21 ก.ย. เวลา 17:07 • การเมือง

ฮุน เซน มหาบุรุษของกัมพูชาหรือคนชั่วทำลายไทย

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมาหลายท่านคงจะได้ยินชื่อของผู้ชายคนนี้ เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสั่งให้ทหารกัมพูชาโจมตีเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ในดินแดนไทยระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้กองทัพไทยต้องตอบโต้อย่างหนักจนเขาคาดไม่ถึง นี่คือเรื่องราวของฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ฮุน เซน เกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่จังหวัดกำปงจาม เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมค.ศ.1952 เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้องทั้งหมด 6 คน เขาเติบโตขึ้นในครอบครัวชาวนาที่ยากลำบาก เรียนหนังสือในวัดตั้งแต่ยังเด็ก เมื่ออายุ 13 ปี เขาต้องจากครอบครัวเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนสงฆ์ที่กรุงพนมเปญ
เมื่อฮุน เซนอายุราว 18 ปี ได้เข้าร่วมกับกองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชา (CPK) หรือเขมรแดง โดยการนำของ พล พต (Pol Pot) เพื่อโค่นล้มอำนาจรัฐประหารของนายพลลอน นอล (Lon Nol) ในปีค.ศ. 1970
บทบาทของ ‘สมเด็จฮุน เซน’ ในขบวนการเขมรแดงนั้นเริ่มไต่เต้าจากการเป็นนายทหารยศเล็กๆ จนได้เป็นสมาชิกของสันนิบาตเยาวชนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (CPK Youth League) แต่เขากล่าวเสมอว่า ตนเองเป็นแค่ทหารยศเล็กๆ ไม่ได้มีตำแหน่งที่ใหญ่โตขณะเป็นสมาชิกพรรค แม้ข้อมูลหลายแหล่งจะระบุว่าเขาเป็นผู้บัญชาการในเขตตะวันออก
จนในวันที่ 17 เมษายน ปี 1975 ขบวนการเขมรแดงได้เข้ายึดกรุงพนมเปญ และสั่งให้อพยพประชาชนทั้งหมดออกจากพื้นที่เพื่อสร้างสังคมใหม่ ฮุน เซนกล่าวว่า เขาถูกสะเก็ดระเบิดก่อนวันที่เขมรแดงเข้ายึดพื้นที่ ทำให้ตาข้างซ้ายบอดและหมดสติไปราวหนึ่งสัปดาห์ และปฏิเสธว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งอพยพประชาชนทั้งสิ้น
ต่อมาในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมปีเดียวกันนั้น เขมรแดงได้เข้าปราบปรามหมู่บ้านของชาวมุสลิมเชื้อสายจามที่ลุกขึ้นต่อต้านการปกครอง ในขณะที่ฮุน เซนปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งทหารในสังกัดตนเข้าร่วม เพราะทหารส่วนมากป่วยเป็นไข้ป่า
แต่พยานในเหตุการณ์รวมถึงอดีตทหารในกองกำลังกล่าวว่า ทหารได้ใช้ปืนครกขนาด 60 และ 82 มม. และกราดยิงชาวบ้านด้วยปืนไรเฟล และระเบิด RPG ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตหลายร้อยคน
ต่อมาฮุน เซน เริ่มไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคโดยเฉพาะการสังหารผู้บริสุทธิ์ ในขณะที่ ‘พล พต’ เริ่มสั่งการกวาดล้างสมาชิกเขมรแดงในเขตตะวันออกที่มองว่าไม่ภักดีหรือถูกสงสัยว่าเป็นสายลับของเวียดนาม
ฮุน เซนจึงตัดสินใจหนีข้ามชายแดนไป
ประเทศเวียดนามในวันที่ 20 มิถุนายนค.ศ. 1977
เขาได้รวมตัวกับอดีตสมาชิกกลุ่มเขมรแดง และชาวกัมพูชาที่หลบหนีจากการกวาดล้างของ ‘พล พต’ และก่อตั้งแนวร่วมกู้ชาติกัมพูชา (Kampuchean United Front for National Salvation) ที่ต้องการปรับรูปแบบการปกครองประเทศที่ไม่รุนแรงเท่าระบอบเขมรแดง และได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามที่ไม่พอใจการขับไล่ชาวเวียดนามออกจากกัมพูชา
วันที่ 7 มกราคม 1979 กลุ่มแนวร่วมดังกล่าวได้บุกเข้ายึดกรุงพนมเปญและโค่นล้มระบอบเขมรแดงได้สำเร็จ นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ คือ สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (PRK) ‘สมเด็จฮุน เซน’ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และต่อมาได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 33 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 1985
รัฐบาลภายใต้การนำของ ‘สมเด็จฮุน เซน’ กำจัดฝ่ายที่มีความเห็นตรงข้ามกับนโยบายของ PRK ที่รวมตัวกันเป็น รัฐบาลผสมแห่งกัมพูชาประชาธิปไตย (Coalition Government of Democratic Kampuchea) หรือ CGDK ประกอบไปด้วย กลุ่มเขมรแดง, พรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) นำโดยพระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุ และแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร (KPNLF)
กัมพูชาภายใต้การปกครองของ ‘สมเด็จฮุน เซน’ จึงมีนักโทษทางการเมืองกว่า 5,000 คน ทั้งชาวบ้านธรรมดา เกษตรกร หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็ถูกจับกุมโดยใช้หลักฐานเท็จหรือการทรมานเพื่อบีบบังคับให้สารภาพ
องค์การสหประชาชาติ (UN) ต้องเข้ามาจัดการความไม่สงบทางการเมือง โดยจัดทำข้อตกลงสันติภาพปารีส (Agreements on a Comprehensive Political Settlement of the Cambodia Conflict) ในวันที่ 23 ตุลาคม 1991
มีการลงนามจาก 4 ฝ่ายของกัมพูชา ได้แก่ พรรครัฐบาลของสมเด็จฮุน เซน, พรรคฟุนซินเปก, ขบวนการเขมรแดง, แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร (KPNLF) และการลงนามจากอีก 18 ประเทศนานาชาติ รวมทั้งสิ้น 19 ประเทศ
นอกจากนี้ยังก่อตั้ง องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา (UNTAC) และจัดการเลือกตั้งให้กับกัมพูชาในปีค.ศ. 1993 ‘สมเด็จฮุน เซน’ เปลี่ยนชื่อพรรครัฐบาลของตนเป็น พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP)
แต่ในขณะที่มีพรรคอื่นๆ ก่อตั้งขึ้น เขาก็ได้ตั้งหน่วยลับหลายกลุ่ม เพื่อคุกคามพรรคฝ่ายตรงข้าม มีรายงานจาก UNTAC และองค์กรสิทธิมนุษยชนว่า มีการคุกคามและสังหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในช่วงก่อนเลือกตั้ง ซึ่งฝ่ายนานาชาติแสดงความกังวลว่าอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐหรือผู้มีอำนาจในรัฐบาลขณะนั้น
ภายหลังผลการเลือกตั้งปรากฏออกมาว่า พรรคฟุนซินเปก ซึ่งมีสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค ได้คะแนนนำที่ 58 ที่นั่ง รองลงมาคือพรรค CPP ของ ‘สมเด็จฮุน เซน’ ได้คะแนน 51 ที่นั่ง ‘สมเด็จฮุน เซน’ กลับไม่ยอมรับผล แสดงท่าทีแข็งกร้าว ขู่ใช้กำลัง และเสนอให้มีการปกครองแยกในเขตตะวันออก หากพรรค CPP ถูกกันออกจากอำนาจ
เนื่องจากอำนาจในการควบคุมกองทัพและตำรวจอยู่ในมือ ‘สมเด็จฮุน เซน’ ทางออกที่สามารถประนีประนอมเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมือง คือการจัดตั้งรัฐบาลแบบผสม คือมีนายกรัฐมนตรี 2 คน ทั้งสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ และสมเด็จฮุน เซน
