20 ก.ย. เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ผู้ว่าฯ ธปท. เตือน! ภัยการเงินดิจิทัล ยังไม่สิ้นสุด

ผู้ว่าฯ ธปท. เตือน! ภัยการเงินดิจิทัล ยังไม่สิ้นสุด เร่งพัฒนากฎหมาย–เทคโนโลยีปิดช่องโหว่
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการเปิดงาน BOT Symposium 2025: เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance ว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินกำลังรวดเร็ว โดยเฉพาะดิจิทัลไฟแนนซ์ที่สร้างประโยชน์มหาศาล แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางใหม่ของอาชญากรรมทางการเงิน ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกประเทศต้องรับมือ
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
พร้อมระบุว่า “ระบบพร้อมเพย์” ของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปี 2565 มีการทำธุรกรรมถึง 70% ของจำนวนธุรกรรมชำระเงินทั้งหมด คิดเป็น 76 ล้านรายการต่อวัน มูลค่าเฉลี่ย 144,000 ล้านบาทต่อวัน ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความสะดวก และเสริมสภาพคล่องให้กับทั้งครัวเรือน แรงงาน และธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่สามารถเข้าถึงระบบการเงินได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสะดวกดังกล่าวก็มาพร้อมความเสี่ยง ตั้งแต่ปี 2565 มีผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางการเงินกว่า 1 ล้านราย คิดเป็นความเสียหายกว่า 98,000 ล้านบาท รูปแบบที่พบมากคือการใช้ “บัญชีม้า” เปิดบัญชีโดยบุคคลอื่นและส่งต่อให้มิจฉาชีพใช้หลอกลวงประชาชน
ธปท. จึงร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอท.) เพื่อเร่งอุดช่องโหว่ โดยแก้ไขปัญหาผ่านการทำแบบองค์รวม ครอบคลุม 3 ด้านสำคัญ ได้แก่
1.เทคโนโลยี ต้องพัฒนามาตรการตรวจสอบและป้องกันความเสี่ยงใหม่ ๆ
2.กรอบกติกา (Regulatory Framework) ต้องสร้างกฎหมายและกลไกที่บังคับใช้ได้จริง
3.ข้อมูลและแรงจูงใจ ต้องมีฐานข้อมูลกลางเพื่อป้องกันการกระทำผิด และสร้างแรงจูงใจไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมกระบวนการผิดกฎหมาย
โดยยกตัวอย่างภัยใหม่จาก “FastPay” หรือการโอนเงินข้ามธนาคารได้ทันที ซึ่งแม้จะสะดวก แต่กลับทำให้เงินที่ถูกหลอกหายไปภายในไม่กี่นาที ขณะที่เหยื่อกว่าจะรู้ตัวและแจ้งธนาคารเฉลี่ยใช้เวลาถึง 18 ชั่วโมง ทำให้โอกาสป้องกันหรืออายัดเงินยากมากขึ้น
เพื่อปิดช่องโหว่ ธปท. จึงออกมาตรการหลายด้าน เช่น
•จัดทำ Central Fraud Registry (CFR) ให้ธนาคารและสถาบันการเงินเชื่อมโยงข้อมูลผู้ต้องสงสัยร่วมกับตำรวจ เพื่ออายัดบัญชีและป้องกันการหมุนเงิน
•กำหนดมาตรการ Mobile Banking Security เช่น การยืนยันตัวตนหลายชั้น และระบบตรวจสอบพฤติกรรมการทำธุรกรรม
•ผลักดันกฎหมายใหม่อย่าง พ.ร.บ.ไซเบอร์ และปรับปรุง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ผลจากมาตรการเหล่านี้เริ่มเห็นผลชัดเจน ผู้ว่าฯธปท. เผยว่าแอปพลิเคชันดูดเงินหายไปจากระบบเกือบทั้งหมด ขณะที่บัญชีม้าถูกปิดไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ความเสียหายรวมทั้งระบบที่เคยสูงถึง 98,000 ล้านบาทในปี 2565 ลดลงเหลือเพียง 951 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งถือว่าลดลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าฯธปท.ย้ำว่า ภัยการเงินทางดิจิทัลยังไม่สิ้นสุด และจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องมือ กรอบกฎหมาย และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และต่างประเทศให้รัดกุมมากขึ้น
“แม้เราจะลดความเสียหายได้มาก แต่โจรออนไลน์ก็ยังหาวิธีใหม่ ๆ อยู่ตลอด ทั้งปรับรูปแบบการหลอกลวงและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เราจึงต้องพัฒนามาตรการให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย เทคโนโลยี หรือความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าระบบการเงินดิจิทัลของไทยจะยังคงปลอดภัยสำหรับประชาชน”
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา