16 ก.ย. เวลา 08:01 • การศึกษา

TICA Connect ครั้งที่ 10: เสริมพลังคน จุดไฟนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (Thailand International Cooperation Agency: TICA) ได้จัดงาน TICA Connect ครั้งที่ 10 ณ Living Hall ชั้น 3 และ SCBX Next Tech ชั้น 4 สยามพารากอน ภายใต้แนวคิด “Empowering People, Innovating for Change” หรือ “เสริมสร้างศักยภาพคน สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง”
หากกล่าวถึงงาน TICA Connect แล้ว เป็นงานที่จัดเป็นประจำทุกปีโดยกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “TICA” (ไทก้า) เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น การศึกษา การสาธารณสุข และอีกมากมาย
อีกทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้รับฟังปาฐกถา เสวนา และแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระหว่างประเทศ เช่น อาสาสมัคร ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันหาแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
สำหรับงาน TICA Connect ครั้งที่ 10 นี้ มุ่งเน้นที่ “การพัฒนาคน” เพราะ “คน” คือทรัพยากรอันทรงคุณค่าที่เป็นรากฐานของความก้าวหน้าของสังคม ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถพัฒนาอย่างยั่งยืนได้หากขาด “คน” เป็นศูนย์กลาง ดังนั้น การพัฒนาที่แท้จริงจึงต้องเริ่มจากการพัฒนาคน และคำว่า “การพัฒนาคน” ก็ไม่ควรหยุดที่แค่คำขวัญ แต่ต้องเป็นหัวใจของการปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ
ในช่วงพิธีเปิดงาน ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น) ได้กล่าวย้ำถึงบทบาทของคนในฐานะหัวใจของการพัฒนา การพัฒนาที่แท้จริงจะต้อง “ครอบคลุมทุกคน ทุกช่วงวัย” และต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและนโยบายที่สร้างสรรค์เพื่อให้คนสามารถก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น) กล่าวเปิดงาน TICA Connect ครั้งที่ 10 (ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ)
จากนั้นในช่วงปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับการพัฒนาคนในภาคส่วนต่าง ๆ ระดับนโยบาย นวัตกรรม และการเรียนรู้ ดร.อรกัญญาณี เลี้ยงอิสระ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้หยิบยกประเด็นสำคัญว่า “นโยบายที่ดีต้องไม่หยุดอยู่บนกระดาษ แต่ต้องถูกแปลงสู่การปฏิบัติจริง”
โดยย้ำว่าการเริ่มต้นพัฒนานั้นจะต้องเริ่มจากการพัฒนาเล็ก ๆ ก่อน หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ พัฒนาและขยายนโยบายไปสู่วงกว้าง เพื่อสร้างความยั่งยืนของการพัฒนาในระยะยาว โดยยกตัวอย่างโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มได้เข้าถึงทักษะใหม่ ๆ เพื่อปรับตัวกับโลกอนาคต
ส่วนหนึ่งของงานเสวนาที่ได้รับความสนใจ คือ การเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในหัวข้อ “Inclusive Development: Reaching the Margins” ซึ่งกล่าวถึงการพัฒนาคนที่ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพื้นที่สูง เด็ก และผู้พิการ
โดยผู้เข้าร่วมเสวนามาจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.) กรมกิจการเด็กและเยาวชน และศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Asia-Pacific Development Center on Disability - APCD) หลังจากเข้าร่วมฟังการเสวนาหัวข้อนี้ ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า “การพัฒนา” ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการฟังเสียงของคนตัวเล็ก ๆ คือจุดเริ่มต้นของการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยั่งยืน
การเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในหัวข้อ Inclusive Development: Reaching the Margins ว่าด้วยการพัฒนาคนกลุ่มเปราะบาง สถาบันวิจัยพัฒนาพื้นที่สูง หรือ สวพส. (องค์การมหาชน) ตัวแทนจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน และศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD) (ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ)
