เมื่อวาน เวลา 15:51 • การเมือง

จีนต้องการก๊าซรัสเซีย แต่ท่อก๊าซสายใหม่คืบหน้าช้ามาก

จีนกำลังเจรจาเงื่อนไขอะไรกับรัสเซีย ไม่ใช่แค่บีบราคาอย่างเดียว
การประกาศความคืบหน้าในการเจรจาโครงการท่อส่งก๊าซ Power of Siberia 2 (โครงการสอง) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการเยือนจีนของคณะผู้แทนรัสเซียในเดือนกันยายนนั้น เราก็พอจะเดาได้ไม่ยาก
การวิเคราะห์ถึงความต้องการทางเศรษฐกิจของจีนบ่งชี้ว่า จีนต้องการซัพพลายก๊าซผ่านท่อส่งนี้ภายในประมาณปี 2030 บวกลบ และโครงการนี้จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณห้าปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์
เหตุผลของจีนคือ ต้องการก๊าซเพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องป้องกันความเสี่ยงจากการนำเข้าในกรณีที่เกิดวิกฤตทางภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะที่รัสเซียมีปริมาณก๊าซเหลือเฟืออยู่และต้องการชดเชยจากการถอนตัวการนำเข้าก๊าซของยุโรปเนื่องจากถูกคว่ำบาตร
แต่จริงแล้วมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่านั้นที่ทำให้จีนยังกั๊กไม่เดินหน้าเต็มตัวเรื่องนำเข้าก๊าซรัสเซียผ่านการก่อสร้างท่อสายใหม่ ไม่ใช่แค่ว่าต้องการกดราคารัสเซีย มันมีเงื่อนไขทางการเมืองจากท่อก๊าซสายแรกอะไรแอบซ่อนอยู่อีกหรือไม่
ประธานาธิบดีรัสเซีย-จีน-มองโกเลีย (ซ้าย-กลาง-ขวา) เครดิตภาพ: Sergey Bobylev / TASS / Profimedia
  • แหล่งก๊าซของรัสเซีย
ปัจจุบันการค้าก๊าซระหว่างรัสเซียและจีนมีโครงสร้างที่ยังคงมองว่า “จีนเป็นผู้ซื้อรายเดียวที่สามารถเจรจาขอปรับเปลี่ยนปริมาณก๊าซที่รัสเซียพร้อมจัดหาได้ตลอด” และนี่ไม่ใช่แค่การสูญเสียตลาดยุโรปเท่านั้น
ปริมาณก๊าซสำรองในยามาลมีมากจนการจัดหาให้กับยุโรปเพียงอย่างเดียวก็ยังมีเหลือเฟือสำหรับรัสเซีย แม้แต่ในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูงสุดในยุโรป ปี 2014 รัสเซียก็ยังไม่สามารถสร้างรายได้จากแหล่งก๊าซเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ (Not fully utilized) จนกระทั่งปี 2022 สงครามยูเครนเต็มรูปแบบเริ่มและรัสเซียถูกทางยุโรปคว่ำบาตร ปริมาณก๊าซสำรองจึงมีล้นมาก
ถึงกระนั้น “ก๊าซพรอม” ก็กำลังวางแผนที่จะส่งออกก๊าซจากแหล่งยามาลไปยังจีน แม้จะอยู่ห่างจากตลาดจีนค่อนข้างมาก แต่ก็อาจทำกำไรได้ เนื่องจากสภาพธรณีวิทยาของแหล่งยามาลทำให้ต้นทุนก๊าซที่บ่อมีราคาต่ำ เมื่อพิจารณาว่าภูมิภาคนี้ได้รับการพัฒนาและเข้าสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมแล้วในช่วงทศวรรษ 2010 ด้วยการเปิดตัวแหล่งโบวาเนนโคโว การเพิ่มปริมาณการผลิตอีกหลายพันล้านลูกบาศก์เมตรจึงยิ่งทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก
การก่อสร้างท่อส่งก๊าซจากยามาลไปยังจีนเป็นโครงการขนาดใหญ่และมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็ไม่ได้มีลักษณะเฉพาะตัวเกินไปจนต้นทุนก่อสร้างโดดมาก ระยะทางจาก “ยามาล” ไปยัง “คยาคตา” พรมแดนมองโกเลียนั้นใกล้เคียงกับระยะทางจากอูเรนกอยไปยังพรมแดนยูเครน และระยะทางที่ผ่านมองโกเลีย (935 กิโลเมตร) ก็เกือบเท่ากับเส้นทางท่อก๊าซที่พาดผ่านในยูเครน
แม้ว่าต้นทุนการขนส่งจากยามาลไปยังพรมแดนมองโกเลีย-จีนจะอยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อพันลูกบาศก์เมตร แต่ต้นทุนรวมในการสกัดและส่งมอบก๊าซจากรัสเซียไปยังตลาดจีนจะต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
เครดิตภาพ: Graphic News
  • โอกาสรัสเซียสำหรับตลาดจีน
ปัจจุบันจีนใช้ก๊าซธรรมชาติมากกว่า 4 แสนล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ประมาณ 60% ได้มาจากการผลิตภายในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นการนำเข้า ประมาณครึ่งหนึ่งของก๊าซธรรมชาตินำเข้าของจีนมาจากท่อส่ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและเติร์กเมนิสถาน และอีกครึ่งหนึ่งนำเข้าในรูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)
จริงอยู่ที่ปัจจุบันจีนเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะยังคงเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติในอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าของประเทศยังคงอยู่ในระดับต่ำ และสัดส่วนการใช้ถ่านหินยังคงสูงกว่า 50%
การเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินเป็นก๊าซในการผลิตไฟฟ้าช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณครึ่งหนึ่ง และในภาคส่วนสาธารณะการเลิกใช้ถ่านหินและหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวิธีง่ายๆ ในการปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง ซึ่งกำลังกลายเป็นภารกิจสำคัญของจีน
การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในทศวรรษหน้าอาจช่วยชะลอการเติบโตของการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงและช่วยลดสัดส่วนการใช้ถ่านหิน แต่ไม่น่าจะหยุดยั้งการเติบโตของความต้องการใช้ก๊าซได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนผ่านภาคการขนส่งโดยใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง จีนกำลังเปลี่ยนรถบรรทุกเป็นแบบใช้ก๊าซจำนวนมาก รวมถึงเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน
เครดิตภาพ: Statista / CGTN America
ผลการศึกษาของ CNPC บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของจีนคาดการณ์ว่า การผลิตก๊าซธรรมชาติของจีนจะสูงสุดที่ 280-310 พันล้านลูกบาศก์เมตรระหว่างปี 2035 ถึง 2040 ซึ่งหมายความว่าภายในครึ่งหลังของทศวรรษ 2030 การนำเข้าก๊าซธรรมชาติทั้งหมดของจีนน่าจะเพิ่มขึ้นจาก 180 พันล้านลูกบาศก์เมตรในปัจจุบัน เป็น 290-390 พันล้านลูกบาศก์เมตร (โดดขึ้นเป็นประมาณ 2 เท่า)
