22 ก.ย. เวลา 10:09 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🚀 อยากย้ายสายจาก Business มาเป็น Product Manager ต้องทำยังไง?

“ถอดรหัสชีวิตจริง, ผลกระทบจาก AI, และ Playbook การเตรียมตัวจากมุมมองของคนทำ Business Development ที่อยากก้าวสู่โลกของ Product”
====
📬 คำถามจากคนนอกวงการ?
ไม่นานมานี้ ผมได้รับข้อความจากน้องคนหนึ่งที่ทำงานในสาย Business Development (BD) เขาเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่สนใจอยากย้ายสายมาเป็น Product Manager (PM) คำถามที่เขาถามตรงใจและสะท้อนสิ่งที่หลายคนสงสัย
ผมจึงคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์หากนำมาตอบผ่าน 3 คำถามหลักนี้ สำหรับคนที่อยากจะเปลี่ยนสาย โดยคำถาม 3 ข้อคือ
1. "ชีวิตจริงของ PM ในแต่ละวันเป็นอย่างไร?"
2. "อนาคตของอาชีพนี้จะถูก AI แทนที่หรือไม่?"
3. "สำหรับคนนอกวงการ โดยเฉพาะสาย BD ควรเริ่มต้นอย่างไร?"
====
🎭 คำถามข้อ 1 - “ชีวิตจริงของ PM” = “นักเจรจา” และ “กันชนแรงปะทะ”
มีหลายคนเคยเปรียบงาน PM เหมือนงาน “Mini-CEO” คือ "ได้ชี้ทิศทาง" แต่ความจริง PM คือบทบาทที่ต้องเผชิญทั้ง "โอกาสและแรงเสียดทานในเวลาเดียวกัน"
* "50% คือการสื่อสาร” = คุณจะใช้เวลาครึ่งหนึ่งไปกับการ “ฟัง-ถาม-ตอบ" ไม่ว่าจะเป็นการฟังเสียงลูกค้า การถามคำถามที่ถูกต้องกับทีมวิศวกร หรือการตอบข้อสงสัยเชิงกลยุทธ์จากผู้บริหาร
* "50% คือการตัดสินใจ” อีกครึ่งหนึ่งคือการตัดสินใจท่ามกลางความไม่แน่นอน คุณต้องกล้าฟันธงแม้ข้อมูลยังไม่ครบ และพร้อมรับผลจากการตัดสินใจนั้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ PM ได้อยู่ ณ จุดตัดของสามโลก
* Business (ธุรกิจ), Tech (เทคโนโลยี) และ User (ผู้ใช้)
* ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องยอมรับคือ คุณจะต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างความต้องการของฝ่ายขาย ข้อจำกัดทางเทคนิค และความคาดหวังของลูกค้าเสมอ
นอกจากนี้ งานของ PM ยังเต็มไปด้วย “รายละเอียดที่ซ่อนอยู่”
* เช่น การเขียน Requirement Document, การเช็กความสอดคล้องของ Roadmap กับกลยุทธ์องค์กร, และการจัดลำดับความสำคัญ (Prioritization) ซึ่งมักจะเป็นจุดที่ทั้งทีมมองไม่ตรงกัน
* ความสามารถในการเป็น “คนกลาง” ที่สื่อสารได้ชัดเจนและยุติธรรม จึงเป็นทักษะสำคัญที่แยก PM เก่งออกจาก PM ธรรมดา
* ตัวอย่างเช่น ในองค์กร SaaS ขนาดกลาง PM อาจต้องเลือกว่าจะพัฒนา Feature ที่ลูกค้า Enterprise ร้องขอ แต่จะทำให้ทีมวิศวกรทำงานหนักขึ้น หรือตัดสินใจไปทำ Feature ที่จะช่วยเพิ่มยอดผู้ใช้รายย่อยให้เติบโตเร็วกว่า
* ความท้าทายไม่ใช่แค่การเลือก แต่คือการอธิบายและทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจ “เหตุผล” ของการเลือกนั้น
====
🤖 คำถามข้อ 2 - ”อนาคตของ PM ในยุค AI” = “เครื่องมือ” หรือ “ผู้ถูกแทนที่”?
คำถามยอดฮิตคือ “AI จะมาแทนที่ PM หรือไม่?”  
คำตอบคือ “ทั้งใช่ และ ไม่ใช่”
1. “ใช่" ยังไง?
* งานเชิงปฏิบัติที่ซ้ำๆ และมีรูปแบบ เช่น การเขียน User Story, การสรุปบันทึกการประชุม หรือการทำ Competitive Research ขั้นต้น จะถูก AI ทำแทนได้
* เช่น การใช้ AI สร้าง Wireframe อัตโนมัติภายในไม่กี่นาที หรือสรุป Feedback จากผู้ใช้หลายพันข้อความเป็น Insight ในเวลาอันสั้น เป็นต้น
2. แล้ว “ไม่ใช่" ยังไง?
* แก่นแท้ของ PM คือการใช้ “วิจารณญาณ” (Judgment) ซึ่ง AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้ โดยเฉพาะ 3 มิติสำคัญ
* "Business Judgment" การเข้าใจโมเดลธุรกิจ ผลกระทบทางการเงิน และกลยุทธ์การแข่งขัน เช่น จะเลือกรับรายได้จาก Subscription หรือโฆษณา? 
