฯ’ แก้บาทแข็ง-ภาษีสหรัฐฯ-ลดต้นทุนค่าไฟ
ส.อ.ท. เสนอแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องด่วน ‘นายกฯ’ แก้บาทแข็ง เตรียมพร้อมรับมือภาษีสหรัฐฯ ปรับโครงสร้างค่าไฟ เพิ่มสภาพคล่อง SMEs และผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย