1 พ.ย. เวลา 02:05 • ไลฟ์สไตล์

"เงินเฟ้อ" ยาพิษที่กัดกร่อนชีวิตเรา

เงินเฟ้อเปรียบเสมือนยาพิษที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายเราอย่างช้าๆ มันไม่ปรากฏให้เห็นชัดเจนในทันที แต่ค่อยๆ บั่นทอนกำลังซื้อของเราทีละน้อย เหมือนสนิมที่กัดเหล็กจนผุกร่อนโดยไม่มีใครทันสังเกตุ ทั้งนี้เพราะตัวเลขเงินเฟ้อที่มักรายงานในข่าวจะอยู่ต่ำเตี้ยเพียง 1-2% เท่านั้น ทำให้เราไม่ค่อยกังวลใจ แต่หากสังเกตุดีๆตัวเลข CPI (Consumer Price Index) ที่ถูกใช้เป็นดัชนีชี้วัดนั้น กลับแตกต่างจากราคาค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในชีวิตจริงอย่างมาก ทำไมจึงเกิดช่องว่างเช่นนี้?
# CPI สะท้อนค่าครองชีพในชีวิตประจำวันหรือไม่?
ความจริงแล้วตะกร้า CPI ไม่ได้สะท้อนชีวิตจริงทั้งหมด มันคือการเฉลี่ยราคาสินค้าและบริการจำนวนหนึ่ง เช่น ข้าวสาร น้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน แล้วถ่วงน้ำหนักตามสมมติฐานการใช้จ่ายของครัวเรือน แต่พฤติกรรมจริงของผู้คนต่างกันไป คนเมืองต้องเช่าบ้าน กินข้าวนอกบ้าน เดินทางด้วยรถยนต์หรือรถไฟฟ้า ซึ่งสินค้าและบริการเหล่านี้มักขึ้นราคาเร็วกว่าค่าเฉลี่ยในดัชนี
นอกจากนี้ สินค้าที่เลี่ยงไม่ได้ เช่น ค่าอาหารสด น้ำมัน ค่ารักษาพยาบาล มักพุ่งแรง ขณะที่สินค้าไม่จำเป็นบางอย่าง เช่น โทรทัศน์หรือสมาร์ตโฟน อาจถูกลงจากการแข่งขันและเทคโนโลยี เมื่อเอามาเฉลี่ยกัน ตัวเลข CPI จึงดูเบากว่าภาระที่ผู้คนแบกรับจริง
ที่สำคัญ ผู้จัดทำ CPI ยังปรับน้ำหนักสินค้าและสมมติฐานการบริโภคเป็นระยะๆ เช่น หากเนื้อวัวแพงขึ้นมาก อาจสมมติว่าผู้บริโภคหันไปกินเนื้อไก่แทน ทำให้แรงขึ้นราคาของเนื้อวัวไม่สะท้อนเต็มๆ อยู่ในดัชนี ทั้งที่ในความจริง หลายครอบครัวยังคงบริโภคเนื้อวัวเหมือนเดิม และต้องจ่ายแพงขึ้นเรื่อยๆ ผลลัพธ์ก็คือค่าครองชีพจริงสูงกว่า “เงินเฟ้อทางสถิติ” อย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อรายได้หรือค่าแรงปรับขึ้นปีละเพียง 2–3% แต่ค่าเช่า ค่าอาหาร และค่าเดินทางขึ้น 7–10% ต่อปี ช่องว่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายจึงยิ่งถ่างกว้างออกทุกที
#ต้นตอของเงินเฟ้อ
ที่มาของเงินเฟ้อในระบบ ต้องมองย้อนกลับไปในระบบการเงินระดับโลก ซึ่งมีดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักทำหน้าที่เหมือนเส้นเลือดใหญ่ ทุกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐเจอปัญหาภาวะวิกฤตแล้วเลือกพิมพ์เงินเพิ่ม หรือทำ QE (Quantitative Easing) อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ผลกระทบจะกระจายออกไปทั่วโลก เงินดอลลาร์ที่ล้นตลาดทำให้ค่าเงินผันผวนและกดดันประเทศคู่ค้าอย่างไทยโดยตรง
เมื่อดอลลาร์แข็ง เงินบาทอ่อน ราคานำเข้าพุ่งสูง ทั้งน้ำมันดิบ วัตถุดิบอุตสาหกรรม ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่เราใช้ทุกวัน สุดท้ายแล้ว แม้คนไทยจะไม่ได้มีส่วนในการพิมพ์เงินเหล่านั้น แต่กลับต้องรับผลเต็มๆ ผ่านค่าครองชีพที่หนักหน่วงกว่าตัวเลข CPI บนกระดาษ
