4 ชั่วโมงที่แล้ว • ธุรกิจ

เจาะโมเดลธุรกิจ Buy Now Pay Later เจ้าของ Shopee ได้อะไร จากการให้คนไทย ผ่อนส้มตำ

ก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจว่ามีใครเคยคิดมาก่อนไหม ว่าอยากจ่ายค่าส้มตำด้วยการผ่อน
เพราะแต่ก่อนถ้าเราพูดถึงการผ่อนสินค้า ส่วนมากก็จะนึกถึงการผ่อนของชิ้นใหญ่ ๆ อย่างโทรศัพท์ และทีวีมากกว่า
แต่ด้วยการมาถึงของนวัตกรรม “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” หรือ Buy Now Pay Later ก็ทำให้วันนี้เราสามารถผ่อนจ่ายสินค้าชิ้นเล็ก ๆ ได้หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือว่าจะเป็นค่าอาหารอย่างส้มตำสักจานได้แล้ว
ถึงตรงนี้หลายคนน่าจะสงสัย ว่าผู้ให้บริการ Buy Now Pay Later จะได้อะไรบ้าง จากการให้คนในแพลตฟอร์มของตัวเอง ผ่อนจ่ายสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ถ้าจะเข้าใจโมเดลธุรกิจของ Buy Now Pay Later เราต้องเข้าใจโมเดลธุรกิจของเงินผ่อนรุ่นพี่อย่าง “บัตรเครดิต” เสียก่อน
โดยตัวละครในโมเดลธุรกิจนี้จะมี 5 คน ได้แก่
1. ลูกค้าที่เป็นคนถือบัตรเครดิต มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบัตร และเสียดอกเบี้ย
2. ธนาคารผู้ออกบัตรเครดิต เป็นคนเก็บค่าธรรมเนียมบัตรรายปี รวมทั้งดอกเบี้ย
และยังมีอีกรายได้หนึ่งนั่นก็คือค่าธรรมเนียมที่เรียกว่า Interchange Fee
ซึ่งเป็นส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมที่เรียกว่า MDR หรือ Merchant Discount Rate ที่ธนาคารผู้ออกเครื่องรูดบัตรเครดิต เก็บจากร้านค้าแล้วเอามาแบ่งให้
1
3. เครือข่ายการชำระเงิน เช่น Visa และ Mastercard ที่ได้ค่าธรรมเนียมเครือข่ายบัตร ซึ่งก็เป็นส่วนแบ่งมาจากค่าธรรมเนียม MDR เช่นกัน
4. ธนาคารผู้ออกเครื่องรูดบัตรเครดิตให้ร้านค้า มีหน้าที่เก็บค่าธรรมเนียม MDR และหักเอาไว้กับตัวเองส่วนหนึ่ง
1
5. ร้านค้า เป็นคนได้รับเงินของลูกค้า และมีหน้าที่จ่ายค่าธรรมเนียม MDR ให้กับธนาคารที่ออกเครื่องรูดบัตรเครดิต
และรู้หรือไม่ว่า คนที่จะได้ส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียม MDR มากที่สุด คือธนาคารผู้ออกบัตรเครดิต เพราะเป็นทั้งคนแบกรับความเสี่ยงที่ลูกค้าเบี้ยวหนี้ กับต้นทุนในการหาลูกค้า ดูแลลูกค้า และทำโปรโมชัน
1
ทีนี้กลับมาที่โมเดลธุรกิจของผู้ให้บริการ Buy Now Pay Later อย่างเช่น บริษัท Sea Limited เจ้าของแพลตฟอร์ม Shopee ที่มีบริการ SPayLater ให้ใช้กันบ้าง
โมเดลธุรกิจ Buy Now Pay Later นี้ จะแตกต่างกันตรงที่ เมื่อ Shopee เป็นแพลตฟอร์ม e-Commerce ซึ่งจับลูกค้ากับร้านค้ามาเจอกันอยู่แล้ว
ทำให้เมื่อเทียบกับโมเดลธุรกิจบัตรเครดิตที่พูดไปก่อนหน้านี้
Shopee ก็สามารถเป็นทั้งธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตที่เก็บดอกเบี้ยจากลูกค้า และธนาคารผู้ออกเครื่องรูดบัตรเครดิต ที่เก็บดอกเบี้ยจากร้านค้าได้เลยในคนเดียวกัน..