ปัจจุบันประมาณ 1/3 ของการนำเข้า LNG ของจีนมาจาก “กาตาร์” อีก 1/3 มาจาก “ออสเตรเลีย” 1/10 จาก “รัสเซีย” และ “มาเลเซีย” และที่เหลือมาจากผู้ส่งออกรายอื่น การผลิต LNG ในกาตาร์และรัสเซียจะยังคงอยู่ในระดับปัจจุบันหรือเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ตามการคาดการณ์สำหรับออสเตรเลียและมาเลเซียบ่งชี้ว่าการผลิตและการส่งออกจะลดลงในช่วงทศวรรษ 2030 เนื่องจากความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นและการหมดลงของฐานทรัพยากรในประเทศ ดังนั้นจีนจึงจำเป็นต้องมองหาแหล่งก๊าซใหม่เพื่อทดแทนการจัดหาจากประเทศเหล่านี้ แม้จะมีความหวังสำหรับโครงการ LNG ขนาดใหญ่ใหม่ๆ ใน “โมซัมบิก” และ “แทนซาเนีย” แต่โครงการเหล่านี้อาจไม่ครอบคลุมช่องว่างที่ขาดหายไปได้ทั้งหมด
กำลังการผลิต LNG ทั่วโลกจะเติบโตขึ้นเกือบ 3 แสนล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีภายในปี 2030 อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นนี้จะกระจายไม่เท่าเทียมกัน กล่าวคือประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณใหม่จะมาจากสหรัฐอเมริกา อีก 20% มาจากกาตาร์ และประมาณ 10% มาจากแคนาดา (อเมริกาจะเป็นผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ของโลก)
เครดิตภาพ: EIA
การพึ่งพาซัพพลาย LNG จากสหรัฐฯ เป็นเรื่องยากสำหรับจีน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก
  • ประการแรก: ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาไต้หวัน
  • ประการที่สอง: สหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นทั้งภัยคุกคามทางทหาร การเมือง และเศรษฐกิจ ทั้งรัฐบาลของพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันกำลังทำสงครามการค้ากับจีน และทางการจีนก็กำลังตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
ลึกๆ จีนและสหรัฐมีความสนใจที่จะสานต่อการค้ากัน แต่ทั้งสองประเทศก็มุ่งมั่นที่จะลดการพึ่งพาซึ่งกันและกันให้น้อยที่สุด และจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีอำนาจต่อรอง จีนได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการจำกัดการส่งออกวัตถุดิบ ซึ่งในกรณีนี้คือแร่ธาตุสำคัญ สามารถเป็นข้อโต้แย้งที่ทรงพลังในข้อพิพาททางการค้าได้ แต่ก็เข้าใจดีว่าหากเศรษฐกิจจีนต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าบางอย่างจากสหรัฐฯ จุดอ่อนดังกล่าวก็มีแนวโน้มที่จะถูกฉวยโอกาสเช่นกัน
จีนไม่น่าจะเพิ่มการซื้อ LNG จากสหรัฐได้ เพราะในปี 2021 สหรัฐมีอันดับ 2-3 ร่วมกับกาตาร์ในบรรดาผู้ส่งออก LNG ไปยังจีน แต่ในปี 2024 สหรัฐตกลงมาอยู่อันดับที่ 4 โดยมีส่วนแบ่งประมาณ 5% เรือลำสุดท้ายที่บรรทุก LNG เข้ามายังจีนได้ออกจากท่าเรือในอเมริกาในช่วงกลางพฤศจิกายน 2024 และตั้งแต่นั้นมาจีนก็หยุดซื้อก๊าซเหลวจากสหรัฐอเมริกา
ภาวะชะงักงันที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อช่วงสมัยแรกของ “ทรัมป์” เขาได้เปิดฉากสงครามการค้ากับจีน ซึ่งจบลงด้วยข้อตกลงสำคัญ แต่ความขัดแย้งในปัจจุบันดูเหมือนจะลึกซึ้งและยืดเยื้อมากขึ้น และจีนก็ตระหนักถึงอำนาจการต่อรองของตนมากขึ้น