และแม้เงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกคนบนโลก ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯเอง แต่ก็ยังมีทฤษฎีที่น่าสนใจในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ว่า สหรัฐฯ เองอาจ “ตั้งใจ” ปล่อยให้เงินเฟ้อเกิดขึ้น เพื่อใช้มันเป็นเครื่องมือบรรเทาภาระหนี้สาธารณะของตน เพราะหากรัฐบาลกู้เงินจำนวนมหาศาลแล้วปล่อยให้เกิดเงินเฟ้อ หนี้ที่เป็น “ตัวเลขคงที่” จะค่อยๆ เสื่อมค่าลงไปโดยปริยาย เงินที่ต้องใช้คืนเจ้าหนี้ในอนาคตจะมีมูลค่าน้อยกว่าเงินที่กู้มาในวันนี้
จึงกล่าวได้ว่า เงินเฟ้อ เป็นไพ่ใบสำคัญ ที่จะทำหน้าที่ลดมูลหนี้จริงให้เล็กลง อีกทั้งยังทำให้รายได้ภาษีของรัฐเพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าและค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยให้ชำระหนี้ได้ง่ายกว่าเดิม
นอกจากนี้หากมองให้ลึกลงไปยิ่งกว่านั้น อาจคิดได้ว่ากลุ่มผู้นำหรือชนชั้นบนเองอาจมองเงินเฟ้อเป็น “โอกาส” มากกว่าภัยร้าย เพราะในขณะที่คนชั้นล่างถูกกดดันจากค่าครองชีพที่พุ่งไม่หยุด คนที่ถือครองสินทรัพย์จำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ กลับได้ประโยชน์เต็ม ๆ จากราคาทรัพย์สินที่สูงขึ้น
เงินเฟ้อในมุมนี้จึงเปรียบเหมือนเครื่องจักรที่ย้ายความมั่งคั่งจากประชาชนส่วนใหญ่ไปสู่คนส่วนน้อยที่มีอำนาจ ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่ดอกเบี้ยลอยตัวสูงขึ้นก็ทำให้ชนชั้นล่างอ่อนแรงลงไปอีก
หากสมมุติฐานนี้เป็นจริง เงินเฟ้อไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือจัดการเศรษฐกิจ แต่คือ “กลยุทธ์ซ่อนเร้น” ในการสร้างความเหลื่อมล้ำและเพิ่มอำนาจต่อรองของชนชั้นนำ เพราะเมื่อคนส่วนใหญ่ยากจนลง อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและการเมืองก็จะไหลไปสู่ผู้ที่ครอบครองทรัพยากรได้มากที่สุด
#เราจะอยู่รอดได้อย่างไร
การเอาตัวรอดจากยาพิษชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งแรกคือการยอมรับว่าเงินสดที่นอนนิ่งอยู่ในบัญชีธนาคารกำลังเสื่อมมูลค่า หนึ่งร้อยบาทวันนี้มีค่ามากกว่าหนึ่งร้อยบาทในปีหน้า การหาทางกระจายเงินไปยังสินทรัพย์ที่เติบโตเร็วกว่าความเสื่อมของค่าเงินจึงสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นของกิจการที่มีอำนาจต่อรองราคา อสังหาริมทรัพย์ที่ปรับค่าเช่าได้ตามเงินเฟ้อ หรือทองคำซึ่งเป็นที่พักพิงยามค่าเงินผันผวน การลงทุนเหล่านี้อาจไม่ทำให้รวยเร็ว แต่ช่วยรักษามูลค่าเงินที่เราหามาอย่างยากลำบาก
นอกจากนี้ การลงทุนในตัวเองคือเกราะที่แข็งแรงที่สุด หากรายได้หรือทักษะของเราสามารถเติบโตได้เร็วกว่าค่าครองชีพ เราจะยังสามารถอยู่รอดได้แม้เงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น ส่วนสิ่งสำคัญอีกเรื่องคือการจัดการหนี้ โดยเฉพาะหนี้ดอกเบี้ยแบบลอยตัว เพราะเงินเฟ้อมักมาพร้อมกับการปรับขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้นหากไม่รีบจัดการ มันอาจกลายเป็นกับดักที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเงินเฟ้อเสียอีก
เงินเฟ้อจึงไม่ใช่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่คือสนามรบที่มีผู้แพ้และผู้ชนะ หากเรายืนเฉย มันจะกลืนกินเราไปทีละน้อย แต่หากเรารู้เท่าทัน ปรับตัว และเลือกข้างให้ถูก เราก็ยังพอมีโอกาส ไม่เพียงแค่เอาตัวรอด แต่ยังสามารถใช้คลื่นลูกนี้เป็นแรงส่งสู่การเติบโตได้อีกด้วย
โฆษณา