ภายหลังจากการได้ความช่วยเหลือและความร่วมมือจากนานาชาติ ในปี 1997 บรรยากาศทางการเมืองในกัมพูชากลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง ความขัดแย้งระหว่างพรรค CPP กับพรรคฟุนซินเปก เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ประชาชนกว่า 200 คน นำโดย ‘สม รังสี’ อดีตรัฐมนตรีการคลังที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งในปี 1994 เพราะวิพากษ์วิจารณ์การทุจริต ซึ่งออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศและปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ที่บริเวณสวนสาธารณะตรงข้ามพระราชวังหลวง แต่กลับเกิดเหตุการณ์ขว้างปาระเบิดใส่ผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย และผู้บาดเจ็บอีกประมาณ 150 ราย โดยมีพลเมืองชาวอเมริกันได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ และ FBI ต้องเข้ามาสอบสวน
รายงานของ FBI และองค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่า กองพล 70 ซึ่งเป็นหน่วยทหารพิเศษเพื่อรักษาความปลอดภัยส่วนตัวของ ‘สมเด็จฮุน เซน อาจมีบทบาทในการอำนวยความสะดวกให้ผู้ต้องสงสัยหลบหนี และข่มขู่ผู้เห็นเหตุการณ์
แม้จะมีรายงานที่เชื่อมโยงไปยังหน่วยงานของรัฐกัมพูชา แต่การสอบสวนไม่ได้มีความคืบหน้าต่อ และไม่มีการตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการต่อบุคคลใด จนเจ้าหน้าที่ FBI ถูกเรียกตัวกลับสหรัฐฯ
ต่อมา ‘สมเด็จฮุน เซน’ ได้ใช้แนวทางเชิงยุทธศาสตร์ ในการรัฐประหารสมเด็จกรมเจ้านโรดม รณฤทธิ์ โดยสั่งกองกำลังทหารในสังกัดให้โจมตี ปลดประจำการกำลังทหารของสมเด็จกรมเจ้านโรดม รณฤทธิ์ และ มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคฟุนซินเปก บางคนถูกจับกุม บางรายถูกสังหารหรือสูญหาย โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม
ในเช้าวันที่ 5 กองกำลังของ ‘สมเด็จฮุน เซน’ พยายามจะปลดอาวุธของพรรคฟุนซินเปก รองเสนาธิการของพรรคจึงสั่งให้กองกำลังทหารฝ่ายตนต่อต้านจึงเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงทั่วกรุงพนมเปญ
จากนั้นในเช้าของวันที่ 6 กรกฎาคม รถถังของกองกำลัง CPP ก็เข้าล้อมรอบบ้านของสมเด็จกรมเจ้านโรดม รณฤทธิ์ และผู้นำบางคนในพรรคฟุนซินเปก สมเด็จกรมเจ้านโรดม รณฤทธิ์ จึงต้องลี้ภัยออกจากประเทศ
ภายในเย็นวันนั้น สมเด็จฮุน เซน และพรรค CPP สามารถเข้าควบคุมพื้นที่หลัก ได้แก่ กระทรวงกลาโหม สนามบิน สถานีโทรทัศน์ และฐานทัพตังกาเซียง และประกาศใช้กฎอัยการศึก พร้อมกล่าวหาว่าสมเด็จกรมเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ลักลอบนำอาวุธเข้าประเทศและรวบรวมกองกำลังโดยอดีตผู้ร่วมขบวนการเขมรแดง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง
นอกจากนี้ สมเด็จฮุน เซน ยังเรียกร้องให้ฝ่ายพรรคฟุนซินเปกที่ยอมให้ความร่วมมือ เสนอบุคคลอื่นขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งแทน แต่ในทางกระบวนการตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญนั้น สมเด็จกรมเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ไม่เคยถูกถอดถอนจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างถูกกฎหมาย ทำให้ทั่วโลกส่วนใหญ่ไม่ยอมรับและประณามต่อเหตุการณ์รัฐประหารนี้
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น นำไปสู่การจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 26 กรกฎาคม 1998 โดยผลการเลือกตั้งนั้น พรรค CPP ได้ 64 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคฟุนซินเปกได้ 43 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้สังเกตการณ์จาก UN รายงานว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้มีการทุจริตและใช้ความรุนแรง คุกคามผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งไม่เป็นธรรมและขาดความเป็นประชาธิปไตย
ผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองหรือผู้เรียกร้องประชาธิปไตยถูกข่มขู่ คุกคาม หรือถูกปราบปรามอย่างรุนแรง
นอกจากการปราบปรามผู้เห็นต่างแล้ว สื่อมวลชนภายในประเทศยังถูกควบคุมอย่างเข้มงวด โดยในปีค.ศ.2017 ‘สมเด็จฮุน เซน’ ได้สั่งปิดเว็บไซต์ข่าว The Cambodia Daily โดยอ้างเรื่องภาษีย้อนหลัง รวมถึงเพิกถอนใบอนุญาตดำเนินงานของ Voice of Democracy (VOD) สื่ออิสระในกัมพูชา โดยอ้างว่ามีการบิดเบือนข้อเท็จจริงและทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
นอกจากนี้ รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้เปิดเผยความเชื่อมโยงระหว่างองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวมถึงคาสิโน เขตเศรษฐกิจพิเศษ และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้สำหรับฟอกเงินและฉ้อโกง
โดยเฉพาะบริษัท Huione ในกัมพูชา ซึ่งกล่าวว่าให้บริการและสนับสนุนเทคโนโลยีต่างๆ ในการกระทำผิดทางไซเบอร์ แต่บริษัทได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา และรายงานยังระบุว่าองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้เริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีดาวเทียม Starlink เพื่อหลบเลี่ยงการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและการจับกุม
แม้ในปัจจุบัน ‘สมเด็จฮุน เซน’ จะสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศให้กับ ฮุน มาเนต ลูกชายของเขาตั้งแต่ปี 2023 แต่อำนาจทางการเมืองในกัมพูชายังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค CPP
ขณะที่ตัวเขาเองก็ยังดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาและหัวหน้าพรรค ซึ่งทำให้การเปลี่ยนผู้นำครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นเพียงการถ่ายโอนอำนาจภายในตระกูล มากกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบอบการเมือง
แม้จะขึ้นสู่อำนาจในฐานะผู้ต่อต้านระบอบเผด็จการ เขาก็ถูกวิพากษ์อย่างหนักในเวลาต่อมาว่า ได้รวมศูนย์อำนาจอย่างยาวนาน จนกลายเป็นผู้นำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการโดยองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักวิเคราะห์หลายฝ่าย
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมค.ศ.2025 ในเวลา 05.45 น.โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลต ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ซึ่งบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ ที่ยังไม่ได้มีการแบ่งเขตแดนอย่างเป็นทางการ ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา และเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์ทับซ้อนมาโดยตลอด
โดยฝ่ายไทยจัดชุดประสานงานเพื่อไปเจรจา แต่เมื่อไปถึงฝ่ายทหารกัมพูชามีการเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไปประมาณ 10 นาที ก่อนจะมีการประสานงานกันระหว่างกองทัพและมีการหยุดยิง โดยฝ่ายไทยไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ต่อมากระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์ อ้างไทยเปิดฉากยิงก่อนในสนามเพลาะ ซึ่งเป็นฐานทัพของกองทัพกัมพูชามาเป็นเวลานาน ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
จากเหตุการณ์นี้สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กประณามเหตุปะทะ พร้อมระบุว่าชายแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา ไม่ควรมีเหตุการณ์เช่นนี้ และไม่ต้องการเห็นการสู้รบ แต่สนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะส่งทหารและอาวุธหนักไปที่ชายแดน เพื่อเตรียมป้องกันตัวเองในกรณีที่มีการรุกรานเพิ่มเติม
อีกไม่กี่วันต่อมาฮุน เซน โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ยืนยันจะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เนื่องจากเป็นดินแดนของกัมพูชา พร้อมให้ศาลโลกตัดสินความถูกต้อง
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 หลังจากที่ฮุน เซนได้ใจประชาชนชาวกัมพูชาหลังจากมีคลิปเสียงอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หลุดไปไม่กี่วันก็ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะด้วยกำลังระหว่างประเทศกัมพูชาและประเทศไทยในพื้นที่ชายแดนใกล้จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งนับเป็นการยกระดับความตึงเครียดที่มีมาอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา ไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ
กัมพูชาภายใต้การนำของเขาได้ยิงจรวดหลายลำกล้องอัตตาจรบีเอ็ม-21 ใส่พื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษและพื้นที่ใกล้เคียง
เหตุปะทะส่งผลให้มีทหารกองทัพไทยได้รับบาดเจ็บหลายราย ความรุนแรงทวีขึ้นหลังจากประเทศไทยขับไล่เอกอัครราชทูตกัมพูชาออกจากประเทศ ในขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ระบุว่าการปะทะมีแนวโน้มที่จะขยายวงกว้างและรุนแรงขึ้น ประเทศไทยจึงได้ประกาศปิดพรมแดนกับกัมพูชา
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสิ่งที่ฮุน เซนคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินรบทั้ง 2 แบบของกองทัพอากาศไทยคือ F-16 และ Gripen ตอบโต้โจมตีกองกำลังของเขาพินาศย่อยยับไปตลอด 5 วันของการปะทะ
ส่งผลให้ในเวลาต่อมาคือวันที่ 28 กรกฎาคมเวลา 17:40 น. ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทยและพลเอกฮุน มาเน็ต ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา แถลงข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นผลจากการเจรจากับมาเลเซียในฐานะคนกลาง โดยมีอันวาร์ อิบราฮิมเป็นผู้ดำเนินการประชุม
ผู้นำทั้งสองประเทศได้แสดงออกถึงความพร้อมที่จะยุติเหตุการณ์โดยทันที และจะหยุดยิงในเวลา 00:00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม โดยการประชุมหารือของผู้บัญชาการทหารจากทั้งสองฝ่ายมีกำหนดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เวลา 07:00 น.
หลังจากนั้นมีกระแสข่าวปลิวว่อนไปทั่วโลกว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่ยอมเก็บกู้ร่างศพทหารของตนเองที่เสียชีวิตในการปะทะกับฝ่ายไทย แต่กลับทิ้งศพไว้ในพื้นที่สู้รบจนเกิดกลิ่นโชย โดยทางฝ่ายกัมพูชาได้มีการออกมาปฏิเสธอย่างเป็นทางการว่าไม่มีทหารเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในการปะทะดังกล่าวเลย
เหตุผลที่ทหารของฮุน เซนไม่มาช่วยพวกตัวเองเพราะมีปัญหาด้านงบประมาณ ในการเข้าไปเก็บกู้ซากศพในสมรภูมิรบคุณจะต้องใช้งบประมาณหรือเงินจำนวนมาก คือความยากจนของประเทศกัมพูชา และการที่รายได้หลักของประเทศลดลงจากธุรกิจบางอย่าง เช่น ธุรกิจสแกมเมอร์ ดังนั้น การที่กองทัพจะไม่เจียดเงินมาเพื่อเก็บศพทหารจึงอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก
ในอีกแง่มุมหนึ่งมองว่า การทิ้งศพทหารไว้แล้วค่อยเก็บกู้ทั้งหมดในภายหลัง อาจเป็นการแสดงให้เห็นว่าฮุน เซนเชื่อว่าพื้นที่สู้รบนั้นเป็นของตนอยู่แล้ว และรอให้พวกเขาโจมตีและยึดพื้นที่กลับคืนจากไทยได้ก่อน จึงค่อยดำเนินการเก็บศพ
อีกทั้งฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชาทราบดีว่าไม่สามารถสู้กับศักยภาพกองทัพของไทยในด้านคุณภาพได้ ดังนั้นจึงใช้กลยุทธ์ทางปริมาณ โดยการส่งกำลังทหารเข้าสู่การปะทะอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยได้หยุดพัก พวกเขาจะพยายามรวบรวมกำลังกลับไปรวมกันไว้ที่เดิมเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่าง การใช้กำลังทหารไปกับการเก็บกู้ศพในป่าจึงถือเป็นการสูญเสียกำลังพลที่ไม่จำเป็น
กล่าวเพิ่มเติมกัมพูชาใช้กลยุทธ์การเป็นอีแอบ โดยการแอบเข้าไปวางกับระเบิดในพื้นที่ก่อนจะถอยร่นกลับมา จุดประสงค์คือเพื่อให้ฝ่ายไทยเดินเข้าไปเหยียบกับระเบิดที่วางไว้ กลยุทธ์นี้ถูกมองว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษ ด้วยเหตุนี้เอง ทหารกัมพูชาจึงกลัวว่าหากกลับเข้าไปเก็บศพ พวกเขาอาจเผลอไปเหยียบกับระเบิดหรือวัตถุระเบิดที่พวกตนเองวางไว้ การทิ้งศพไว้แล้วให้ฝ่ายไทยเข้าไปเก็บกู้ จึงอาจนำมาซึ่ง "โบนัส" หากทหารไทยเหยียบระเบิด
ถ้าโดน F-16 ทิ้งไข่เหล็กใส่สภาพแบบนี้ยังไงก็ไม่รอดอยู่แล้ว การมีซากศพทหาร BHQ หรือทหารจนๆตายเกลื่อนกลาดในสมรภูมิรบย่อมทำให้เกิดความกลัวเรื่องผีหรือเรื่องเหนือธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อและความกลัวเกี่ยวกับเวทมนตร์ดำของกัมพูชา แม้จะไม่กลัวเรื่องผี แต่กลิ่นเน่าเหม็นที่โชยมา หรือภาพซากศพที่เละเทะ ก็ทำให้เกิดความสยองและขยะแขยงต่อทหารกล้าของฮุน เซนได้
เท่านั้นไม่พอ ใครๆก็รู้ว่าฮุน เซนและพรรคพวกมักจะมีการโกหกต่อประชาชนเพื่อรักษาภาพลักษณ์กองทัพไม่ให้อ่อนแอหลังจากโดนเครื่องบิน F-16 และทหารไทยจัดการไปในสมรภูมิ
ดังนั้นการปล่อยเฟกนิวส์จึงเป็นเรื่องปกติในกัมพูชา รัฐบาลต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ทหารของตนดูไร้เทียมทาน หากมีการเก็บศพกลับมาและนับจำนวน จะเท่ากับเป็นการยอมรับการสูญเสีย ทำให้ประเทศดูกากหรือเสียหน้า
หากทางการไทยจำเป็นต้องเก็บศพตามหลักสนธิสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) กัมพูชาอาจใช้โอกาสนี้ปล่อยข่าวบิดเบือนว่าไทยได้ทำลายศพของทหารเขมรอย่างไร้เกียรติ
รวมทั้งการที่ตัวเลขการตายถูกเปิดเผยอย่างเป็นจริงไม่ว่าจะมาจากฝีมือของ F-16 หรือทหารไทย นี่อาจทำให้ฮุน เซนเสียหน้าอย่างหนักและอาจกระทบต่ออำนาจในการปกครองของผู้นำบางคนได้ เนื่องจากประชาชนอาจตั้งคำถามว่าการสูญเสียชีวิตจำนวนมากนี้คุ้มค่าหรือไม่
นี่คือเรื่องราวของฮุน เซนที่ผู้เขียนนำมาฝากวันนี้ อาจมีถูกใจท่านผู้อ่านบ้างไม่ถูกใจบ้างก็สุดแล้วแต่ทุกท่านจะพิจารณา บทความนี้ผู้เขียนไม่ได้จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผู้เขียนนำเสนอตามความเป็นจริง มีแหล่งอ้างอิงจริง ถ้าไม่มีแหล่งอ้างอิง ไม่มีความจริงก็ควรจะเป็นทางฝั่งกัมพูชาเสียมากกว่า สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
Matichon
Nation
คมชัดลึก
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสระแก้ว
ทนายคู่ใจ
เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น
ศิลปะวัฒนธรรม
MGR Online
FN Diary
วิกิพีเดีย
The Standard
The People
เรียบเรียงโดย : นักรบชายแดน
โฆษณา