18 ก.ย. เวลา 06:51 • ไลฟ์สไตล์

รวยเร็วเป็นไปได้...แต่รวยง่ายไม่มีอยู่จริง

ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับ Passive Income ที่ทำให้เป็นเสือนอนตาย แทนที่จะเป็นเสือนอนกิน
💰 พูดคำว่า “Passive Income” ปุ๊บ หลายคนตาลุกวาว
ความฝันจะ “รวยแบบไม่ต้องทำอะไร” มักขายดีเพราะมันเร็ว ง่าย และฟังดูไม่เจ็บตัว แต่ในโลกจริง
แต่สำหรับคนที่อยู่ในโลกการเงินหรือกำลังมุ่งมั่นปั้น Passive Income ของตัวเองจะรู้ว่ารายได้แบบ Passive ไม่มีทาง “ง่าย” และไม่เคย “นิ่ง”
1
ดอกเบี้ยเงินฝากเคยให้ผลตอบแทนสองหลัก วันนี้แทบไม่พอซื้อน้ำดื่มจากร้านสะดวกซื้อ ค่าเช่าจากอสังหาฯ เคยถูกเปรียบเทียบเป็นเสือนอนกิน แต่วิกฤตโควิด‑19 ทำเจ้าของคอนโดกลายเป็นเสือนอนตายเพราะปรับตัวไม่ทัน หรือแม้แต่หุ้นปันผลหรือค่าลิขสิทธิ์ก็ต้องดูแลต่อเนื่อง และอีกอย่างหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ การมี Passive Income จะพังทันทีถ้าคุณควบคุมรายจ่ายไม่ได้
1
พี่หนุ่ม ‘Money Coach’ เขียนเอาไว้ในหนังสือ “Passive Income” ว่า "รวยเร็วเป็นไปได้ รวยง่าย ๆ... ไม่มีจริง" เรื่อง Passive Income ก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นมาแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันดีกว่า
😅 [ 1. “สร้าง Passive Income ง่ายนิดเดียว” ]
ดอกเบี้ยเงินฝากเป็นตัวอย่างรายได้ที่ดูง่ายที่สุด
ย้อนกลับไปยุคก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง แค่ฝากเงินก็มีรายได้กลับมาแบบสบายๆ แล้ว เงินฝากประจำในไทยให้ดอกเบี้ย 10‑12 % ต่อปี [1] ขณะที่ปัจจุบันอัตราเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์อยู่ราว 0.3 % ต่อปีเท่านั้น [2] ถ้าอยากอยู่ได้จากดอกเบี้ยธนาคาร เราต้องมีเงินต้นมากกว่ารุ่นพ่อแม่เราไม่รู้กี่สิบเท่า
1
รายได้อื่นยิ่งซับซ้อน—เงินปันผลต้องวิเคราะห์งบการเงิน ค่าเช่าอสังหาฯ ต้องรู้ทำเลย่อย ค่าลิขสิทธิ์ต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์และฐานผู้ติดตาม Investopedia จึงสรุปไว้ว่ารายได้ passive “ต้องใช้เวลา ทุน หรือทักษะก่อนเสมอ”
1
พี่หนุ่มบอกว่า “ ถ้าอยากมีรายได้จากทรัพย์สิน สิ่งแรกที่ต้องคิดไว้ก่อนเลยก็คือ มันต้องลงทุนเวลาในการศึกษาหาความรู้ให้มาก อีกทั้งยังต้องลงมือทำลงมือปฏิบัติให้มากด้วย มันถึงจะเกิดผลและเป็น Passive Income ขึ้นมาได้”
เพราะฉะนั้น ขั้นแรกของการหา Passive Income ไม่ใช่การหา “สูตรลัด” แต่คืออุทิศเวลาเรียนรู้—ถ้าไม่ได้อ่านงบ ไม่ยอมลงพื้นที่ ไม่ขยันผลิตคอนเทนต์ รายได้ก็ไม่เกิด
