24 ก.ย. เวลา 00:55 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

F-16 ยอดอากาศยานแห่งกองทัพอากาศไทย EP.4 ชีวิตจริงนักบิน F-16

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ความเดิมจากตอนที่แล้วกองทัพอากาศไทยได้นำ F-16 เข้าประจำการที่ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช วันที่ 2 กรกฎาคมค.ศ.1988 (พ.ศ.2531) นับเป็นมิติใหม่แห่งการรบทางอากาศเพราะเป็นเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงอีกทั้งมีความสามารถทั้งการรบทางอากาศและการรบต่อเป้าหมายภาคพื้น
กว่าจะได้คนๆหนึ่งมาควบคุมเจ้าเหยี่ยวพิฆาตเป็นเช่นไร ในบทความจะมาเสนอเรื่องราวของชีวิตนักบิน F-16 เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจสำหรับเยาวชนที่อยากไปเป็นทหารอากาศในอนาคต ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญทุกท่านเข้าสู่เนื้อหาในวันนี้กันครับ
ที่นี่กองบิน 1 โคราช พ.ศ.2533 (ค.ศ.1990) ตอนเช้าตรู่หลังจากที่ทำเสร็จภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว เวลา 7.30 น. นักบินขับไล่ F-16 ก็จะมายังห้องมอร์นิ่งบรีฟ รับทราบข่าวอากาศว่าในวันนี้ สภาพอากาศในแต่ละส่วนนั้นเป็นอย่างไร มีเมฆมากฝนฟ้าคะนองหรือปลอดโปร่ง เพื่อระหว่างการบินจะ ได้หลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่เลวร้าย
อันจะทำให้การบินมีความปลอดภัยมากที่สุด ในห้องมอร์นิ่งบรีฟนี้จะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายการช่าง, การสื่อสาร (ดูแลเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์การบินต่าง ๆ) และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสรรพาวุธก็จะมาพูดคุยให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับปฏิบัติการบินเมื่อวานนี้ถึงข้อขัดข้อง และแนวทางแก้ไขพร้อมทั้งนำความรู้มาประกอบเพิ่มเติม
เครื่องบินขับไล่ F-16 ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช
เพื่อให้นักบินเครื่องบินขับไล่ F-16 ได้ทราบแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับการบินในวันนี้ ซึ่งระหว่างนี้นักบินก็จะมีโอกาสซักถามปัญหาต่าง ๆ ไปในตัวด้วย หลังจากนั้นนักบินอาวุโสเช่นผู้บังคับฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราชก็จะมาให้คำแนะนำเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นผู้มีประสบการณ์ในการบินสูง เมื่อเสร็จสิ้นมอร์นิ่ง บรีฟ แล้วก็จะแยกกันไปปฏิบัติหน้าที่ตามแต่ภารกิจของฝูง
ซึ่งผู้ที่จะขึ้นบินก็จะทำการบรีฟย่อยอีกครั้งเป็นเวลานานถึงกว่าสองชั่วโมง เรื่องแผนการบิน, พื้นที่การบิน, ภารกิจการบิน ฯลฯ กว่าเครื่องจะเริ่มแท็กซี่และบินขึ้นก็จะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจในทุกๆด้าน ซึ่งแต่ละไฟล์ทของนักบินขับไล่เอฟ-16 จะใช้เวลาชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง หลังจากเครื่องแลนดิ้งแล้วก็จะมีการรีบรีฟอีกครั้งหนึ่งสำหรับผู้ที่ได้ขึ้นบินมาแล้ว
