25 ก.ย. เวลา 01:10 • หนังสือ

ไม่มีใครดื่มกาแฟอาหรับ ประวัติศาสตร์กำเนิดรัฐยิว

สองสามวันนี้มีข่าวหลายประเทศในโลกตะวันตก เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส แคนาดา ฯลฯ ประกาศสนับสนุนการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์
1
ณ วันนี้ประเทศสามในสี่ในโลกยอมรับการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ แน่นอน อิสราเอลและสหรัฐฯสวนกลับว่าไม่เห็นด้วย
อิสราเอลและสหรัฐฯเห็นว่าไม่ควรมีรัฐปาเลสไตน์ในจักรวาลนี้
ในเมื่อสหรัฐฯไม่เห็นด้วย โอกาสที่จะเกิดรัฐปาเลสไตน์ก็ยาก เพราะสหรัฐฯมีเสียงเดียวก็จริง แต่ดังกว่าทุกเสียงในโลกรวมกัน
ข่าวนี้น่าสนใจตรงที่ประเทศในยุโรปเป็นลูกไล่ของสหรัฐฯ ทำตามที่สหรัฐฯชี้นิ้วเสมอ การประกาศอย่างนี้เป็นสัญญาณต้านสหรัฐฯ ซึ่งเป็นภาพไม่ปกติ
เอาละ นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ประเด็นที่จะเล่าในวันนี้คือเรื่องอดีต
โดยเฉพาะบทบาทของอังกฤษในเรื่องนี้
ข่าวสำนัก AFP ใช้คำว่า "Britain bears 'burden of responsibility' "
แปลตรงตัวก็หมายความว่า อังกฤษสมควรแบกความรับผิดชอบในเรื่องนี้มากกว่าชาติอื่นๆ
หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าอิสราเอลเกิดเป็นประเทศขึ้นมาได้ก็เพราะอังกฤษเป็นหลัก
ด้วยประกาศที่เรียกว่า 1917 Balfour Declaration
หลายคนเชื่อว่าประเทศอิสราเอลเกิดขึ้นได้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะโดนนาซีฆ่าไปหกล้านคน ชาวโลกสงสาร ก็จัดหาประเทศให้อยู่ โผไปลงที่ปาเลสไตน์ แผ่นดินพันธสัญญาของพระเจ้า
แต่ความจริงแล้ว แผนการตั้งประเทศเกิดขึ้นมานานก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19
ตั้งแต่ปี 1895 Theodor Herzl นักหนังสือพิมพ์และทนายความยิว ผู้ถูกเรียกว่าเป็นบิดาของไซออนนิสต์ใหม่ ก็วางแผนตั้งประเทศที่แผ่นดินปาเลสไตน์แล้ว โดยก่อตั้งองค์การ Zionist เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ปี 1917 อังกฤษเสนอแผน The Balfour Declaration ตั้งตามชื่อรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษในตอนนั้นคือ Arthur Balfour เพื่อจัดตั้งประเทศ (ใช้คำว่า national home)​ สำหรับชาวยิวบนแผ่นดินปาเลสไตน์
เวลานั้นอังกฤษกำลังทำสงครามกับอาณาจักรออตโตมัน (ตุรกี) ซึ่งครองปาเลสไตน์ แต่ก็คิดข้ามช็อตไปแล้วว่าจะทำอย่างไรกับปาเลสไตน์ ในที่สุดก็ได้ไอเดียว่ายกให้ยิวดีกว่า
อังกฤษสนับสนุนองค์การไซออนนิสต์ และเมื่อประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน แห่งสหรัฐฯก็สนับสนุน Balfour Declaration หนทางสร้างชาติของชาวไซออนนิสต์ก็สะดวก
หลังจากอาณาจักรออตโตมันสิ้นอิทธิพลหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษกับฝรั่งเศสเข้าไปเสียบแทน อังกฤษครอบครองส่วนที่เรียกว่า Mandatory Palestine ในช่วง 1920-1948
ต้นปี 1945 สหรัฐฯกำลังจะชนะสงครามโลก ประธานาธิบดีรูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt - FDR) ที่กำลังป่วย พบกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย Abdul Aziz Ibn Saud พระชนมายุ 70 บนเรือรบ USS Quincy ที่คลองสุเอซ
กษัตริย์อาหรับประทับบนรถเข็น ส่วน FDR ก็เดินไม่ได้เพราะโปลิโอ
กษัตย์ซาอุดิอาระเบียทรงชวนประธานาธิบดีสหรัฐฯดื่มกาแฟอาหรับ
แล้วทั้งสองก็ดื่มกาแฟกัน
FDR บอกภายหลังว่า เขาประทับใจมากที่กษัตย์อาหรับชวนเขาดื่มกาแฟ ทั้งสองสนทนากันเรื่องต่างๆ หลายชั่วโมง โดยเฉพาะเรื่องอนาคตของปาเลสไตน์
FDR บอกว่ายิวควรมีรัฐอิสระ กษัตย์ซาอุดิอาระเบียตรัสว่าไม่เห็นด้วยที่ยิวจะไปตั้งรัฐใหม่ที่ปาเลสไตน์ ทรงเสนอว่ายิวควรไปตั้งรัฐใหม่ที่บาวาเรีย (เยอรมนี) จะดีกว่า
ก็ไม่ใช่เยอรมันหรือที่ฆ่ายิวไปหลายล้าน?
ไม่มีคำตอบจาก FDR
วันที่ 14 พฤษภาคม 1948 สามปีหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐอิสราเอลก็ถือกำเนิด
ภาพยิวถูกฆ่าตายไปหกล้านคน อาจทำให้ชาวโลกไม่ว่าอะไรเมื่อฝ่ายตะวันตกยกปาเลสไตน์ส่วนหนึ่งให้ยิวอยู่ โดยที่ชาวปาเลสไตน์มองตาปริบๆ
หลังจากนั้นสงครามก็อุบัติ และยังไม่หยุดจนถึงวันนี้
ไม่มีใครดื่มกาแฟอาหรับกันอีกแล้ว แต่ยังมีคนอยากได้รางวัลโนเบลสันติภาพ
ในปี 1992 นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยิตซัก ราบิน (เกิดที่ Mandatory Palestine) เจรจาสันติภาพกับ ยัสเซอร์ อาราฟัต ฝ่ายปาเลสไตน์ เป็นผลสำเร็จ เป็นที่มาของสัญญาสันติภาพ Oslo Accords เป็นผลให้พวกเขาได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ
1
สามปีต่อมา ยิตซัก ราบิน ก็ถูกยิงตายกลางถนน เพราะบางฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดรัฐปาเลสไตน์
รางวัลโนเบลสันติภาพเป็นเพียงภาพลวงตาของสันติภาพที่ไม่มีอยู่จริง
(ภาพชาวปาเลสไตน์หนีการถล่มของอิสราเอลลงใต้ในกาซา วันที่ 20 กันยายน 2025 ภาพโดย Eyad BABA / AFP)
โฆษณา