สื่อเศรษฐกิจและการเงินระดับโลกอย่าง Forbes ถึงกับพาดหัวบทความหนึ่งในปี 2024 เอาว่า “ไม่มีอะไร Passive เกี่ยวกับ Passive Income เลย” เพราะเราต้องทำงานหนักเสมอเพื่อสร้างรายได้เหล่านี้
2
🛌 [ 2. “มี Passive Income แล้ว ไม่ต้องทำงาน” ]
แม้รายได้จากทรัพย์สินจะลดภาระเรื่องการหาเงินได้บ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าเจ้าของทรัพย์สินไม่ต้องทำอะไรเลย
เจ้าของกิจการที่ยังต้องพบลูกค้า แก้ปัญหา และบริหารคน ใช้เวลาในการตรวจสอบและบำรุงรักษาแหล่งรายได้เหล่านี้อยู่เสมอ ยกตัวอย่าง
* บ้านเช่า – ช่วงโควิด อัตราครอบครองคอนโดในกรุงเทพฯ ดิ่งลงจนผู้ปล่อยเช่าต้องลดราคา แขวนป้าย “ให้เช่า” กันทั้งตึก
* สำนักงาน‑โกดัง – สัญญาเช่าออฟฟิศปี 2020 ถูกยกเลิกเพราะบริษัทเกือบทุกแห่งเลือกให้พนักงานทำงานแบบรีโมต ทำให้ค่าเช่าหดเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ
* หุ้นปันผล - บริษัทที่เคยแจกเงินสดงาม ๆ อาจลดหรือยกเลิกปันผลทันทีที่กำไรหาย ผู้ถือหุ้นจึงต้องติดตามงบและรีบาลานซ์พอร์ตเสมอ
ถ้าคุณไม่ลงแรง “ดูแล” ทรัพย์สิน สุดท้ายสินทรัพย์จะเรียกร้องให้คุณกลับมาลงแรงกับมันอยู่ดี—ชนิดที่อาจเหนื่อยกว่าเดิมเพราะต้อง “กู้วิกฤต” ที่ปล่อยไว้นานเกินไป
1
ทรัพย์สินช่วยผ่อนแรงทำงานแทน แต่การมี Passive Income แล้วไม่ต้องทำงานเลย คือความเข้าใจที่ผิดมาก
1
🐅 [ 3. “ทรัพย์สินทำเงินให้เราได้ตลอดชาติ” ]
1
ทุกสินทรัพย์มีวัฏจักร
2
อย่างที่ยกตัวอย่างไปตอนต้น ยุคดอกเบี้ยเงินฝากสูงๆ นั้นผ่านไปแล้ว คนที่เคยฝากเงิน ‘กินดอก’ สบายๆ ก็ทำไม่ได้อีกต่อไป
หรือแม้แต่สินทรัพย์ที่ถูกยกว่าเป็น “เสือนอนกิน” อย่างอสังหาฯ ก็ไม่ต่างกัน บางทำเลรุ่งช่วงหนึ่งแล้วร้างอีกช่วงหนึ่ง บางช่วงพฤติกรรมคนเปลี่ยน บางทีกลุ่มผู้อยู่อาศัยขยับ มหาวิทยาลัยย้ายวิทยาเขต หรือมีการซ่อมแซมถนนบริเวณอสังหาฯ ให้เช่าของเราการหาลูกค้าก็ยากขึ้นตามไปด้วย เหตุการณ์วิกฤตโควิดที่จู่ๆ เกิดขึ้นแบบไม่ได้วางแผนยิ่งตอกย้ำว่า “เสือนอนกิน” กลายเป็น “เสือนอนตาย” ได้เร็วแค่ไหน
แม้แต่ค่าลิขสิทธิ์ หนังสือ เพลง หรือช่องยูทูบ ยอดวิวอาจพุ่งปีนี้แต่อาจจะหายและร้างในอีกไม่กี่ปี—อัลกอริทึมหรือรสนิยมผู้ชมปรับตัวเร็วกว่าที่เราคาดเสมอ
เว็บไซต์ลงทุน Investopedia เตือนว่าแม้รายได้ส่วนนี้จะ “ดูเหมือนอัตโนมัติ” แต่ก็สามารถ “ลดลงได้ทันทีถ้าไม่อัปเดตหรือสร้างผลงานใหม่” [ 4 ]
“ไม่มีอะไรที่ทำครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอดชาติหรอก มันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเสมอ ดังนั้นอย่าเผลอติดกับดักโง่ ๆ แบบนี้ การรู้เท่าทันในทรัพย์สินที่เราลงทุนและมีความรู้ทางการเงินต่างหาก คือสิ่งที่ช่วยให้เรามั่งคั่งและมั่นคงได้จริง” พี่หนุ่มอธิบายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ
1
🏖️ [ 4. “แค่มี Passive Income ก็ได้อิสรภาพทางการเงิน” ]
มอร์แกน เฮาเซิล (Morgan Housel) ผู้เขียน ‘The Psychology of Money’ บอกว่า “ความมั่งคั่งคือเงินที่คุณ ไม่ได้ใช้จ่าย — จึงมองไม่เห็นและยากจะเรียนรู้ได้จากการสังเกตชีวิตของคนอื่น”
2
เพราะฉะนั้น สูตรสำคัญของอิสรภาพทางการเงินจึงไม่ใช่รายรับ แต่คือ “ช่องว่าง” ระหว่างรายรับกับรายจ่ายต่างหาก
หากคุณยอมให้ค่าใช้จ่ายโตเร็วเท่าหรือเร็วกว่า Passive Income — ซื้อรถคันใหม่ คว้าบ้านหลังใหญ่ เมื่อดอกเบี้ยต่ำ — คุณกำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า “Passive Expense” ให้ตัวเอง
พี่หนุ่มเสริมประเด็นนี้ว่า “ถ้าอยากมีอิสรภาพทางการเงิน อย่าหลงติดกับดักสร้างค่าใช้จ่ายของตัวเองให้สูงเกินไป หรือสูงเกินที่ชีวิตจริงต้องการ คนที่ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม เข้าใจความสุขในชีวิต จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ง่ายกว่าเพราะตั้งโจทย์เป็น”
ที่แย่กว่านั้นคือคนที่หวังทางลัด ลงทุนในอะไรก็ตามที่มัน “ดูดีเกินจริง” โดยหวังว่าไม่ต้องทำอะไรก็มีเงินมาใช้ไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย คุณจะกลายเป็นเหยื่อทันที
อิสรภาพทางการเงินเริ่มจาก “วินัยใช้เงิน” ก่อน “วิธีหาเงิน” เสมอ—ลดภาระหนี้ คุมค่าใช้จ่ายคงที่ แล้วค่อยขยาย Passive Income ให้แซงรายจ่ายแบบยั่งยืน
🗻 [ “หนทางสู่ความร่ำรวย” กับ “ร่ำรวยอย่างยั่งยืน” ]
เฮาเซิลแยกชัดเจนระหว่าง “Getting rich” (“หนทางสู่ความร่ำรวย”)​ กับ “Staying rich” (“ร่ำรวยอย่างยั่งยืน”)​ นั้นอาจจะฟังดูคล้ายกัน แต่แตกต่างกันมาก
เราอาจจะมีโอกาสไปสู่ความร่ำรวยได้หลากหลายแบบ บางคนอาจจะ “รวยเร็ว” ทำธุรกิจแล้วสำเร็จ หรือมีรายได้เยอะเป็นกอบเป็นกำก็เป็นไปได้ แต่ถ้าจะ “อยู่รอด” และร่ำรวยอย่างยั่งยืนต้องยอมรับว่าสิ่งง่าย ๆ อย่างออมสม่ำเสมอ กระจายพอร์ต และรู้ตัวว่ารอบตลาดเปลี่ยนตลอด—เป็นงานหนักที่ไม่มีวันจบ
โลกจะยังมีโฆษณาหลอกลวงชวนเชื่อผุดขึ้นไม่รู้จบ (เราเห็นข่าวกันอยู่ตลอดเวลา) วิธีเดียวที่จะเอาชนะเกมนี้ไม่ใช่มองหา ‘สูตรสำเร็จ’ หรือ ‘ทางลัด’ ที่ไม่มีอยู่จริง แต่คือการใช้ “ความรู้ + การลงมือทำ + วินัยการใช้เงิน”
เหมือนอย่างที่พี่หนุ่มบอกนั่นแหละครับ "รวยเร็วเป็นไปได้ รวยง่าย ๆ... ไม่มีจริง"
#aomMONEY #MakeRichGeneration #เสือนอนกิน #PassiveIncome #การเงิน #การเงินส่วนบุคคล
โฆษณา