เพื่อสรุปผลและข้อมูลต่างๆกว่าจะเสร็จก็ตกช่วงเย็นพอดี นอกจากนี้ในช่วงเวลา 16.30 น.จะมีการทบทวนวิชาต่าง ๆ สัปดาห์ละ 2-3 วัน เป็นต้น ในช่วงเย็น ๆ ก็จะมีการออกกำลังในลักษณะต่าง ๆ เช่น วิ่ง, ดึงข้อ, ยกน้ำหนัก, ถีบจักรยาน, บริหารกล้ามเนื้อท้อง เนื่องจากนักบินต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงเพราะขณะบินในท่าแรงจีสูงๆขนาด 9 จี ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงพอแล้วเพียงแค่หันคอไปมาคอก็อาจจะหักตายได้
ดังนั้นการรักษาสุขภาพ การรับประทานอาหาร ที่เหมาะสมและพักผ่อนอย่างเพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไปไม่ได้ สำหรับบรรดานักบินเครื่องบินขับไล่ F-16 ทั้งหลาย
ใครที่จะเป็นนักบินขับไล่ประจำฝูงบิน F-16 ทั้งในสมัยนั้นกับสมัยปัจจุบันจะต้องมีความเสียสละอย่างสูงขณะทำการบินจะต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะมีเรื่องยุ่งยากหรือปัญหาส่วนตัวอย่างไรก็ตามจะต้องสลัดทิ้งให้หมด คิดอย่างเดียวว่าจะทำการบินให้ดีและถูกต้องได้อย่างไร เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินก็จะต้องมีไหวพริบในการแก้ไขให้ได้
เครื่องบินขับไล่ F-16 กองทัพอากาศไทย
ถ้าไม่สุดวิสัยจริงๆ การสละเครื่องคือสิ่งสุดท้ายที่นักบินจะทำซึ่งนั่น ก็หมายความว่า บ.ราคาแพง ๆ จะต้องสูญเสียไปชั่วพริบตา การสละเครื่องหรือทิ้งเครื่องถ้าเป็นความประมาทหรือผิดพลาดของนักบิน ตัวนักบินจะต้องมีความผิดและชดใช้ค่า เสียหายให้แก่ทางราชการด้วย
ชีวิตของนักบินขับไล่ F-16 นั้นมิได้สุขสบายอย่างที่เราๆท่านๆคิดเลย พวกเขามีภารกิจและหน้าที่ซึ่งจะต้องปฏิบัติตั้งแต่เช้าจรดเย็นหรือค่ำหมุนเวียนไปแบบนี้เกือบทุกวัน เป็นแบบนี้ตลอดการเป็นนักบินขับไล่ประจำฝูงบินรบ แต่บรรดาเหล่าเสืออากาศ ทั้งหลายมิได้เคยย่อท้อต่อหน้าที่อันสำคัญที่ผู้บังคับบัญชาได้มอบหมายให้ เพราะพวกเขาคือสุดยอดนักบินแห่งทัพฟ้าไทย กว่าจะได้คนๆหนึ่งมาขับ F-16 ในสมัยนั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง แล้วจะแตกต่างจากสมัยนี้เช่นไร เนื้อหาต่อไปนี้ทุกท่านสามารถอ่านต่อได้ครับ
เมื่อจบจากการเรียนโรงเรียมเตรียมทหาร 2 ปีรถบัสได้มาจอดที่หน้ากองนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ (ปัจจุบันได้เปลี่ยน สภาพเป็นกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์แล้ว) มีนักเรียนนายเรืออากาศชั้นปีที่ 5 ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักเรียนปกครอง มาให้การต้อนรับนักเรียนนายเรืออากาศใหม่ หลังจากที่นักเรียนชั้นปีที่ 5 ที่มีหน้าที่ปกครองนนอ.ใหม่ กล่าวต้อนรับเสร็จเรียบร้อยก็จัดนักเรียนนายเรืออากาศชั้นปีที่ 1 ใหม่เข้าที่พักพร้อมกับแจกของเช่น ผ้าปูที่นอน สิ่งของเครื่องใช้จำเป็น อย่างนี้เป็นต้น
นนอ.ชั้นปีที่ 1 จะเรียนรวมกันหมดไม่มีการแยกสาขา และจะได้รับการฝึกวิชาทหารควบคู่ ไปด้วย ซึ่งมีนายทหารปกครอง และอาจารย์หลายท่านได้คอยเตือนสตินนอ.อยู่เสมอให้ขยันเรียน เพราะเมื่อมาอยู่ที่นี่จะเหน็ดเหนื่อยมาก นอกจากเรียนหนักแล้วยังฝึกหนัก และต้องมีการเข้าเวรยามในตอนกลางคืนอีก ซึ่งมองให้เห็นว่าเป็นการเรียนที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยข้างนอกมาก
ซ้ำยังถูกจำกัดไว้ด้วยความมีระเบียบวินัยต่างๆของโรงเรียนอีกมากมาย เพราะฉะนั้น นนอ.ทุกคนจะต้องมีความพยายามอย่างมากโดยไม่ย่อท้อ รุ่นพี่ทุกคนก็พยายามถ่ายทอดความเป็นนักเรียนนายเรืออากาศให้กับรุ่นน้องอย่างเต็มใจไม่ว่าจะเป็นการแนะนำด้านการฝึกหรือศึกษา
ศิษย์การบินทอ.สมัยก่อน
ในเทอมหลังนี้นนอ.ปี 1 จะต้องเรียนด้วยและจะต้องฝึกสวนสนามราชวัลลภ และสาบานธงด้วย นนอ. ใหม่ทุกคนจะได้สวนสนามราช วัลลภในวันที่ 3 ธันวาคม และวันกองทัพไทย 25 มกราคม (ปัจจุบันเป็นวันที่ 18 มกราคม) ซึ่งหลังจากที่ผ่านการสวนสนามสาบานธง นนอ.ทุกคนก็จะผ่านความเป็นทหารอย่างเต็มตัว เมื่อถึงสอบปลายปีทุกคนถ้าสอบผ่านจะเลื่อนชั้น เป็นนนอ.ชั้นปีที่ 2
ในปีที่ 2 นี้เองจะมีการฝึกที่น่าตื่นเต้นของ นนอ. คือการฝึกกระโดดร่มทางยุทธวิธี ซึ่งจะให้ฝึกเฉพาะผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสามารถทดสอบผ่านเกณฑ์ของโรงเรียนฝึกการยังชีพในป่า และได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเท่านั้น ซึ่งการฝึกแบ่งเป็น 2 ผลัด
ระยะเวลาของหลักสูตรก็ประมาณ 1 เดือน ในช่วงสัปดาห์แรกจะได้ฝึกการลงพื้น การกระโดดหอสูง การบังคับร่ม และในช่วงสัปดาห์สุดท้ายจะเป็น การกระโดดร่มจากเครื่องบิน ซึ่งเป็นเครื่องบิน ซี-123 ของกองทัพอากาศ (ปัจจุบันใช้ซี-130) โดยทุกคนจะต้องกระโดดถึง 5 เที่ยวจึงจะได้ประดับปีกกระโดดร่มของกองทัพอากาศ
ในการศึกษาในชั้นปีที่ 3 นนอ. ที่สอบผ่านจะแยกสาขาวิชาที่เรียนอีกครั้ง หากใครที่จะขับเอฟ-16 ส่วนมากจะเลือกสาขาวิศวกรรม สาขานี้ก็แบ่งเป็นสาขาวิศวกรรมอากาศยาน วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า และวิศวกรรมโยธา กล่าวคือแยกไปตามสาขาที่ตนถนัด
หลังจากจบการศึกษาชั้นปีที่ 3 ในช่วงฤดูร้อน นนอ.จะได้ฝึกขับรถยนต์ ยิงปืนพก และฝึกบินเครื่องร่อน ซึ่งหลักสูตรบินเครื่องร่อนเป็นหลักสูตรที่น่าตื่นเต้นอีกหลักสูตรหนึ่งในยุคนั้น
ความมุ่งหมายของทางราชการที่จัดหลักสูตรนี้มาก็เพื่อให้นักเรียนนายเรืออากาศมีความรู้สึกเกี่ยวกับทางด้านการบินเพื่อเป็นพื้นฐาน ก่อนจะเข้าไปเรียนในโรงเรียนการบิน เพื่อเป็นนักบินในกองทัพอากาศต่อไป
เครื่องบิน T-37
เมื่อนนอ.ชั้นปีที่ 4 สอบเสร็จก็จะมีหลักสูตรที่ นนอ. ทุกคนรอคอยมานานคือการไปฝึกเดินอากาศ ณ ต่างประเทศ สำหรับความมุ่งหมายก็เพื่อให้นนอ.เพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิตให้กับ ตนเอง ในแต่ละปีประเทศที่ไปจะไม่ซ้ำกัน แล้วแต่ว่าคุณจะไปประเทศไหน ซึ่งกองทัพอากาศจะเป็นผู้กำหนดมา นนอ.ทุกคนที่ไปจะได้เงินจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นเบี้ยเลี้ยงในการใช้จ่ายค่าอาหาร และซื้อของเล็กๆน้อยๆ ติดมือกลับมา ประเทศไทย