จีนกำลังใช้ท่าทางแสดงออกที่เน้นย้ำถึงความแข็งแกร่ง ความเป็นอิสระ และความสามารถในการต้านทานแรงกดดันจากอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดจากตัวอย่างแรกคือ การส่งมอบ LNG ผ่านการขนส่งทางเรือบรรทุกผ่านเส้นทางทะเลเหนือที่มีแผ่นน้ำแข็ง ให้กับจีนจากโครงการ “Arctic LNG 2” (ใกล้กับแหล่งยามาล) ของรัสเซียที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตร
ยิ่งไปกว่านั้นการทดลองจัดซื้อ LNG ครั้งแรกกำลังกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาชาวโลก และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการประชุมสุดยอด SCO ที่เทียนจิน
เครดิตภาพ: Mitsui O.S.K. Lines
สำหรับ “จีน” ก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียและเอเชียกลางมีข้อได้เปรียบสำคัญเหนือแหล่งผลิต LNG เกือบทั้งหมด หากความตึงเครียดระหว่างจีนและตะวันตกทวีความรุนแรงขึ้น การส่งมอบ LNG ไปยังจีนอาจเป็นปัญหา การขนส่งจากกาตาร์และแอฟริกาผ่านช่องแคบมะละกาและไต้หวัน การขนส่งจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลียลงเอยในทะเลจีนใต้ โดยเลี่ยงช่องแคบมะละกา แต่ความจำเป็นในการเดินเรือผ่านไต้หวันยังคงสำคัญอยู่
ความเสี่ยงอีกประการหนึ่งคือ โครงการ LNG ขนาดใหญ่เกือบทั้งหมดทั่วโลกต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างมากจากบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและประเทศสมาชิกนาโตอื่นๆ ด้วยเหตุนี้การจัดหา LNG จากรัสเซียและเอเชียกลางผ่านท่อส่งภายในภูมิภาคเอเชียด้วยกันเองจึงเป็นเครื่องประกันความเสี่ยงที่ดีสำหรับจีน
  • การเจรจาต่อรองด้วยสามปัจจัย
จีนมีความต้องการก๊าซ รัสเซียมีปริมาณก๊าซจำนวนมากเหลือเฟือ แต่ยังคงมีประเด็นพื้นฐานหนึ่งที่อาจสร้างอุปสรรคต่อการขยายการค้าของรัสเซียในทางทฤษฎี นโยบายที่ไม่เป็นทางการของปักกิ่งคือ ผู้ส่งออกทรัพยากรสำคัญรายใดรายหนึ่งเข้ามายังจีนไม่ควรมีส่วนแบ่งตลาดที่มากเกินไป (ไม่ผูกขาดจนเกินไป)
ขณะเดียวกันปริมาณก๊าซที่รัสเซียจัดหาให้จีนทั้งในปัจจุบันและที่ทำสัญญาไว้ล่วงหน้าทำให้ส่วนแบ่งของรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างมาก กำลังพูดถึงปริมาณ 3.8 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีผ่านโครงการ Power of Siberia 1 ปริมาณก๊าซที่เพิ่มขึ้นอีก 6 พันล้านลูกบาศก์เมตรตลอดเส้นทางนี้ ปริมาณ 1 + 0.2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรจาก Sakhalin รวมเป็นทั้งหมด 5.6 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร
นี่ยังไม่รวมปริมาณก๊าซรูปแบบของเหลวหรือ LNG ของรัสเซียจำนวนมากเข้าไปด้วยอีก ตัวเลขดังกล่าวอาจทำให้เกิดส่วนแบ่งที่สูงเกินไป ซึ่งจีนไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่ในปัจจุบันจีนยังควบคุมระดับการนำเข้าก๊าซจากรัสเซียในระดับที่มีนัยสำคัญจริงแต่ถือว่ายังรับได้อยู่
เครดิตภาพ: Dreamstime.com
สำหรับฝ่ายรัสเซียแล้ว ย่อมอยากให้โครงการ Power of Siberia 2 รีบเกิด และมีการขยายการส่งก๊าซของรัสเซียเข้ามายังจีน เพื่อป้อนรายได้เข้าเศรษฐกิจของรัสเซีย แต่นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องทางการเมืองและด้านตัวเลขต้นทุนเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วยที่ทำให้โครงการนี้ไม่เดินหน้ามากนัก
สำหรับรัสเซียแล้ว ราคาก๊าซผ่านท่อส่งที่ชายแดนจีนอยู่ที่ประมาณ 120-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อพันลูกบาศก์เมตร ซึ่งเรียกได้ว่าแทบไม่ได้กำไรแล้ว สำหรับจีนทางเลือกอื่นนอกเหนือจากก๊าซผ่านท่อของรัสเซียคือ LNG ซึ่งมีราคาเฉลี่ย 370 ดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้พื้นที่การเจรจาเรื่องราคามันมีหน้าต่างที่กว้างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความซับซ้อนของข้อตกลง เนื่องจากแต่ละฝ่ายย่อมมีข้อมูลหรือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับข้อเสนอที่กำลังหารือกันในระหว่างการเจรจากับอีกฝ่ายหนึ่ง
ผู้เจรจาการค้าของรัสเซียรู้ดีว่าพวกเขาได้ตกลงเงื่อนไขที่ตัวเองเสียเปรียบมากสำหรับโครงการ Power of Siberia 1 เมื่อเทียบกับผู้ขายก๊าซรายอื่นให้จีน ก๊าซจากเติร์กเมนิสถานถูกขายที่ชายแดนจีนโดยใช้สูตรคำนวณจากต้นทุนเกือบจะเหมือนกับก๊าซจากรัสเซีย แต่เขาขายราคาได้สูงกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อพันลูกบาศก์เมตร ทั้งๆ ที่ก๊าซจากรัสเซียถูกส่งไปที่ชานเมืองปักกิ่ง แต่ก๊าซจากเติร์กเมนิสถานส่งไปที่ชายแดนตะวันตกสุดของจีน
รัสเซียอาจต้องการแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตและเจรจาเงื่อนไขอย่างน้อยให้ได้เทียบเท่ากับที่ประเทศในเอเชียกลางใช้ขายให้จีนได้ นักเจรจาจีนก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน และข้อเท็จจริงนี้ถือเป็นจุดยึดเหนี่ยวสำหรับการเจรจาครั้งใหม่ ทำไมจีนจึงต้องผ่อนปรนในตอนนี้ ในเมื่อความเคี่ยวเคยใช้ได้ผลในช่วงเวลาที่รัสเซียอยู่ในสถานะที่สบายใจกว่ามาก?
เครดิตภาพ: Radio Free Asia
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องของระยะเวลาและความยืดหยุ่นของสัญญาด้วย รัสเซียคงอยากเรียกร้องระยะสัญญาที่ยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยมีความยืดหยุ่นน้อยที่สุด (ไม่ใช่ปรับเงื่อนไขกันได้ง่ายๆ) ต้นทุนหลักคือค่าก่อสร้างท่อส่งก๊าซ ซึ่งเป็นการลงทุนแบบต้นทุนคงที่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งจะค่อยๆ จ่ายผลตอบแทนทุกๆ พันลูกบาศก์เมตร
ในเชิงเศรษฐศาสตร์ เรื่องนี้คล้ายกับการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์มาเพื่อปล่อยเช่า เจ้าของต้องการให้มีผู้เช่าทำสัญญายาวๆ และมีเครดิตดีจ่ายตรง ยิ่งความผันผวนของกระแสเงินสดในอนาคตที่คาดการณ์ไว้สูงเท่าใด ราคาที่ขอซื้อก็จะสูงขึ้นเท่านั้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เท่าเทียมกันเมื่อปรับตามความผันผวนนี้
