20 ก.ย. เวลา 10:43 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

จากใจคนที่ใช้ AI มาหลายปี ไม่ใช่หลายเดือน เหมือนคนอื่นๆ เค้า หยอกๆ

ถ้าย้อนกลับไป 3 ปีที่แล้ว ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้จริงๆ ต้องบอกว่าปัจจุบัน Mass adoption ผ่านมาแล้ว
ปัจจุบัน AI อยู่ในจุดที่สามารถทำงานได้มากกว่า mid level ไปแล้ว ในหลายๆ ส่วน
ทุกวันนี้ ถ้าใครไม่ใช้ AI ทำงานต้องบอกว่าคุณเสียเปรียบคนอื่นไปหลายช่วงตัว เรื่องของเวลาที่หายไป
ยกตัวอย่าง งานง่ายๆ แต่ใช้เวลานาน งานพวกนี้ AI แทนได้ 99% และใช้เวลาอาจจะภายใน 10 นาทีเสร็จ แค่ถ้าคุณเป็นคนทำงานปกติคุณอาจจะใช้เวลา หลายชั่วโมง หรือเป็นวัน เพื่องานๆ นั้น ที่อาจจะไม่ได้มีคุณค่าในแง่ของธุรกิจเลยด้วยซ้ำ
เช่น
📄 งานเกี่ยวกับเอกสาร/ข้อมูล
• การจัดรูปแบบเอกสาร (เช่น ทำเป็นรายงาน, ใส่หัวข้อ, สร้างสารบัญ)
• การแปลงไฟล์ (Word → PDF, Excel → CSV ฯลฯ)
• การ Extract ข้อมูลจากเอกสาร/ใบเสร็จ/Invoice
• การค้นหาข้อมูลซ้ำซ้อน (duplicate data, duplicate records)
📊 งานด้านข้อมูลและวิเคราะห์
• การทำ Data Cleaning (ลบค่า missing, ตรวจ outlier, แปลง unit)
• การทำ Dashboard/กราฟอัตโนมัติจากข้อมูลดิบ
• การทำ Report ประจำวัน/เดือน แบบ template ซ้ำ ๆ
• การสร้างสถิติพื้นฐาน (เฉลี่ย, median, distribution)
📧 งานด้านสื่อสาร/ธุรการ
• การตอบอีเมล/ข้อความซ้ำ ๆ ด้วย template
• การเขียน Minutes of Meeting อัตโนมัติจาก transcript
• การจัดตารางนัดหมาย ตามเงื่อนไข
• การทำ FAQ/Knowledge base จากข้อมูลที่มี
🌐 งานออนไลน์/หาข้อมูล
• การรวบรวมข้อมูลจากเว็บ (Web scraping เบื้องต้น, ข่าว, ราคา, รีวิว)
• การเปรียบเทียบข้อมูล (เช่น สเปคสินค้า, ราคาแพ็กเกจบริการ)
• การ Generate คอนเทนต์เบื้องต้น (draft โพสต์, สรุปบทความ)
🧩 งานเบ็ดเตล็ดที่กินเวลา
• การตรวจสอบ Format มาตรฐาน (เช่น เบอร์โทร, email, ที่อยู่, coding style)
• การสร้างแบบฟอร์มอัตโนมัติจากชุดข้อมูล
• การแปล + ปรับโทนภาษาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
• การจำแนกหมวดหมู่ (tagging ข้อมูล, แยกประเภทข้อความ, แยก sentiment)
ลองคิดดูว่า พวกงานที่ไม่ได้สำคัญ เราไม่ต้องเอาเวลามาทำแล้ว ทำให้เรามีเวลาไปทำอะไรมากขึ้นขนาดไหน ตรงนี้ impact โดนตรงกับทุกคนได้ทันที
ถ้าใครยังไม่ได้ใช้ ควรปรับตัวเองซะ
ต่อมาคุณควรจะเข้าใจว่า AI คือผู้ช่วย แต่มันไม่ได้เข้าใจสิ่งที่คุณต้องการ 100% หรอก เพราะว่าคุณเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไรในบางครั้งของการทำงาน
ฉะนั้นอย่าให้มันทำงานเองโดย 100% โดยไม่ตรวจงาน เพราะมันไม่ถูกต้องหรอก ส่วนตัวรู้สึกว่ามันเก่งขึ้นมากแล้ว น่าจะระดับ 70% ของงานที่สั่งไป คือได้ตามที่ควรจะเป็น
ในอาทิตย์ที่ผ่านมา เจอ game changer ของการเขียน code เลย คือ vscode + local + agent + codex (gpt-5-codex high) คือแม่งฉลาดกว่าบน cloud แบบมาก จนน่าสงสัยเลย
ตามที่เข้าใจ คือมันเข้าไปอ่าน source code ทั้งหมดใน repo นั้นและทำ index vector ไว้ว่ามี process การทำงานอะไรบ้างทั้ง project + setting AGENTS.md ที่เราอธิบายให้มันว่าต้องการอะไร
scope ของการ dev เรามีอะไรบ้าง เหมือนมันกลายเป็น AI ที่ developer น่าจะตามหากัน มันไม่ออกนอกลู่นอกทาง และทำ code ได้ในแบบที่เราคาดหวัง ค่อนข้างน่าพอใจเลย ข้อดีคือมันเข้าใจ code มากกว่าที่คนสามารถทำได้แน่ ๆ
และสามารถช่วยเขียนเทสได้ในระดับที่น่าพอดี ด้วยเวลาที่สั้นลงมาก เทียบกับก่อนหน้านี้ที่มันจะพังบ้างได้บ้าง ปัจจุบันคือระดับ 90% เลย
ส่วนตัวเชื่อว่าปัจจุบันมันสามารถทำให้เกิด solo developer หรือ solo entrepreneur ที่สามารถสร้าง product ที่ดีได้ด้วยคนเดียวได้แล้วจากสิ่งนี้
ถ้าคนนั้นมีคุณสมบัติครบพอ
1. รู้เรื่อง Business ของ product ในระดับที่อธิบายรายละเอียดของ product นั้น ๆ ได้เป็น process ย่อย ๆ
2. รู้ว่าต้องการทำอะไร ในระดับ UX/UI flow การทำงานในแต่ละหน้า
3. รู้ว่าต้องใช้ architecture อะไรในการทำงานนี้
ถ้ามีครบ 3 ข้อ product จะออกมาเร็วมากในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
MVP แต่ก่อนในระดับ 1 อาทิตย์ น่าจะออกได้ใน 1 วัน อันนี้แค่ยกตัวอย่างในตัวงานใกล้เคียงที่ผมทำอยู่
แต่ส่วนตัวเชื่อว่ามันไม่ได้เก่งแค่ใน field ของ developer เท่านั้น แต่มันเกิดกับทุก ๆ role ของการทำงานไปแล้ว เพียงแต่ทุกคนต้องไปลงลึก ลองถูก ลองผิด ในงานของตัวเองให้เจอ
อีกอย่าง เชื่อว่ามันจะเก่งขึ้น และเร็วขึ้น แต่อาจจะไม่ได้ถูกลง ท้ายที่สุดเชื่อว่า AI อาจจะแพงขึ้น แต่ถูกกว่าการจ้างคน ฉะนั้นจงเป็นคนที่พัฒนาตัวเองให้ทันโลก เสมอ หา value ของตัวเองให้เจอ
#AI #Productivity #SoloDeveloper #FutureOfWork #Innovation #TechTrend #MassAdoption #AIforBusiness #theexpme
โฆษณา