19 ก.ย. เวลา 11:00 • ข่าว

ข้อคิดจากโหนกระแส ตอน เธออ้างดาราสาวฮุบกิจการ : เพราะคนละมุมมันก็เลย “สามเหลี่ยม”

สรุปเท่าที่เข้าใจ
ดารา ถือหุ้น 48%
พาร์ทเนอร์ ถือหุ้น 48%
และคนกลาง 4%
บริษัทนี้ขายสินค้าเครื่องสำอางค์ต่างๆ บริหารงานหลักโดยพาร์ทเนอร์ ฝ่ายดาราก็เข้ามาช่วยงานในส่วนไลฟ์ขายของ เข้าใจว่าก็คือพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ตัวเอง ทุกฝ่ายตั้งใจเลยว่าจะเป็นหัวแถวแน่ๆ เพราะบอกว่าจะเข้าตลาดหุ้นให้ได้ หื้ม ความตั้งใจดี
กิจการก็ดำเนินไปจนเกิดเหตุคือ ดารามาซื้อหุ้นของคนกลาง จนทำให้มีหุ้น 52% สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นฝ่ายดาราก็ทำการเปลี่ยนพาร์ทเนอร์ออกจากรรมการ นั่นแหละจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งกัน ถึงขั้นฟ้องร้องกัน
สังคมตั้งคำถามกับความเหลี่ยมของแต่ละฝ่ายเช่นกัน
เหลี่ยมแรก คนกลาง ไปออกโหนกระแสเหมือนจะเอียงข้างไปพาร์ทเนอร์ พี่หนุ่มถามได้ตรงประเด็นมากที่ว่า “แล้วขายทำไม” เหตุผลที่ขายทีแรกว่า ไม่รู้ความเป็นไปในบริษัทมาก อาจจะเจ๊งไปไม่รอด เอาตัวเองออกจากความเสี่ยงไปก่อน วันนั้นก็ขายเลยขาย ฝั่งดาราก็ซื้อหุ้น 4% นั้น 2,500,000 บาท จากเงินต้น 100,000 บาท ผลตอบแทน 250% !!!! ในเวลาปีหน่อยๆ ก็คุ้มค่านะครับ มากๆด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคนกลางขายหุ้นไป แต่ขายไปแล้วจากนั้นก็ไถ่เงินเพิ่มข้ออ้างที่ว่า มันมีกำไรมากกว่านั้น ราคามากกว่านั้น ฉันโดนปั่นหัว ฉันโดนปกปิดข้อมูล
ในฐานะผู้ถือหุ้น แม้จะเป็นหุ้นเล็กน้อย สามารถเรียกข้อมูลทุกอย่าง สอบถามได้ทุกๆอย่างนะ นี่คือเหลี่ยมแรก
เหลี่ยมนี้คือการเล่นบท “ผู้เสียหาย” ทั้งที่จริงได้กำไรไปแล้วมหาศาล
เหลี่ยมสอง พาร์ทเนอร์ ก็ดูเป็นคนเก่งมีความสามารถในธุรกิจนี้ เพราะเคยมีประสบการณ์ทำแบรนด์มาก่อน และเคยมีแบรนด์เก่าแต่ก็เลิกทำไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับฝ่ายพาร์ทเนอร์คือ ฝั่งดาราจับได้ว่าพาร์ทเนอร์ได้มีการจะคืนชีพแบรนด์เก่าที่เคยทำ แล้วโดนจับได้ มีการไปจดบริษัทใหม่โดยชื่อสามี แต่สามีก็มีสถานะเป็นพนักงงานของบริษัทที่ร่วมทำกันอยู่ (อันนี้แหละที่ฝั่งดารามองว่าเป็นการค้าแข่ง และผิดด้วย เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย)
พาร์ทเนอร์ก็พูดอีกว่าก็รักแบรนด์ที่ทำด้วยกันนี้เช่นกันยอมขายหุ้นบริษัทคืนชีพแบรนด์เก่าไปแล้วไง (เอ๊ะ อันนี้ยอมรับหรือเปล่าว่ามีการจะคืนชีพและจะค้าแข่งจริงๆ?)
แล้วที่พีคไปกว่านั้นหุ้นบริษัทคืนชีพแบรนด์เก่าขายหุ้นให้พี่สาว 2 เอ๊ะ แล้วนะเนี่ย
เหลี่ยมนี้คือการถูกมองว่า “ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรือที่ร่วมกันสร้าง”
เหลี่ยมสาม เหลี่ยมสุดท้าย ดาราอ้างว่าจับได้แล้วเจ็บปวดมากเหมือนโดนหักหลัง จากการที่พาร์ทเนอร์ไปพยายามคืนชีพแบรนด์เก่าของตัวพาร์ทเนอร์ เพราะดาราอ้างว่ารับรู้ว่าเขาไม่ทำแบรนด์นั้นแล้วนิ่ ปิดตัวไปแล้ว ทำไมต้องมาทำไหมเธอทรยศฉัน ฉันรักแบรนด์นี้ (หรือเพราะธุรกิจเริ่มไปได้ดีหรือเปล่านะ ไม่มีเงินก็เงียนกันไป พอทำเงินต่างคนต่างก็เริ่มมีเสียงพูด) เลยไป “แอบ” ซื้อหุ้นจากคนกลาง
มีการไปทำสัญญาปกปิดความลับด้วย ทำให้คนกลางไม่สามารถไปพูดกับพาร์ทเนอร์ได้ เอ๊ะ ถ้าตรงไปตรงมา ทำไมถึงไม่บอกให้ทราบหน่อยว่าจะซื้อหุ้นอีกคนนะ “เป็นการมีมารยาท และศีลธรรม” มากกว่านะ
เหลี่ยมนี้คือการเลือก “กฎหมายมาก่อนศีลธรรม” เพื่อยึดเรือไว้เป็นของตนเอง
ตัวดาราถูกกฏหมายแต่ผิดศีลธรรม???
