เมื่อลักษณะงานที่คนไทยใช้มีความหลากหลายแบบนี้ ข้อมูลที่ว่าการใช้ AI Chatbot จะยิ่งทำให้คนไทยเหงาขึ้น เข้าสังคมลดลง เสพติดการใช้แชทบอท AI ก็อาจจะเป็นข้อเท็จจริงชั้นดีที่สะท้อนสังคมไทยตอนนี้ได้เช่นกัน ซึ่งประเด็น ‘ยิ่งใช้ AI ยิ่งเหงา’ ก็เคยถูกรายงานโดยสื่อต่างประเทศมาแล้ว
The Guardian รายงานโดยอ้างอิงผลศึกษาจาก MIT Media Lab ที่ศึกษากับกลุ่มทดลอง 1,000 คน และการศึกษาของ Open AI ว่า ‘ผู้ใช้งาน ChatGPT’ มีแนวโน้มที่จะเหงามากขึ้น พึ่งพา AI ทางอารมณ์มากขึ้น (แชทสนทนาระบายอารมณ์, แชทที่แสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ) และมีปฏิสัมพันธ์กับคนในโลกจริงน้อยลง
“Chat AI อาจเป็นอันตราย หากเราคิดว่า AI เหล่านี้จะมีพฤติกรรมและอารมณ์คล้ายมนุษย์ เราจำเป็นต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบทางสังคมและอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้แชทบอทเหล่านี้”
จริง ๆ สภาพัฒน์ยังรายงานต่อด้วยว่าการใช้งาน AI บ่อย ๆ อาจส่งผลกระทบต่อสมอง โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาโดย MIT Media Lab เช่นเดิมว่ากลุ่มที่ใช้งาน AI ในการช่วยทำงาน สมองจะมีการเชื่อมต่อส่วนต่าง ๆ น้อยกว่ากลุ่มคนที่ไม่ใช้ AI อย่างมีนัยสำคัญ (ต่างกันจนเห็นได้ชัด) และอาจทำให้ทักษะทางภาษา การเรียกใช้คความจำด้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบระยะยาวต่อการวิเคราะห์และการเรียนรู้
ผู้เขียนมองว่าผลกระทบข้างต้นอาจจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นหากเกิดขึ้นกับเด็กที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโต อยู่ในช่วงของวัยเรียนรู้ เมื่อก่อนเวลาเด็ก ๆ ทำการบ้านโดยมีผู้ปกครองช่วยทำยังโดนครูตักเตือน ถ้ามาตอนนี้เด็ก ๆ ใช้ AI ช่วยทำจะยิ่งน่ากังวลต่อพัฒนาการแค่ไหน
จากประเด็นคนไทยใช้ AI ในการดูดวง สู่ความน่ากังวลเกี่ยวกับความเหงาและปลีกตัวจากสังคม จนมาถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนาของสมองและความน่ากังวลที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กวัยกำลังเรียนรู้ ยิ่งตอกย้ำว่าการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญในตอนนี้ ทว่าการศึกษาจะทันเวลาไปกับการพัฒนาของ AI หรือไม่ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ท้าทายนักวิจัยไม่น้อย