เมื่อวาน เวลา 12:00 • ธุรกิจ

ประเทศไทยมีเพื่อนแล้ว

การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในอินโดนีเซียเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เปรียบเสมือนกับฝีที่สุกเต็มที่แล้วแตกออกจนหนองไหลทะลัก ความไม่พอใจต่อการบริหารงานภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดี “ปราโบโว ซูเบียนโต” จากพรรคเกอรินดรา (Gerindra) ซึ่งมีแนวทางแบบอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวา
และยังเคยเป็นอดีตนายพลในยุคเผด็จการซูฮาโต้ ซึ่งเคยเกิดเหตุรุนแรงในการกวาดล้างผู้เห็นต่างทางการเมือง และยังถูกเชื่อมโยงกับเหตุชุมนุมประท้วงซึ่งก่อให้เกิดการจลาจลที่นองเลือดในกรุงจาการ์ตา เนื่องจากการปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2019 ที่พ่ายแพ้ให้กับนายโจโก วิโดโด อดีตประธานาธิบดี 2 สมัยติด
แม้ในภาพรวมอินโดนีเซียดูเหมือนว่าจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและอยู่ในระดับ 5% ติดต่อกัน 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2022 - 2024 แต่ภายใต้ตัวเลข GDP ที่เติบโตนั้นกลับซ่อนปัญหาภายในที่เหมือนกับสนิมกัดกินโครงสร้างของประเทศ และกำลังค่อยๆ ผุดออกมาให้เห็นทีละน้อยว่า อินโดนีเซียอาจจะโตแต่เปลือก ใหญ่แต่กลวงภายใน ไม่ใช่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับอินโดนีเซียมีขนาดเศรษฐกิจมากกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียนการเติบโตทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่เกิจจากแรงขับเคลื่อนภาคการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 55% ของ GDP ด้วยขนาดประชากรมากว่า 280 ล้านคน และมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้การบริโภคของประชากรยังเป็นตัวแบกเศรษฐกิจขนาดใหญ่เอาไว้ได้ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ส่งออกสินแร่ และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม และนิกเกิล
แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจกลับไม่ได้กระจุกทั่วทั้งประเทศ แต่ตัวอยู่ในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงจาการ์ตา สุราบายา หรือบันดุง ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะชวา ที่ประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศจากทั้งหมด 17,508 เกาะ ในขณะที่พื้นที่ชนบท และนอกเกาะชวากลับเติบโตช้ากว่า ทำให้ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และโอกาสยังคงสูง ประชากรจำนวนมากยังอยู่ในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ (informal sector) ที่ไม่มีความมั่นคงทางอาชีพและสวัสดิการ ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานนอกระบบมากถึง 86 ล้านคน
แม้อินโดนีเซียมีประชากรวัยหนุ่มสาวคิดเป็นสัดส่วนมากว่า 100 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็น demographic dividend แต่แรงงานส่วนใหญ่ยังมี ทักษะต่ำ เนื่องจากคุณภาพการศึกษาไม่ทันต่อความต้องการของตลาด ทำให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมักประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ส่งผลให้การยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่การผลิตขั้นสูงทำได้ยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รายได้ของชาวอินโดนีเซียเติบโตช้า
1
โดยปัจจุบันเงินเดือนเฉลี่ยของชาวอินโดนีเซียทั้งประเทศอยู่ที่ 5 –7 ล้านรูเปียห์ หรือราว 9,700 – 13,600 บาท ส่วนในกรุงจาการ์ตาเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 8.66 ล้านรูเปียห์ หรือ 16,800 บาท ซึ่งค่าแรงของคนอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเพียง 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับเงินเฟ้อในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มกลับเพิ่มขึ้น 2.3%
นั่นหมายความว่าคนอินโดนีเซียรายได้เติบโตไม่ทันกับอัตราเงินเฟ้อ หาเงินมาได้ก็ไม่พอต่อการจับจ่ายในชีวิตประจำวัน