ในช่วงท้ายของการเป็นนนอ. ชั้นปีที่ 5 มีการตรวจร่างกายที่สถาบันเวชศาสตร์การบิน ของกองทัพอากาศ การรับสมัครนักบินของ ทอ.นั้น นนอ. ชั้นปีที่ 5 ทุกนายมีสิทธิ์ที่จะสมัครหรือไม่สมัครก็ได้
เหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนที่จะขับ F-16 หรือเครื่องบินแบบอื่นๆ ก็เพื่อเช็คว่ามีสุขภาพกายและใจแข็งแรงหรือไม่ เพราะถ้าเจ็บป่วย ขึ้นมาขณะทำการบินก็อาจจะทำให้เครื่องบินประสบอุบัติเหตุได้ และที่สำคัญต้องมีสายตาดี เนื่องจากว่าขณะนักบินนำเครื่องบินลงสนาม จะต้องใช้สายตากะระยะในการนำเครื่องลงสนาม นอกจากสายตาไม่สั้นแล้วต้องไม่เอียงด้วย
เมื่อมาถึงโรงเรียนการบินกำแพงแสนหลังจากประดับยศว่าที่เรืออากาศตรีและผ่านการฝึกมากมายมาแล้วศิษย์การบินที่เข้ามาใหม่จะเรียกว่าศิษย์ขั้นประถม ส่วนรุ่นพี่ที่เข้ามาเรียนก่อน 6 เดือนก็เป็นศิษย์มัธยมแล้วปีหนึ่งจะรับ 2 รุ่น คือแบ่งเป็น 2 ผลัด
ใน 6 เดือนแรกศิษย์ชั้นประถมจะบินเครื่องใบพัดเหมือนกันหมดคือเครื่องบิน CT-4A Chicken ศิษย์การบินชั้นมัธยมที่เลือกบินไอพ่นจะได้ไปบินกับที-37 มี call sing ว่า Twinny มีชื่อเรียกทางทอ.ว่า บฝ.12 ซึ่งจะเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ก็จะไปบินกับ Fantrainer FT-600 หรือ Fanjet มีชื่อเรียกว่า บฝ.18 เมื่อจบ 6 เดือนหลังศิษย์การบินมัธยมทั้งหมดก็จะได้รับการประดับปีกบินเต็มปีก
ส่วนไอพ่นก็จะแยกไปบินตามกองบินต่าง ๆ ที่มีเครื่องไอพ่นอยู่ การเลือกแบบบ.นั้น คะแนนดีมีสิทธิ์เลือกก่อน ส่วนพวกที่บิน บฝ.18 ก็จะไปบินกับ บ.ใบพัดรวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ด้วย
F-16B ฝูงบิน 103
เมื่อจบจากโรงเรียนการบินก็จะไปประจำการอยู่ที่กองบิน 56 หาดใหญ่ (ปัจจุบันไม่มีเครื่องบินประจำการ) ไปบินเครื่องบิน T-33 อยู่ 1 ปีเพื่อเพิ่มพื้นฐานในการบินรบทางอากาศ (ปัจจุบันใช้ T-50 ก่อนที่จะขับ F-16 ) เมื่อหมดภารกิจที่หาดใหญ่ ก็ไปบินเครื่องบิน F-5A ที่อุดรธานี กองบิน 23 อยู่ 1 ปี แล้วถ้าคุณคะแนนดีลำดับต้นๆอาจได้มาบิน F-16 ที่กองบิน 1 จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นอากาศยานที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้นก็ได้
ในตอนหน้าจะเป็นเรื่องราวของ PEACE NARESUAN 3 และ PEACE NARESUAN 4 ตามด้วยเรื่องการอัพเกรดเอฟ-16 ในกองทัพอากาศไทย จะเป็นเช่นไรนั้นรอติดตามดูกันได้ วันนี้ภาพปิดท้ายบทความเป็นเรืออากาศเอกศิธา ทิวารี (ยศในขณะนั้น) และพลอากาศโทระวิน ถนอมสิงห์ 2 นักบิน F-16 ที่เรียกว่าอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนหรือเด็กเจนใหม่คนใดคนหนึ่งเติบโตไปเป็นนักบินตามรอยทั้ง 2 ท่านนี้ได้หากมีความขยันหมั่นเพียรและตั้งใจอย่างถึงที่สุด สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
RTAF
Tharit Lohapiyaphan
นิตยสารแทงโก้
นิตยสารสมรภูมิ
Kittidej Sanguantongkham
เรียบเรียงโดย : เบิ้ล ตาควาย
โฆษณา