4
โดย Shopee ให้บริการ SPayLater ผ่านบริษัทที่ชื่อว่า บริษัท โมนี่ (แคปปิตอล) จำกัด
หรือที่หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อเดิมมากกว่าอย่าง บริษัท ซีมันนี่ (แคปปิตอล) จำกัด ที่ได้รับใบอนุญาตสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลรายแรกของไทย จากธนาคารแห่งประเทศไทย
1
และผ่าน บริษัท ยูนิคอร์น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ตรงนี้เองที่แพลตฟอร์ม Shopee จึงเป็นเหมือนผู้ออกสินเชื่อให้กับลูกค้าเอาเงินไปใช้ก่อนผ่าน SPayLater
1
และเก็บดอกเบี้ยจากการผ่อนสินค้าตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าปรับจากการผิดนัดชำระ คล้ายกันกับธนาคารออกบัตรเครดิต
ส่วนในด้านของร้านค้า ทาง Shopee ก็จะมีการเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากร้านค้าที่มีบริการ SPayLater ประมาณ 4.5%
1
ซึ่งถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียม MDR ซึ่งธนาคารเก็บจากร้านค้า จะอยู่ที่ประมาณ 1.6% ถึง 2.4% เท่านั้น
ถ้าหากถามว่าทำไมร้านค้าบน Shopee ถึงยอมให้เก็บค่าธรรมเนียมมากขนาดนี้ ?
คำตอบก็คือ การมี SPayLater ให้ลูกค้าใช้ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก
1
โดยทาง Shopee มาเลเซียเอง ก็ได้มีการเปิดเผยข้อมูลว่า ร้านค้าที่ใช้ SPayLater มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 20%
จากทั้งหมดนี้ ก็ทำให้เราสรุปได้อีกครั้งว่า สิ่งที่ทาง Shopee จะได้จากการให้ผู้คนบนแพลตฟอร์ม ผ่อนจ่ายสินค้าด้วย SPayLater ก็คือ
- ดอกเบี้ยที่ได้จากการผ่อนชำระสินค้า รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าปรับจากการผิดนัดชำระ
- ค่าธรรมเนียมจากร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการ SPayLater
ในปัจจุบันนี้ธุรกิจการเงิน ซึ่งรวมบริการ SPayLater ถือเป็นส่วนธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของ Sea Limited เจ้าของแพลตฟอร์ม Shopee และ Garena
โดยจากข้อมูลผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2568 ของ Sea Limited ได้แสดงให้เห็นว่า รายได้ของธุรกิจการเงิน ในช่วง 5 ปีย้อนหลังมานี้ เติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 11.2% เลย
อีกทั้งในด้านของผู้ใช้งาน เพียงแค่ในไตรมาส 2 ปี 2568 ก็มีผู้ใช้งาน SPayLater หน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคนเลย โดยหลัก ๆ แล้วผู้ใช้งาน SPayLater จะมาจาก อินโดนีเซีย, ไทย และมาเลเซีย
ส่วนอัตราส่วนหนี้เสีย ซึ่งวัดจากคนที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ใน 90 วัน ก็มีสัดส่วนอยู่ที่ 1% เท่านั้น และลดลงมาจาก 5 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1.3%
ซึ่งน่าจะมาจากมาตรการของ Shopee ที่ให้วงเงิน SPayLater น้อย ๆ ก่อน และถ้าหากใครมีประวัติการชำระที่ดีก็ค่อยเพิ่มวงเงินให้ทีหลัง
อย่างไรก็ตาม แม้ในปัจจุบันนี้ อัตราส่วนหนี้เสียของ SPayLater จะยังน้อยอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าอัตราส่วนหนี้เสีย จะต่ำอยู่แบบนี้ไปตลอด
1
เพราะเพียงแค่หนี้สินจากการผ่อนสินค้าราคาไม่แพง แต่เมื่อใช้ Buy Now Pay Later จนเพลิน
หนี้สินเล็ก ๆ หลายอันรวมกัน ผนวกกับพลังของดอกเบี้ยทบต้น ก็สามารถทำให้คนที่เคยชำระหนี้ได้เป็นอย่างดี หมุนเงินไม่ทันได้เหมือนกัน
1
ทำให้ถ้าถึงวันที่ผู้กู้ส่วนใหญ่ ประสบปัญหาทางการเงิน จนไม่สามารถจ่ายหนี้ Buy Now Pay Later ได้
เราก็อาจจะได้เห็นกฎระเบียบหรือมาตรการใหม่ ๆ ที่เข้มงวดขึ้น ทั้งจากตัวแพลตฟอร์มและภาครัฐก็เป็นได้..
1
#ธุรกิจ
#โมเดลธุรกิจ
#SPayLater
โฆษณา