24 ก.ย. เวลา 12:00 • ธุรกิจ

ผู้ถือหุ้นรายย่อย DUSIT ร้อง ก.ล.ต. ชี้ CPN-ชนัตถ์และลูก ร่วมมือครอบงำกิจการ

  • ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ DUSIT ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ก.ล.ต. โดยกล่าวหาว่า CPN และบริษัท ชนัตถ์และลูก ร่วมมือกันเพื่อเข้าครอบงำกิจการ
  • การกระทำดังกล่าวเข้าข่าย "Acting in concert" เนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้นของทั้งสองบริษัทรวมกันเกิน 66% ซึ่งตามกฎหมายต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (Tender Offer) แต่กลับไม่มีการดำเนินการ
  • ความพยายามครอบงำกิจการนี้ดำเนินการผ่านการขอเปิดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมการและผู้มีอำนาจลงนาม ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุมบริษัท
ปัญหาความขัดแย้งของผู้ถือหุ้นในเครือดุสิตธานีที่ถูกจับตาอย่างกว้างขวางในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นธุรกิจโรงแรมระดับสัญลักษณ์ของประเทศไทยที่ก่อตั้งและบริหารงานโดยตระกูลโทณวณิกมาหลายทศวรรษ
ล่าสุด หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายย่อย ของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. กรณีที่บริษัทชนัตถ์และลูกซึ่งถือหุ้น 49.74% และเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่ถือหุ้น 17.09% มีพฤติกรรมร่วมมือกันเพื่อครอบงำกิจการ
ประเด็นหลักที่นำมาสู่ข้อร้องเรียนนี้เริ่มต้นจาก การที่ชนัตถ์และลูกขอเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น โดยมีวาระสำคัญ 3 ประการ คือ การแต่งตั้งกรรมการใหม่แทนที่เก่าจำนวน 4 คน การเพิ่มกรรมการอีก 6 คน ทำให้รวมเป็น 18 คนจากเดิม 8 คน และการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทจากเดิมที่มีคุณศุภจี สุธรรมพันธ์ ซีอีโอปัจจุบันเป็นบุคคลอื่น
สิ่งที่ทำให้เกิดข้อสงสัยคือ CPN ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงแรมแข่งขันโดยตรงกับดุสิตธานี ได้ออกมายอมรับว่าได้รับการเสนอให้ส่งตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมการ แม้จะมีความสามารถขอเรียกประชุมเองได้ในฐานะผู้ถือหุ้นมากกว่า 10% แต่กลับเลือกที่จะ "ซ่อนตัว" อยู่เบื้องหลังชนัตถ์และลูก
นางสาวมิรันตรีชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจลงนามจากระบบเดิมที่ต้องมี 2 ใน 3 คนลงนาม กลายเป็นให้บุคคลภายนอกสองคนซึ่งหนึ่งในนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเซ็นทรัลสามารถลงนามร่วมกันได้โดยไม่ต้องมีตัวแทนจากผู้ถือหุ้นเดิม การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้อำนาจควบคุมบริษัทเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ข้อกังวลสำคัญคือเมื่อรวมสัดส่วนการถือหุ้นของทั้งสองกลุ่มแล้วจะได้ 66.83% ซึ่งเกินร้อยละ 50 ตามกฎหมายจึงควรต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (Tender Offer) แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว อีกทั้งยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเกี่ยวพันของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการอีก 6 คนกับกลุ่มเซ็นทรัล
การดำเนินการดังกล่าวถูกมองว่าเป็น "การจงใจเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย" และอาจเข้าข่าย "hostile takeover" ที่หลีกเลี่ยงการทำ Tender Offer โดยผู้ร้องเรียนเชื่อว่าหาก ก.ล.ต. เข้าไปตรวจสอบจะพบความจริงว่ามีการ "Acting in concert" หรือร่วมมือกันครอบงำกิจการจริงหรือไม่
พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีทางออกสำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ไม่ประสงค์จะคงอยู่ในบริษัทหากมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุมกิจการ
โฆษณา