7 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ

หุ้น lululemon ยังไหวอยู่ไหม ? ตั้งแต่ต้นปี ร่วงไปเกือบ 60%

ปีที่แล้ว ข้อมูลจาก Statista ระบุว่า lululemon เป็นแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยมูลค่าบริษัท 1.48 ล้านล้านบาท
ใหญ่กว่า Adidas และเป็นรองเพียงแบรนด์ Nike เท่านั้น
แต่ตอนนี้ ไม่ใช่อีกแล้ว เพราะนับตั้งแต่ต้นปี หุ้น LULU หรือ lululemon ดิ่งฮวบ
จนตอนนี้มูลค่าบริษัทลดลงมาแตะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงปี 2019 ก่อนที่แบรนด์จะบูมสุด ๆ จนนักลงทุนหลายคนต้องหายใจเข้าลึก ๆ แล้วปล่อยเบา ๆ แบบตอนเล่นโยคะ
เกิดอะไรขึ้นกับแบรนด์ lululemon ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
หลายคนคงเคยได้ยินว่า ปี 2025 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับหลายธุรกิจทั่วโลก
ซึ่งนี่ก็รวมไปถึง lululemon แบรนด์เสื้อผ้า Activewear ระดับพรีเมียม ที่กำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างหนักในตลาดหุ้น ทำให้ปัจจุบัน มูลค่าบริษัทหายไปเกือบ 870,000 ล้านบาท
จากที่ครั้งหนึ่ง เคยเป็นดาวเด่นในกลุ่ม Activewear มีมูลค่าบริษัทหลักล้านล้านบาท แต่ตอนนี้ lululemon กลับมีมูลค่าเพียง 616,000 ล้านบาท
หากนับเฉพาะราคาหุ้นแบบ Year-to-Date จนถึงปัจจุบันในเดือนกันยายน 2025
ราคาหุ้นก็ดิ่งฮวบลงถึง 56%
พูดง่าย ๆ ก็คือ หากเราลงทุนกับ lululemon ไว้ 100,000 บาท ตอนต้นปี 2025 วันนี้เงินลงทุนของเราจะเหลือเพียง 44,000 บาท
สาเหตุของเรื่องนี้ก็มาจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง จากการประมาณการการเติบโตของ lululemon น้อยกว่าที่คาดหวัง
และล่าสุด ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลัง lululemon ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 แม้จะมีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และยอดขายในจีนเติบโตขึ้น 25% แต่บริษัทยังต้องปรับลดเป้าหมายยอดขายตลอดทั้งปีลง
ส่งผลให้ราคาหุ้น ร่วงลงทันที เพราะนักลงทุนมองว่า การปรับลดการคาดการณ์รายได้ สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตที่เริ่มชะลอตัว
ประกอบกับยอดขายในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดหลักในการสร้างกำไรของแบรนด์ ก็เริ่มชะลอตัวมาสักระยะหนึ่ง
โดยนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า lululemon มีการแข่งขันจากแบรนด์ที่ไม่คาดคิด อย่าง
Costco และ Gap ซึ่งขยับมาขายเสื้อผ้ากีฬาและกางเกงวอร์มในราคาย่อมเยา และจับต้องได้ง่ายมากขึ้น
รวมถึง lululemon ยังได้รับผลกระทบครั้งใหญ่ จากการยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุขนาดเล็ก ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นหลักพันล้านบาท เนื่องจาก lululemon พึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน แบรนด์ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความนิยมจากกลุ่มลูกค้าหลัก
เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ผู้คนให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า (Value for Money) มากขึ้น
จึงไม่แปลกที่จะเห็นผู้บริโภคบางกลุ่ม หันไปเลือกซื้อ สินค้า “Dupe” หรือของเลียนแบบดิไซน์ใกล้เคียงกัน แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า
จนก่อนหน้านี้ lululemon ต้องออกแคมเปญ เพื่อจัดการสินค้าเลียนแบบ โดยให้ลูกค้านำของก๊อบ มาแลกกับของแท้เลยทีเดียว
และแบรนด์ Activewear พรีเมียม อย่าง Alo Yoga และ Vuori แบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์การเปิดหน้าร้านให้ใกล้กับ lululemon เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มเดียวกันอย่างจงใจ
ก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
จนเติบโตอย่างรวดเร็ว
เรียกได้ว่า lululemon ต้องเผชิญศึกหนักรอบด้านแทบทุกทิศทางเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน แต่ธุรกิจของ lululemon ก็ยังคงมีจุดแข็งบางอย่างที่น่าจับตามอง
หนึ่งในนั้นคือ นวัตกรรมเฉพาะด้านของแบรนด์ โดยเฉพาะการออกแบบผ้าและเทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้สินค้ามีคุณภาพสูง
เนื้อผ้าใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี และทนทาน
ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าราคา
รวมถึงประสบการณ์ภายในร้านค้า ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นมากกว่าการ “ซื้อของ” แต่เป็นพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตแบบแอ็กทิฟ
ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ทดลองสินค้า คลาสโยคะในร้าน หรือการบริการที่เน้นความใส่ใจ ซึ่งช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้อย่างแนบเนียน
สรุปก็คือ แม้ lululemon จะกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ แต่ก็ยังเป็นแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน และมีฐานแฟนเหนียวแน่นอยู่ไม่น้อย
ส่วนคำถามที่ว่า lululemon ยังไหวอยู่ไหม ?
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การที่หุ้นร่วงแรง เป็นผลมาจากการ “รีเซตความคาดหวัง” ของนักลงทุน ไม่ใช่เพราะธุรกิจกำลังจะเจ๊ง
เพราะที่ผ่านมา นักลงทุนเคยตั้งความหวังไว้สูงมากกับ lululemon แต่เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้า ตลาดจึงตอบสนองอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองคือ ในอนาคตอันใกล้ lululemon จะเลือกเดินเกมอย่างไร ?
จะงัดกลยุทธ์ใหม่มาชุบชีวิตแบรนด์ หรือจะต้องรีเซตตัวเองครั้งใหญ่ เพื่อกลับมายืนอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง
ในสมรภูมิ Activewear ที่วันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..
References :
Yahoo Finance, Statista
โฆษณา