อีกหนึ่งช่วงหนึ่งที่โดดเด่น คือ การพูดคุยในหัวข้อ “Youth Engagement for Sustainable Development through Volunteerism” ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของเยาวชนทั้งในและต่างประเทศ ในฐานะกำลังหลักของสังคมในการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยผู้แทนจากโครงการอาสาสมัครเพื่อนไทย (Friends from Thailand – FFT) ของ TICA และอาสาสมัครต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งจากสหรัฐอเมริกา (Peace Corps) ญี่ปุ่น (Japan Overseas Cooperation Volunteers – JOCV ภายใต้ JICA) และเกาหลีใต้ (Korea Overseas Cooperation Volunteers – KOV ภายใต้ KOICA) ได้ร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานอาสาสมัครที่ไม่เพียงแต่สร้างคุณค่าให้กับสังคม แต่ยังหล่อหลอมให้เยาวชนเติบโตขึ้นเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบต่อโลก
ผู้เข้าร่วมเสวนายังได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครในประเทศและต่างประเทศ การดำเนินชีวิต อุปสรรคที่พบ และแลกเปลี่ยนทรรศนะเกี่ยวกับการสร้างประโยชน์ให้แก่เยาวชนในพื้นที่ต่าง ๆ โดยยกตัวอย่างประสบการณ์อาสาสมัครที่ผ่านมา เช่น การเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในจังหวัดพะเยาและจังหวัดเชียงใหม่ และการสอนภาษาไทยในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตโดยโรส ศิรินทิพย์ หาญประดิษฐ์ ศิลปินที่ทำดนตรีบำบัดเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งได้พูดคุยและให้กำลังใจแก่อาสาสมัครทุกคนอีกด้วย
งานเสวนาในหัวข้อ Youth Engagement for Sustainable Development through Volunteerism โดยผู้แทนจากโครงการอาสาสมัครเพื่อนไทย ของ TICA และอาสาสมัครต่างประเทศจาก Peace Corps, JICA และ KOICA (ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ)
นอกจากการเสวนาบนเวที บริเวณที่จัดงานยังเต็มไปด้วยนิทรรศการที่นำเสนอภารกิจของกรมความร่วมมือระหว่างประเทศในหลายประเทศทั่วโลก ตลอดจนการออกบูธแสดงผลงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศขององค์กรต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สวพส. Peace Corps, JICA, KOICA, GIZ ของเยอรมนี, APCD และ UN
ไฮไลต์ที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยเหยื่อการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาไม่ได้หยุดเพียงแค่ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้น ไม่ใช่เป็นเพียงของสวยงาม ไม่ใช่เพียงแค่สินค้าเพื่อสร้างรายได้ แต่ยังเป็นเรื่องราวของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ และสิ่งที่ได้จากการจำหน่ายก็ไม่ได้มีแต่เงิน แต่ยังหมายถึงความหวังที่จับต้องได้ และเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของผู้คน
บูธจากหน่วยงานความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ (ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ)
การจัดงานครั้งนี้ยังมีความพิเศษอย่างมาก เนื่องจากตรงกับโอกาสที่กรมความร่วมมือระหว่างประเทศครบรอบ 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งในชื่อและรูปแบบองค์กรปัจจุบันเมื่อปี 2558 ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา TICA ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างไทยกับประชาคมโลก ในการส่งต่อองค์ความรู้ ประสบการณ์ และความร่วมมือเพื่อสร้างการพัฒนาที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน
นายจุลวัจน์ นรินทรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้กล่าวถึงความตั้งใจของงานนี้ว่า “TICA Connect ไม่ใช่เพียงงานประชุมหรือเวทีเสวนา แต่เป็นพื้นที่ที่ทำให้คนไทยและนานาชาติเข้าใจว่า ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว หากแต่เกี่ยวพันกับคุณภาพชีวิตของคนไทยและอนาคตของประเทศโดยตรง”
ท้ายที่สุดแล้ว แนวคิด “Empowering People, Innovating for Change” ไม่ใช่เป็นเพียงหัวข้อหลักของงานนี้ แต่คือการแสดงความมุ่งมั่นถึงทิศทางของการพัฒนาสังคมไทยในศตวรรษที่ 21 ที่จะสร้างสังคมให้แข็งแรง ด้วย “คน” ที่มีศักยภาพ และการเปลี่ยนแปลงจะไม่ใช่เพียงสิ่งที่เราต้องเผชิญ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถลุกขึ้นสร้างด้วยตนเอง
งาน TICA Connect ครั้งที่ 10 นี้ จึงเป็นทั้งเวทีแห่งการแลกเปลี่ยน เป็นเครื่องเตือนใจว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนมีส่วนร่วม และเมื่อใดที่ “คน” คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้น สังคมไทยและสังคมโลกก็จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
โฆษณา