* "People Judgment" ความสามารถในการเข้าใจผู้ใช้อย่างลึกซึ้ง และสร้างความเชื่อมั่นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย เช่น การโน้มน้าวให้ทีมวิศวกรเชื่อว่าการลงทุนเวลา 2 เดือนจะทำให้ User Retention ดีขึ้นจริง
* "Strategic Judgment" การตัดสินใจเรื่อง trade-offs ภายใต้ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ เช่น จะเลือก Speed หรือ Quality? จะเข้าไปตลาดใหม่ตอนนี้ หรือรอให้ Product ปัจจุบันแข็งแรงกว่านี้?
PM ที่จะอยู่รอดคือผู้ที่ใช้ AI เป็น “Copilot” เพื่อประหยัดเวลาในงาน Routine และนำเวลานั้นไปทุ่มกับงานเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าจริง เช่น การทำ Data-informed Decision โดยให้ AI วิเคราะห์ Pattern ของ User Behavior แต่สุดท้าย PM ต้องเป็นคนตีความและตัดสินใจ
====
🧭 คำถามข้อ 3 - “ถ้าอยากจะย้ายสายจาก BD สู่ PM ต้องเรียนรู้หรือทำยังไง?”
จริงๆ ผู้เขียนคือคนที่มาจากสาย BD และเปลี่ยนมาเป็น PM ในยุคหนึ่ง เลยจากประสบการณ์คิดว่าคนที่มาจากสาย BD คุณมีแต้มต่อเพราะคุณเข้าใจธุรกิจและการจัดการ Stakeholder อยู่แล้ว สิ่งที่ต้องเสริมมี 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. สร้าง Product Sense
* เข้าใจ Product Lifecycle, UX และการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven)
* ตัวอย่างเช่น วิเคราะห์ว่าทำไมบางฟีเจอร์ถึงสร้าง Engagement ได้ดีกว่าอีกฟีเจอร์ หรือลองตั้งสมมติฐานและทดสอบกับผู้ใช้จริงผ่าน Survey หรือ A/B Testing เพื่อฝึกการตีความข้อมูล
2. เพิ่ม Technical Fluency
* ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด แต่ควรรู้ภาษาเทคนิค เข้าใจ API, system architecture และข้อจำกัดเชิงวิศวกรรม เพื่อสื่อสารกับทีม Dev ได้อย่างมีน้ำหนัก
* เช่น การเข้าใจ Flow ของ Database จะช่วยให้คุณอธิบายปัญหาของผู้ใช้ได้ชัดเจนขึ้น และได้รับความเคารพจากทีมวิศวกร
3. สร้าง Portfolio ที่พิสูจน์ได้
ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่ต้องมีผลงาน เช่น
* ทำโปรเจกต์ส่วนตัวเล็กๆ เช่น Redesign signup flow ของแอปที่คุณใช้ พร้อมเขียน Case Study อธิบายว่าทำไม Design ใหม่นี้จะดีกว่า
* เขียนบทวิเคราะห์ Product ที่คุณชอบ โดยใช้ Framework อย่าง SWOT หรือ JTBD (Jobs To Be Done)
* ใช้ No-Code Tools เช่น Webflow หรือ Bubble สร้าง Prototype ง่ายๆ เพื่อโชว์ว่าเข้าใจทั้งมุมธุรกิจและมุมผู้ใช้
หากการข้ามไปเป็น PM โดยตรงยังยาก ลองมองหาบทบาท “สะพาน” เช่น Associate PM, Business Analyst, หรือ Product Ops ที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้วงในของ Product Team และสะสมประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง ก่อนก้าวสู่ตำแหน่งเต็มตัว
====
✨ เส้นทางที่ท้าทายแต่คุ้มค่า?
* การเป็น PM ไม่ใช่เส้นทางง่าย และไม่เหมาะกับทุกคน แต่มันคือหนึ่งในอาชีพที่ท้าทายและทรงพลังที่สุดในโลกธุรกิจยุคใหม่ เพราะคุณได้ยืนอยู่ ณ จุดตัดของ เทคโนโลยี มนุษย์ และธุรกิจ
* คุณจะได้เจอวันที่ต้องแก้ปัญหาซ้ำๆ จนเหนื่อยใจ แต่ก็จะมีวันที่การตัดสินใจของคุณทำให้ผู้ใช้หลายหมื่นคนมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น และวันเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้บทบาทนี้ “คุ้มค่า”
คำถามคือ "คุณพร้อมหรือยังที่จะหยุดยืนอยู่ข้างสนาม แล้วก้าวเข้าสู่บทบาทที่อยู่กลางสมรภูมิจริงๆ หรือเปล่า?" เพราะที่นั่นเอง…คือที่ที่ “อนาคต” กำลังถูกสร้างขึ้น
#วันละเรื่องสองเรื่อง #ProductManagement #CareerChange #CareerAdvice #BusinessDevelopment #PMlife #Upskilling #FutureOfWork
โฆษณา