อายุโครงการในเชิงพาณิชย์ก็มีความสำคัญเช่นกัน หากมีความมั่นใจว่าโครงการจะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำภายใน 25 ปี การชำระเงินในปัจจุบันอาจลดลง หากอนาคตไม่แน่นอน มันก็ต้องการให้โครงการจ่ายผลตอบแทนได้โดยเร็ว เพื่อครอบคลุมต้นทุนการก่อสร้างตลอดระยะเวลาที่มีกระแสเงินสดค้ำประกัน
ในกรณีของสัญญาก๊าซรัสเซีย-จีน ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ราคาขายอย่างเดียว แต่มีทั้ง 3 มิติ คือ “ราคา – ความยืดหยุ่น – ระยะเวลา” สำหรับจีนแล้ว เห็นได้ชัดว่าหากตัดเรื่องการเมืองออกไป หลังจากสร้างท่อแล้ว การจัดหาก๊าซตามเส้นทางนี้จะสามารถพึ่งพาได้เป็นเวลาหลายปี
แต่จีนมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับความต้องการก๊าซในอีก 15-20 ปีข้างหน้า และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นคำถามสำคัญ ยากที่จะคาดการณ์ว่าภาคพลังงานหมุนเวียนของจีนจะพัฒนาได้เร็วเพียงใด (เปลี่ยนผ่านไว ก็พึ่งก๊าซน้อยลง)
ความยืดหยุ่นก็เป็นปัจจัยหนึ่ง จีนซื้อ LNG บางส่วนภายใต้สัญญาซื้อขายแบบ Spot (ส่งมอบหลังซื้อขายจ่ายเงินทันที) และก๊าซของรัสเซียก็มีราคาผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับที่อื่น ทำนายราคาในอนาคตได้ยาก บางทีการทำสัญญาระยะยาวแบบ Future สำหรับการจัดหาก๊าซอาจเป็นประโยชน์เพื่อบรรเทาความตึงเครียดในความสัมพันธ์กับสหรัฐของจีน
การทำสัญญาระยะยาวย่อมมีความลังเล แต่ผู้ซื้อหรือผู้ขายที่ลังเลมักจะรู้ดีว่าคู่สัญญามีทางเลือกอื่น ดังนั้นข้อตกลงจึงต้องเกิดขึ้น มิฉะนั้นจะมีคนอื่นเข้ามาแย่งดีล ในกรณีนี้รัสเซียไม่มีทางเลือกอื่น จีนจึงเสี่ยงที่จะลงทุนกับรัสเซีย เพียงแต่การส่งมอบก๊าซจะเริ่มในภายหลัง
เครดิตภาพ: Aleksandr Potolitsyn / The Times of Central Asia
นั่นคือเหตุผลที่การเจรจาจึงยืดเยื้อ
  • ประการแรก: จีนกำลังพยายามขจัดความไม่แน่นอนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแง่ของปริมาณและเงื่อนไขที่จำเป็น
  • ประการที่สอง: จีนกำลังทดสอบว่าสามารถบีบบังคับรัสเซียได้มากเพียงใดในแง่ของราคาและเงื่อนไขอื่นๆ
สำหรับจีนแล้ว ทั้งสองข้อนี้แทบจะไร้ข้อผูกมัด ผู้เจรจาของจีนไม่เห็นความเสี่ยงใดๆ ที่ข้อตกลงจะล้มเหลว และพวกเขาจะต้องยอมรับทางเลือกที่แย่กว่ามาก
ในทางกลับกันในอดีต จีนอาจเคยให้ความสำคัญกับการไม่ทำให้สหรัฐฯ ขุ่นเคืองด้วยการแสดงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับรัสเซียมากเกินไปอย่างเปิดเผย และไม่ดำเนินการใดๆ ที่ดูเหมือนจะสนับสนุนรัสเซียในยูเครน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการพิจารณาเช่นนี้ไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไปเมื่อเทียบกับความขัดแย้งที่ใหญ่ขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งการแสดงออกถึงท่าทีบ้างก็มีผลดี
เรียบเรียงโดย Right Style
17th Sep 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: (พื้นหลัง) Natalie Peeples / Axios (ในวงรี) The Economist>
โฆษณา