เรื่องนี้มันผิดศีลธรรมไหม โดยส่วนตัวมองว่า “ไม่” แต่ความเหลี่ยมนั้นน่าจะจริงอยู่มั้ง
ถ้ายกข้ออ้างศีลธรรม ที่ว่าไม่ผิด หากลองมองในมุมความเป็นเจ้าของ ถ้าคุณเป็นเจ้าของสิ่งใดๆจริงๆ เราก็มีสิทธิที่จะหวงแหนสิ่งที่เป็นของคุณและจะกระทำ คำนึงถึงทุกอย่างที่คุณเป็นเจ้าของสิ่งนั้นใช่หรอไม่
ถ้ามองจากมุมนี้ ฝ่ายดารา ทำ และคิดคำนึง ถึงบริษัทที่ทำรวมกันมากกว่า เราจะไว้วางใจให้คนที่มีสองใจ เหยียบเรือสองแคม ได้ยังไง ในเมื่อเรามีฝันร่วมกัน มีจุดหมายที่จะไปด้วยกันที่ไกลมากๆ และจะมีสิ่งที่ต้องพิสูจญ์กันอีกมากในอนาคต
ตอนนี้คุณเป็นกัปตันเรือ แต่คุณทำตัวเหมือนพร้อมที่จะสละเรือลำนี้ได้ทุกเมื่อ เพราะคุณมีเรืออีกลำที่พร้อมรองรับคุณตลอดได้ ไปได้ทุกเมื่อเมื่อเรือลำนี้วันใดที่มีปัญหา
ศีลธรรมพูดได้ยากจะใช้มาตราไหนมาวัดว่าแบบไหนที่เที่ยงธรรมกว่ากัน
เหลี่ยมดาราเอาจริงดาราเองก็ชั้นเชิงดีนะ เหี้ยมดี ถ้าวันหนึ่งแบรนด์ของเขาจะประสบความสำเร็จนี่ไม่แปลกใจ
เหลี่ยมคุณพาร์ทเนอร์ หากทบทวนดูดีๆ คุณยังไงก็มีทางไปอยู่แล้วล่ะ เพราะเรือที่คุณสร้างสำรองก็ไม่น่าจะติดขัดอะไร และได้ปล่อยหมัดชกไปในสังคมว่า แบรนด์ของดาราใช่แบรนด์ที่มีศีลธรรมหรือเปล่านะ
ส่วนเหลี่ยมคนกลาง อันนี้บอกตรง เอาจริงนี่ก็แสบใช่ย่อยนะ แต่ไม่แปลกใจ เพราะดาราไปฟ้องเขาเองอ่ะเนอะ จะไถ่เงินอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
มุมมองกลาง
เรื่องนี้ไม่สามารถใช้ ศีลธรรม มาวัดขาว-ดำได้ 100% เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง
คนกลาง = ตัดสินใจผิดเองแต่พยายามเรียกร้อง
พาร์ทเนอร์ = มีฝีมือ แต่ดันทำให้ความไว้วางใจสั่นคลอน
ดารา = ปกป้องแบรนด์เต็มที่ แต่ใช้วิธีที่ทำให้ถูกตีว่า “ไร้น้ำใจ”
ข้อคิดที่ได้
-หุ้นเล็กก็มีพลัง: แม้ถือ 4% ก็สำคัญ ถ้าขายผิดจังหวะ อาจทำให้สมการเปลี่ยนทั้งกระดาน
-กฎหมาย vs ศีลธรรม: กฎหมายตัดสินว่าใครถูก แต่ศีลธรรมตัดสินว่าใครควรได้รับความไว้วางใจ
-การเป็นพาร์ทเนอร์ต้องโปร่งใส: ถ้าเริ่มทำธุรกิจร่วมกัน ห้ามมีเรือสำรองซ่อนเอาไว้
-กลยุทธ์ผู้ถือหุ้นใหญ่: การขยับจาก “เกือบครึ่ง” ไปเป็น “เกินครึ่ง” คือหมากที่เปลี่ยนทุกอย่าง
-สามเหลี่ยมความไว้ใจ: ธุรกิจไม่ได้พังเพราะตลาดหรือสินค้า แต่เพราะ “ความไม่ไว้ใจกันในผู้ก่อตั้ง”
โฆษณา