Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วันนี้คะ 😁
•
ติดตาม
21 ก.ย. เวลา 20:04 • ความคิดเห็น
ทำไมหมอถึงไม่...พยายาม
ช่วงนี้เห็นเรื่องหมอจริง หมอปลอมบ่อย ก็ได้เห็นความพยายามของคนอยาก(ให้คนอื่นคิด)เป็นหมอ ....อาจจะด้วยแรงจูงใจหลากหลายเหตุผลของแต่ละคน ที่ไม่อาจจะทราบได้ ....
ในขณะที่ หมอจริงๆส่วนหนึ่งก็ไม่ค่อยใส่ใจกับสังคมรอบตัวสักเท่าไหร่ ว่าจะรู้ไหมว่าเป็นหมอ หรือมีตัวตนแบบหมอๆอยู่ตรงไหน คือบางมุมของชีวิตไม่ต้องแบกหัวโขนหมอได้ไหม
ส่วนนี้ขอแสดงความเห็นส่วนตัวว่าเพราะอะไร ไม่รู้จริงหรือจะตรงกับใครบ้างหรือเปล่า
ข้อแรก เราพยายามมามากแล้วกว่าจะมาถึงจุดนี้ ทั้งเรียนทั้งสอบ อดตาหลับขับตานอน ตื่นเช้า นอนดึก หรือไม่ได้นอนเลย อดมื้อกินมื้อ หิวเช้าอิ่มเย็น วันหยุดไม่มี ดูคนไข้ เขียนรายงานคนไข้ โดนด่า สอบ วนไป ต้องมีกฎกติกา รักษาวินัยอย่างมาก ใช้ชีวิตอย่างยิ่งยวดในการฝึกให้จัดการกับภาวะวิกฤติหลากหลายรูปแบบของความเป็นความตายของคนอื่น
พยายามมากมากกว่าจะได้เป็นจริงๆ พอเป็นแล้วมันไม่ต้องพยายามอะไรอีก เพราะเป็นอยู่แล้ว แต่กลับต้องรักษา "ความเป็นหมอ จริงๆ" ในตัวเอาไว้ให้ได้ ซึ่งมันยากกว่าเปลือกที่ห่อหุ้ม จนพวกเราอาจจะไม่แคร์เปลือก ที่ออกจะรู้สึกรุงรังเสียด้วยซ้ำ ตราบใดที่รู้ตัวว่า ความเป็นหมอมีอยู่ในตัวเรา
อ้อ อีกอย่างตอนเรียนถูกเข้มงวดมากค่ะเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม คณะไหนยังถูกอาจารย์ตรวจเล็บตอนปีสี่ ปีห้า คือคณะแพทย์ค่ะ
ข้อที่สอง ไม่มีใครรู้ว่าเป็นหมอก็ไม่ต้องมาเป็นหมอ ในที่ที่ไม่ได้อยากเป็น ....อยู่ในรพ. เป็นมัน 24 ชม. 36 ชม. 48 ชม. ต่อกันยาวๆ เดินออกมาข้างนอก ไม่ต้องรู้หรอกว่าเป็นอะไร หรืแถ้ารู้ก็ไม่ต่องมาสนใจ ถ้าจะลากแตะ เดินกินลูกชิ้น
ข้อที่สาม พอคนอื่นรู้ ความสุขของการสนทนาจะเปลี่ยนไปทันที ...บางครั้งเหมือนมากออกตรวจ OPD นอกสถานที่ แถมบางที่ถามเรื่องที่เราเรียนผ่านมาแล้วยี่สิบปี ....
ป้าปวดเข่าบวม มันเป็นอะไร ... หมอเด็กก็อยากส่งปรึกษาหมอกระดูกทันที ...ทำไมไม่ถามว่าวัคซีนเด็กมีอะไรมั่ง...พอบอกไม่รู้ก็มองเราเซ็งๆ ...ต้องรู้ทุกอย่างไปเพื่อออออ
เคยไปวิ่ง เจอคุณลุงอัธยาศัยดี คุยกันเรื่อยเปื่อย พอแกถามว่า เรียนจบอะไร ทำงานที่ไหน ...เหมือนโดนต้อนให้เข้ามุม...
เรียนจบสายวิทยาศาสตร์สุขภาพค่ะ ทำงานบริษัทฝ่ายให้บริการลูกค้า ...เราไม่ชอบโกหก ...