ชนชั้นกลางอินโดนีเซียมีสัดส่วนเพียงแค่ 20% แต่ต้องแบกโครงสร้างทางเศรษฐกิจถึง 40% ขณะเดียวกันกลุ่มชนชั้นกลางกำลังหดตัวลงเนื่องจากความไม่มั่นคงในอาชีพและรายได้ จากที่เคยมีมากถึง 60 ล้านคนในปี 2018 แต่ปัจจุบัน กลับเหลือแค่ 48 ล้านคน ท่ามกลางอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่าง 13-16% ซึ่งส่งผลให้แรงงานกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ต่างหลั่งไหลออกสู่งานนอกระบบมากขึ้น
แม้จุดแข็งของอินโดนีเซียคือการเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญระดับโลก โดยเฉพาะถ่านหินและน้ำมันปาล์ม และรัฐบาลยังพยายามเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่อย่าง การผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยการใช้ทรัพยากรนิกเกิลในประเทศ
แต่การพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์เช่นนี้ ทำให้ประเทศ เสี่ยงต่อความผันผวนของราคาตลาดโลก เมื่อราคาสินค้าตก เศรษฐกิจก็ชะลอตัวทันที อีกทั้งในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ก็มีการปรับเปลี่ยนมาใช่เครื่องจักรหนักแทนการใช้แรงงานทำให้สัดส่วนการจ้างงานลดลงไปอีก เพราะมีการจ้างงานเพียง 3% เท่านั้นในอุตสาหกรรมนี้ เมื่องานที่ต้องการทักษะฝีมือสูงขึ้นก็หาบุคลากรที่มีศักยภาพได้ยาก ทำให้แรงงานของอินโดนีเซียติดอยู่ในกลุ่มที่ไม่สามารถขัยตัวเองให้รองรับกับความต้องการของตลาดได้
นอกจากนี้ การเน้นเศรษฐกิจที่เกิดจากบริโภคภายในที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักยังอาจนำไปสู่การก่อหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ขณะที่การลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงยังไม่เพียงพออีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ที่อยู่ในกลุ่มสกุลเงินที่อ่อนค่ามากที่ของโลก ซึ่งสาเหตุมาจากเงินทุนไหลออก (Capital outflow) จำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเทขายพันธบัตรหรือหุ้นอินโดนีเซีย แล้วนำเงินออกไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กดดันค่าเงินให้อ่อนตัวลง
ซึ่งใมช่วงเดือนมิถุนายน ค่าเงินรูเปียเคยอ่อนค่าอย่างหนักลงไปสู่ระดับใกล้เคียงกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับสกุลเงินหลักของประเทศ
การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Deficit) เนื่องจากอินโดนีเซียพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าอุปโภคสูง เมื่อราคาน้ำมันแพงการขาดดุลก็เพิ่มจะมากขึ้น ส่งผบให้ค่าเงินอ่อนทั้งที่เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน แต่กลับต้องนำเข้าน้ำมันสุทธิเนื่องจากปัจจุบันไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ
ส่วนปัจจัยอื่นก็มีทั้งการที่มีหนี้ต่างประเทศสูง (ทั้งรัฐและเอกชน) หนี้จำนวนมากเป็นสกุลดอลลาร์ การต้องชำระหนี้ใน USD กดดันค่าเงินรูเปียห์ให้ต้องแลกเปลี่ยนมากขึ้น
ที่สำคัญคือเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือนโยบายเศรษฐกิจ การนำนโยบายประชานิยมกลับมาเพื่อกระตุ้นรากหญ้า ซึ่งหลายประเทศพิสูจน์แล้วว่า นโยบายเหล่านี้ได้ใจกลุ่มผู้สนับสนุนในระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวกลับบั่นทอนความแข่งแกร่งของโครงสร้างภายในประเทศจนอ่อนแอ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้คือคะแนนนิยมของนักการเมือง ดังนั้นปัญหาการใช้เงินซื้อความนิยม ก็เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ
สุดท้าย อนาคตที่เคยคิดว่าน่าจะสดใสของเศรษฐกิจอินโดนีเซียที่ในช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้กำลังเติบโตและเป็นดาวเด่นของภูมิภาค ในวันนี้กำลังค่อยๆ ถอยหลังอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะตั้งตัวทัน เพราะฉะนั้นการต้อนรับอินโดนีเซียเข้าสู่ด้อม “ผู้ป่วยแห่งเอเชีย” ที่มีไทยยืนรอเข้ากลุ่มอยู่ก่อนหน้าแล้ว คงจับมือไปนอนซมหาหนทางรักษาอาการป่วยเรื้อรัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีหมอคนไหนกล้าหาญผ่าตัดใหญ่หรือไม่?
โฆษณา