5 ชั่วโมงที่แล้ว • ธุรกิจ

เป๊บซี่ แลก กองเรือรบ ดีลสุดแปลกแต่เกิดขึ้นจริง

“เป๊บซี่” น้ำอัดลมสีดำชื่อดังสัญชาติอเมริกันที่ครองใจสายน้ำหวานทั่วโลกมายาวนาน 125 ปี คู่แข่งอันสมน้ำสมเนื้อกับ “โค๊ก” คู่ต่อสู้สัญชาติเดียวกันที่แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมานานนับศตวรรษ และต่างก็มีสาวกเป็นของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันทั้งสองบริษัทครองตลาดเครื่องดื่มรวมกันถึง 63% ทั่วโลก และเป็นหนึ่งใน “American soft power” ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันผู้คนทั่วโลก
ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมาทั้งสองบริษัทเกิดข้อตกลงทางการค้ามากมายกับคู่ค้าทั่วโลก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นับว่าเป็นดีลครั้งประวัติศาสตร์ที่แปลกที่สุดจนกลายเป็นกรณีศึกษาของโลกกันเลยทีเดียว เมื่อมีอยู่หนึ่งประเทศที่ยอมนำกองเรือรบซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ด้านความมั่นคงของประเทศมาแลกกับสิทธิ์การผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดำอัดลม จนกลายเป็นตำนานของโลกธุรกิจจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็คือ สหภาพโซเวียตยอมแลกเป๊บซี่ด้วยกองเรือรบ
ใช่…โซเวียตเอาเรือรบไปแลกเป๊บซี่ โดยที่มาที่ไปของดีลนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เข้าสู่ยุคของ “นิกิตา ครุสชอฟ” ผู้นำสหภาพโซเวียต ที่ขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจาก “โจเซฟ สตาลิน” ในช่วงปี 1953-1964 ซึ่งเป็นช่วงที่โซเวียตเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมจากโลกภายนอกมากขึ้นหลังขังตัวเองอยู่หลังม่านเหล็กมายาวนาน
ครุสชอฟ มีแนวคิดไปทางตะวันตก และมีความสัมพันธุ์อันดีกับโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เลยต้องการการปฏิรูปประเทศให้มีความทันสมัยและมีเสรีภาพมากขึ้น ตั้งแต่การยกเลิกค่ายแรงงาน สั่งให้จำกัดและลดอำนาจของหน่วยงานตำรวจลับลง หรือที่รู้จักกันในชื่อของ KGB เปิดประเทศให้นานาชาติรู้จักมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนเดินทางไปต่างประเทศได้อีกต่างหาก
ไม่เพียงเท่านั้นครุสชอฟยังอนุญาตให้จัดนิทรรศการแห่งชาติของอเมริกัน (American National Exhibition) ในกรุงมอสโก เพื่อให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาแสดงสินค้าและเผยแพร่วัฒนธรรมของโลกทุนนิยมได้อย่างเสรี
อีกฟากหนึ่งของโลก เป๊บซี่กำลังเติบโตอย่างร้อนแรงโดยผลิตภัณฑ์ชูโรงก็คือน้ำอัดลมสีดำ ที่เรียกได้ว่าครองใจนักดื่มทั่วทั่งสหรัฐและเป็นคู่แข่งสำคัญของโคคา-โคล่า หรือ โค๊ก ที่ครองตลาดมาก่อนหน้านั้นหลายปี
ช่วงปี 1959 โดนัลด์ เอ็ม. เคนดัลล์ หัวหน้าฝ่ายขายที่ดูแลด้านการขายระหว่างประเทศของเป๊บซี่ ทราบข่าวว่าโซเวียตอ้าแขนเปิดประเทศรับการลงทุน และกำลังจะมีงานนิทรรศการใหญ่ของอเมริกาในมอสโก จึงมองเห็นโอกาสครั้งสำคัญในการขยายตลาดไปยังประเทศที่เคยเป็นคู่แค้นของสหรัฐฯ โดยจะนำน้ำอัดลมเป๊บซี่แสดงที่นิทรรศการด้วย
อีกทั้งโค๊กก็ยังไม่ได้เข้าไปทำตลาดในโซเวียต ทำให้ตลาดภายในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้กลายเป็นโอกาสทองที่สามารถประสบความสำเร็จมากที่สุด และกอบโกยฐานลูกค้าได้ก่อนใคร
แต่ใช่ว่าเคนดัลล์จะไม่มีความกังวล เพราะการเดินทางไปยังประเทศที่ครั้งหนึ่งเป็นคู่แข่ง เป็นมหาอำนาจโลกฝ่ายสังคมนิยม ซึ่งเป็นขั้วทางการเมืองตรงข้ามกับสหรัฐฯ ที่เป็นระบอบเสรีนิยม ท่ามกลางสถานการณ์ที่โลกยังอยู่ในภาวะสงครามเย็น ย่อมสร้างความหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ทั้งการที่เป๊บซี่จะเข้าถึงตลาดภายในโซเวียตได้หรือไม่? ทั้งจากความไม่คุ้นเคยกับสังคมประเทศคอมมิวนิสต์ ซึ่งการไปมอสโกครั้งนั้นอาจจะประสบความสำเร็จ หรืออาจจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงได้เช่นกัน ถ้าคนโซเวียตไม่เข้าใจเครื่องดื่มอัดลมสีดำที่เขานำไปด้วย
ความโชคดีของเคนดัลล์คือ เขามีความสนิทสนมกับ ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐในเวลานั้น เขาให้สัมภาษณ์กับทาง หนังสือพิมพ์ The New York Times ว่า มีการขอนัดพบกับนิกสันที่สถานเอกอัครราชทูต และบอกว่าครอบครัวของเขากังวลใจไม่น้อย ที่ต้องเดินทางไปประเทศคอมมิวนิสต์ และการไปครั้งนี้อาจจะประสบความล้มเหลวสูงกว่าสำเรจ
เคนดัลล์เลยขอให้นิกสันช่วยยื่นแก้วเป๊บซี่ให้กับครุสชอฟระหว่างที่กำลังสนทนากัน เพราะต้องให้มันอยู่ในมือของผู้นำสูงสุดของโซเวียตเพื่อให้เชาได้ลองชิมเท่านั้น เพราะนั่นคือการโฆษณาที่ทรงพลังที่สุด และเป็นการเปิดประตูให้กับเป๊บซี่ในตลาดสหภาพโซเวียตโดยที่ไม่ต้องออกแรงโปรโมทมาก
โฆษณา