22 ก.ย. เวลา 11:15 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ปริมาณเงินในระบบพุ่ง แตะ 26.64 ล้านล้าน รับดอกเบี้ยขาลง

ธปท.เผยปริมาณเงิน 7 เดือนแรกปี68 โต 3.6% แตะ 26.64 ล้านล้านบาท เพิ่มทั้ง M1 และเงินฝากกึ่งเงินสด ขณะที่ตราสารหนี้แบงก์รัฐพุ่ง 44.7% ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดสิ้นปีโตต่อเนื่องราว 3.5% รับทิศทางดอกเบี้ยขาลง
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานปริมาณเงินความหมายกว้าง (M2) เดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า มียอดคงค้างทั้งสิ้น 26.64 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นในอัตรา 3.6% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 25.71 ล้านล้านบาท
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของปริมาณเงิน M2 พบว่า ปริมาณเงินความหมายแคบ(M1) ขยายตัว 5.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 3.0 ล้านล้านบาท เป็นจำนวน 3.2 ล้านล้านบาท โดยมาจากเงินสดที่ไม่อยู่ในมือสถาบันรับฝากเงินและรัฐบาลจำนวน 2.3ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.8% จาก 2.2 ล้านล้านบาทและมาจากเงินรับฝากกระแสรายวันที่สถาบันรับเงินฝากจำนวน 8.5แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1%
ส่วนเงินรับฝากที่มีสภาพคล่องสูงกึ่งเงินสดจำนวน 23.4ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3%จาก 22.6 ล้านล้านบาทมาจากเงินรับฝากประเภทอื่นที่สถาบันรับเงินฝาก 23.3ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.2% จาก 22.6 ล้านล้านบาท และตราสารหนี้ 7.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 34.5% จาก 5.3 หมื่นล้านบาทช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นพบว่า หลักๆ มาจากตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารเฉพาะกิจ 60,117 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 44.7% จาก 41,533 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน รองลงมาเป็นบัตรเงินฝาก 3,777 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8.0% จาก 3,495 ล้านบาทและที่ออกโดยบริษัทเงินทุน 5,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จาก 5,542 ล้านบาท
ที่เหลือที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ลดลง 6.0% เป็น 5,855 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 6,235 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินลดลง 24.1% เป็น 2,078 ล้านบาทจาก 2,740 ล้านบาท
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ยอดคงค้างปริมาณเงินเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องตามทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงิน(Easting Policy) ซึ่งช่วงที่ผ่านมาปริมาณเงินที่เติบโตสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทยอยปรับลดลง
โดยปริมาณเงินที่เติบโตขึ้นแตะ 26.64 ล้านล้านบาท ณ เดือนกรกฎาคม 2568นั้น ถ้าดูไส้อย่างละเอียดจะพบว่า ปริมาณเงินที่เติบโตขึ้น ทั้ง ปริมาณเงินตามความหมายแคบและ เงินรับฝากที่มีสภาพคล่องสูงคล้ายเงินสดก็โตไปด้วยกัน
ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับเงินออม(เงินฝาก)ของระบบที่ยังเติบโต แต่ไม่ได้สะท้อนถึงกำลังซื้อ พร้อมกล่าวย้ำว่าดีมานด์ปริมาณเงินขยายตัวสอดคล้องกันจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย
สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่ธปท.จะดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อ ดังนั้น ปริมาณเงินก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตประมาณ 3.5% ในสิ้นปีนี้ โดยภาพรวมปริมาณเงินจะเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วอยู่ที่ 3.4% หลังจากประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายในปีที่แล้วเป็นต้นมา จากปริมาณเงินเมื่อสิ้นปี2566 เติบโตที่ 1.9%
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารหลักๆของโลกอยู่ในทิศทางผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ในการประชุมคืนวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ในอัตรา 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เพื่อบริหารภาคแรงงานที่เสี่ยงขึ้น
ขณะที่ตามข้อมูลของ Dot Plot คาดเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปี 2568 ทำให้ทั้งปี 2568 จะลด 3 ครั้ง(เดิม 2 ครั้ง) และลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในอัตรา 0.25% ในปี 2569 (เดิม 2 ครั้ง) สอดรับกับเฟดที่ปรับเพิ่ม GDP ปี 2568-2569 ขึ้นสู่ 1.6% และ 1.8% ตามลำดับ
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยเด่นกว่าที่อื่นในช่วงที่เหลือของปี คาดหวัง 2 ครั้ง ส่วนประเทศอื่นๆ คาดว่า อาจจะคงดอกเบี้ยหรือลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งเท่านั้นในช่วงที่เหลือของปี ทำให้คาดหวังเม็ดเงินตราสารหนี้ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย ที่มีระดับ MARKET EARNING YIELD เด่นกว่าฝั่งตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว โดยไทยอยู่ระดับสูงถึง 6.7% ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ อย่าง S&P500 และ NASDAQ ที่อยู่ระดับ 4.1% และ 3.1% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่มธนาคารไทย หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการลดดอกเบี้ยจากระดับปัจจุบันที่ 1.5% (Bond yield ไทยอายุ 1 ปี ที่ 1.29% และ 2 ปี ที่ 1.16%) ในการประชุมช่วงที่เหลือของปี 2568 (8 ต.ค. และ 17 ธ.ค.) อาจแตกต่างกับในสหรัฐฯ เนื่องจากสัดส่วนรายได้ของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ อิงกับรายได้ดอกเบี้ย (NII) เป็นหลัก ประกอบกับนโยบายสินเชื่อเข้มงวด ทำให้สินเชื่อไม่ได้เติบโตมากนัก จึงมีแรงกดดันจาก NII
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ มองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ (รวมถึงคาดหวังการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ) และดอกเบี้ยนโยบายที่ทยอยลดลงจากจุดสูงสุดที่ 2.5% จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาวต่อไป หนุนต่อเนื่องถึงการดำเนินงานกลุ่มให้ฟื้นตัวระยะถัดไป
โฆษณา