คุณลุงคิดใหญ่เลย...อาชีพอะไรน้าาา
ข้อที่สี่ หมอก็คนธรรมดามากๆ แต่งานของเราศักดิ์สิทธิ์ เพราะชีวิตคือของมีค่าที่สุดของทุกคน หมอที่รักษาธรรมแห่งวิชาชีพไว้ได้ พยายามรักษาความรู้และเพิ่มพูน
เสมอๆ ความศักดิ์สิทธิ์จะมีอยู่ในหัวใจ คำพูด มือทั้งสองข้าง และการกระทำ ...เราจะเห็นวาจาสิทธิ์ของตัวเอง อาจจะไม่ได้แม่นยำไปซะหมด แต่อย่างน้อยเราก็พูดด้วยความซื่อสัตย์...ไม่ใช่อยู่ที่เสื้อผ้าการแต่งกาย
หมอที่ตามแล้วมา ในเวลาที่คนไข้และพยาบาลต้องการต่อให้ลากรองเท้าแตะมา
ก็เป็นหมอ
ข้อที่ห้า หมอบางคนมีความสามารถอื่นๆซ่อนในตัวโดยที่ไม่เคยค้นพบในวัยเด็กเพราะมัวแต่เรียน หรือพบแล้วแต่ไม่มีโกาสได้ทำตามฝันเพราะมีเป้าหมายที่จะเป็นหมอไปซะแล้ว ความสามารถเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง เต้นระบำ วาดรูป เล่นดนตรี ทำอาหาร จัดดอกไม้ งานนักเขียน กีฬา ไปจนถึงการทำธุรกิจหรือนักลงทุน หรืออื่นๆ สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นอีกหนึ่งตัวตนที่มีความสุขหรืออยากให้สังคมได้รับรู้แทน
ข้อสุดท้ายที่คิดออก จากประสบการณ์ย้ายที่ทำงานและเปิดคลินิกเองทำให้รู้ว่า ความเป็นหมอจริงๆส่วนหนึ่งของเราเติมเต็มจากคนไข้ ตัวเองเป็นคนที่ไม่ชอบใส่เสื้อกาวน์ แต่ถ้าใส่เดรส หรือชุดลำลองก็ต้องใส่กาวน์ทับก่อนออกไปจับเนื้อต้องตัวคนไข้ สำหรับตัวมองว่ามันเหมือนจีวรพระ หรือเครื่องแบบของทหารตำรวจ เสื้อกาวน์ไม่ใช่เสื้อสูทของ
นักธุรกิจ แต่พอใส่ชุดสครับ ก็กลายเป็นเหมือนยูนิฟอร์ม ไม่ยอมใส่เสื้อกาวน์บ่อยๆ
อีกเลย ...สบายค่ะ เหมือนใส่ชุดนอนทำงาน
วนไปมาเพื่อที่จะบอกว่า มันไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าจริงๆ ที่รพ.เดิมก่อนย้ายมาที่ใหม่ คนไข้ยอมให้รักษาเพราะ เราอยู่มานาน นานจนเขารู้ว่าเราช่วยบรรเทาทุกข์ บรรเทาความเจ็บไข้เขาได้ ย้ายมาที่ใหม่ แรกๆก็แทบไม่มีใครให้ตรวจ.....จนได้โอกาสรักษาแล้วหาย คนแล้วคนเล่า เคสง่ายหาย ยากหาย กี่วันจะหายบอกได้ รักษาได้ก็บอกรักษาไม่ได้ก็บอก ต้องส่งตัว ต้องปรึกษา ก็บอก และเอาพยาบาลอยู่...ไม่ใช่ด้วยการกดข่ม แต่ต้องทำให้เขาเห็นว่าเราเป็นหมอจริงๆ นั่นแหละความเป็นหมอของคนไข้ถึงเริ่มค่อยๆเกิดขึ้น
จนมาทำคลินิกของตัวเอง ก็ทำไกลที่ทำงาน ข้ามจังหวัด ไม่มีฐานคนไข้เดิมเลยแม้แต่คนเดียว เป็นหมอที่ไร้ตัวตนที่สุดในที่นั้น....
จากช่วงแรก ไม่มีใครกล้าอุ้มลูกมารักษาจนแม่ถอดใจ เราก็นั่งทำสวนปลูกต้นไม้ ย้ายกระถางไปไม่ทุกข์ไม่ร้อนไปเรื่อยเปื่อย วันๆคิดแต่ว่าจะปลูกอะไร
แม่ก็ท้อไม่มีคนไข้...จนวันหนึ่งตอนนั่งย้ายกระถางก็บอกกับแม่ว่า
แม่ เราขึ้นป้ายว่าเป็นหมอ ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นหมอของคนแถวนี้นะคะ ตราบใดที่ไม่มีใครไว้ใจมาให้เรารักษา ไม่มีคนไข้ เราก็ยังไม่ใช่หมอ เมื่อไหร่ที่มีใครสักคนไว้ใจเรามาให้เรารักษาแล้วเรารักษาเขาได้...นั่นแหละความเป็นหมอของเราจะเริ่มมีจริงสำหรับคนแถวนี้ ...
ก็ไม่ได้ทำอะไรค่ะ ปลูกต้นไม้ไปวันๆ...รอจนมีคนไว้ใจลองอุ้มลูกมาให้เรารักษา ...แล้วหลังจากนั้นครอบครัวนั้นก็เริ่มรับรู้ว่าที่ตรงนี้มีหมอ แม้ว่าวันแรกที่มา เขาจะเห็นใครไม่รู้ใส่ผ้ากันเปื้อน ใส่หมวกปีก สวมถุงมือ เล็มกิ่งต้นไม้หน้าคลินิกแล้วถามว่า เปิดไหมคะก็ตาม ....
...สวัสดีค่ะ ใครไม่สบายคะ คนไหนไม่สบาย ...นี่เป็นประโยคทักทายเสมอๆ...
หูฟังหยิบตอนจะใช้ ใช้เสร็จวางที่เดิม
เสื้อกาวน์วิ่งเอามาสวมตอนคนไข้มาแล้วใส่เสื้อยืดเดินไปเดินมา ...
และเชื่อว่าคนไข้ทุกคนที่ได้รักษารู้ว่าเราเป็นหมอ แม้เสื้อผ้าหน้าผม มันอาจจะไม่ใช่แบบที่ใครคิดไว้
แต่จะบอกอีกอย่าง หมอผู้หญิงถ้าคนไหนชอบแต่งตัว หรือถ้าให้แต่งตัว สวยค่ะ เสื้อผ้าหน้าผม รสนิยมดี บางคนแต่งหน้าเก่งมาก ออกงานไม่ต้องพึ่งช่างเลย กรีดตาไม่มีสะดุดเป็นคลื่นให้อายใคร
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย