เมื่อวาน เวลา 12:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

ผลกระทบของ AI ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกเยอะมาก

“การใช้ AI Chatbot ทำให้ผู้ใช้มีความเหงาเพิ่มขึ้น เข้าสังคมลดลง
รวมทั้งมีความรู้สึกอยากพึ่งพิงและเสพติดการใช้งานเพิ่มขึ้น”
ข้อความดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ สภาพัฒน์ฯ เปิดเผยผ่าน “รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ประจำปี 2568” ที่เผยแพร่เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความแปลกใจให้ผู้เขียนที่กำลังหาประเด็นด้านสังคมไทยมาเล่าสู่กันฟังพอสมควร เพราะใครว่าหน่วยงานไทยตามประเด็นโลกไม่ทัน เรื่องนี้อาจไม่ใช่กับสภาพัฒน์
กลับมาที่ตัวข้อมูลที่สภาพัฒน์ฯ รายงาน เนื่องจากตอนนี้ใคร ๆ ก็เข้าถึง AI Chatbot สารพัดประโยชน์อย่าง Chat GPT, Gemini ฯลฯ และการเข้าถึงสไตล์คนไทยถึงกับสร้างความประหลาดใจให้กับ ‘เจสัน ควอน’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่านกลยุทธ์ของ Open AI เพราะว่าคนไทยใช้ Chat GPT ในการ “ดูดวง” หรือแม้แต่ “ถามสีเสื้อมงคลประจำวัน”
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงการ localization ทางเทคโนโลยีโดยคนไทยได้อย่างดี
-ยิ่งใช้ยิ่งเหงา ยิ่งปลีกตัวออกจากสังคม ?
เมื่อลักษณะงานที่คนไทยใช้มีความหลากหลายแบบนี้ ข้อมูลที่ว่าการใช้ AI Chatbot จะยิ่งทำให้คนไทยเหงาขึ้น เข้าสังคมลดลง เสพติดการใช้แชทบอท AI ก็อาจจะเป็นข้อเท็จจริงชั้นดีที่สะท้อนสังคมไทยตอนนี้ได้เช่นกัน ซึ่งประเด็น ‘ยิ่งใช้ AI ยิ่งเหงา’ ก็เคยถูกรายงานโดยสื่อต่างประเทศมาแล้ว
The Guardian รายงานโดยอ้างอิงผลศึกษาจาก MIT Media Lab ที่ศึกษากับกลุ่มทดลอง 1,000 คน และการศึกษาของ Open AI ว่า ‘ผู้ใช้งาน ChatGPT’ มีแนวโน้มที่จะเหงามากขึ้น พึ่งพา AI ทางอารมณ์มากขึ้น (แชทสนทนาระบายอารมณ์, แชทที่แสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ) และมีปฏิสัมพันธ์กับคนในโลกจริงน้อยลง
ซึ่งนักวิจัยที่ตีพิมพ์งานก็ระบุว่าการศึกษานี้ยังอยู่ในระดับแรกเริ่มเอามาก ๆ เป็นการศึกษาเบื้องต้น ยังต้องมีการศึกษาลงลึกต่ออีก ทว่านักวิจัยก็ตั้งคำถามและชวนคิดต่อเช่นกันว่า ท่ามกลางโลกที่ Chat GPT มีผู้ใช้งานต่อวันมากกว่า 400 ล้านคน เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตในโลกความเป็นจริงของคน ๆ นั้น
ดร. แอนดรูว์ โรโกยสกี (Andrew Rogoyski) ผู้อำนวยการสถาบัน SIAI (สถาบันภายใต้มหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นด้านการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคน) ก็ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ไว้เช่นกันว่า
“Chat AI อาจเป็นอันตราย หากเราคิดว่า AI เหล่านี้จะมีพฤติกรรมและอารมณ์คล้ายมนุษย์ เราจำเป็นต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบทางสังคมและอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้แชทบอทเหล่านี้”
-เมื่อ AI อาจมีผลต่อพัฒนาการทางสมอง ?
บางทีเรื่องนี้อาจไม่ต้องมองที่ไหนไกล ขอลองยกตัวอย่างใกล้ ๆ ตัวเข้ามาหน่อย
ลองนึกภาพว่าถ้าหากเป็นเด็กเมื่อ 10-20 ปีก่อน เวลาเรามีเรื่องสงสัยอะไรเราก็จะหันไปถามคนในครอบครัว ปรึกษาเพื่อน แต่มาในวันนี้เราสามารถถามคำถามอะไรก็ตามกับ ChatGPT และเราก็จะได้คำตอบในระดับที่เกินกว่าเด็กคนหนึ่งต้องการ ดังนั้นการรายงานเรื่องนี้ของสภาพัฒน์ฯ จึงถูกระบุหัวข้อว่าเป็น “ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ” ต่อสังคมไทย เป็นเรื่องที่ครอบครัวและคุณครูที่ใกล้ชิดกับเด็กต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
จริง ๆ สภาพัฒน์ยังรายงานต่อด้วยว่าการใช้งาน AI บ่อย ๆ อาจส่งผลกระทบต่อสมอง โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาโดย MIT Media Lab เช่นเดิมว่ากลุ่มที่ใช้งาน AI ในการช่วยทำงาน สมองจะมีการเชื่อมต่อส่วนต่าง ๆ น้อยกว่ากลุ่มคนที่ไม่ใช้ AI อย่างมีนัยสำคัญ (ต่างกันจนเห็นได้ชัด) และอาจทำให้ทักษะทางภาษา การเรียกใช้คความจำด้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบระยะยาวต่อการวิเคราะห์และการเรียนรู้
ผู้เขียนมองว่าผลกระทบข้างต้นอาจจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นหากเกิดขึ้นกับเด็กที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโต อยู่ในช่วงของวัยเรียนรู้ เมื่อก่อนเวลาเด็ก ๆ ทำการบ้านโดยมีผู้ปกครองช่วยทำยังโดนครูตักเตือน ถ้ามาตอนนี้เด็ก ๆ ใช้ AI ช่วยทำจะยิ่งน่ากังวลต่อพัฒนาการแค่ไหน
จากประเด็นคนไทยใช้ AI ในการดูดวง สู่ความน่ากังวลเกี่ยวกับความเหงาและปลีกตัวจากสังคม จนมาถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนาของสมองและความน่ากังวลที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กวัยกำลังเรียนรู้ ยิ่งตอกย้ำว่าการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญในตอนนี้ ทว่าการศึกษาจะทันเวลาไปกับการพัฒนาของ AI หรือไม่ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ท้าทายนักวิจัยไม่น้อย
โฆษณา